จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 10 วิชาป้องกันตัว
“ฟ่อ ฟ่อ…” ทันใดนั้นเจ้างูน้อยสีเหลืองอ่อนก็เผยจิตสังหารออกมา ลำตัวของมันยืดหดไปมาไม่หยุด ราวกับจะพุ่งเข้าไปกัดลุงหนานตลอดเวลา รอบตัวของเจ้างูมีแสงประหลาดสีทองอ่อนปกคลุมเอาไว้อยู่
“ช่างดุเสียจริง” ลุงหนานหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เกิดแสงวาบผ่านในมือ ทำให้ระหว่างคิ้วของงูน้อยมีเลือดสีแดงสดหนึ่งหยดปรากฏขึ้นที่มือของลุงหนาน พร้อมกันนั้นฝ่ามือของลุงหนานก็เปลี่ยนท่าทางไปมา เมื่อได้เห็น หลู่เส่าโหย่วก็รู้สึกประหลาดใจ แล้วภายในห้องลับก็เกิดแสงสว่างลึกลับขึ้น
“ฟ่อ ฟ่อ…”
เส้นแสงจากหว่างคิ้วกับเลือดของหลู่เส่าโหย่วได้รวมเข้ากับเลือดของเจ้างูน้อย จากนั้นก็หลอมเป็นเส้นแสงสองเส้น เส้นหนึ่งถูกลุงหนานดีดเข้าหว่างคิ้วของหลู่เส่าโหย่ว อีกเส้นหนึ่งถูกดีดใส่กลางหว่างคิ้วของงูน้อย
“อ๊า….”
หลู่เส่าโหย่วรู้สึกแปลกประหลาด ตัวเขากับงูน้อยตัวนั้นราวกับมีสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นเกิดขึ้น เหมือนว่าพวกเขาทั้งสองเป็นพี่น้องกัน มีสายเลือดเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกนี้ช่างลึกลับจนไม่สามารถอธิบายได้
“ลุงหนาน ท่านใช้อุบายอะไรกัน มันน่าประหลาดใจมาก”
“แค่นี้ก็ประหลาดใจแล้ว ในภายภาคหน้า เจ้าจะได้เรียนรู้มันแน่ ศึกษาให้มากหน่อย” ลุงหนานยิ้มบางๆ และกล่าวอย่างพึงพอใจ “เอาล่ะ เจ้ากับมันได้สร้างสัญญาเลือดกันแล้ว นี่คือสิ่งที่ผู้ฝึกวิญญาณกับสัตว์วิญญาณจะทำสัญญาร่วมกันอย่างเท่าเทียม เจ้ากับมันทำได้แค่สัญญาเท่าเทียมเท่านั้น ไม่อย่างนั้น หากวันใดวันหนึ่งเผ่าพันธุ์ของมันรู้ว่าเจ้าจับมันมาเป็นทาส พวกมันต้องไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้าคงได้ตายอย่างอนาถ”
พูดจบ ลุงหนานก็เอาเลือดอีกหยดมาจากเจ้างู จากนั้นก็โยนงูน้อยในมือคืนให้แก่หลู่เส่าโหย่ว เมื่องูน้อยกลับคืนสู่ฝ่ามือของหลู่เส่าโหย่วนั้น มันกลับดูอ่อนโยนและดูสนิทสนมกับเขามากขึ้นจากก่อนหน้า
“ดูแลมันให้ดี ภายหลังมันจะช่วยเจ้าได้มาก เจ้าต้องให้มันกินเนื้อ ถ้าเป็นไปได้ก็ให้กินเนื้อสัตว์อสูรกับสัตว์วิญญาณจะดีที่สุด แบบนั้นมันถึงจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว” ลุงหนานกล่าว
“เนื้อสัตว์อสูรและสัตว์วิญญาณ” หลู่เส่าโหย่วถอนหายใจ นี่ก็เป็นตัวผลาญเงินเหมือนกัน
“นี่คือวิชาป้องกัน มีชื่อว่า ‘เกราะวิญญาณฟ้าคราม’ ข้าได้ใช้เลือดของสัตว์จักรพรรดิวิญญาณเป็นรากฐาน เกราะวิญญาณฟ้าครามนี้มีประโยชน์กับเจ้าอย่างไร ภายภาคหน้าเจ้าจะรู้เอง” ลุงหนานกล่าวกับหลู่เส่าโหย่ว พร้อมกับที่ในมือของลุงหนานได้ปรากฎแผ่นหยกขึ้น หลังจากที่ใช้เลือดหนึ่งหยดของสัตว์จักรพรรดิวิญญาณใส่เข้าไปแล้ว เขาก็ยื่นให้แก่หลู่เส่าโหย่ว
“และยังมีวิชาระดับขาวที่ชื่อว่า “ฝ่ามือแยกภูผา” พลังทำลายไม่ได้แย่นัก เจ้าฝึกฝนไปก่อน ถือว่าใช้สำหรับป้องกันตัว แล้วยังมีวิชานี้อีก ข้าไม่รู้ว่ามันอยู่ระดับไหน แต่ดวงของเจ้านั้นค่อนข้างดี หวังว่าเจ้าจะสามารถเข้าใจมันได้” ลุงหนานยื่นแผ่นหยกให้กับหลู่เส่าโหย่วอีกสองแผ่น
“ลุงหนาน ท่านจะสอนข้ากลั่นเม็ดยาและหลอมอาวุธเมื่อใด?” หลู่เส่าโหย่วถามหลังได้รับแผ่นหยกมา การฝึกฝนทักษะวิญญาณหยินหยางนี้เป็นการผลาญเงินชัดๆ ตัวเขาที่เป็นนายน้อยไร้ค่ายังไม่มีที่มาของทรัพย์สินเงินทองจากไหนเลย
“เจ้ายังจะโลภมากอีก ใกล้เช้าแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ จำเอาไว้ เจ้าต้องถ่อมตน อย่าพึ่งเปิดเผยสถานะผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกวิญญาณของตัวเอง เจ้าจงฝึกฝนทักษะวิญญาณหยินหยางนี้ไปก่อน ภายในตระกูลหลู่ไม่น่าจะมีคนดูออกถึงการเปลี่ยนแปลงของเจ้า ส่วนแก่นวิญญาณสองลูกในร่างเจ้านั้นน่าจะยังไม่ถูกดูดซับหมด คงพอให้เจ้าฝึกวิญญาณได้จนถึงระดับสาวกขั้นเก้า แต่จะสามารถทะลวงระดับนักรบได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูที่วาสนาของเจ้าแล้ว และเรื่องลมปราณที่แท้จริงของเจ้า ก็มีแต่ต้องกลืนกินแก่นอสูรเท่านั้น ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าพลังวิญญาณของเจ้าจะสูงส่งแค่ไหน หากลมปราณตามไม่ทัน เจ้าก็ไม่สามารถทะลวงระดับได้อยู่ดี” ลุงหนานกล่าวด้วยรอยยิ้มอันบางเบา
“เฮ้อ….” หลู่เส่าโหย่วค่อยๆ ถอนหายใจ ดูท่าว่าในอนาคตเขาจะต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ ถึงจะเพียงพอ ไม่เช่นนั้นตัวเขาคงไม่สามารถฝึกฝนทักษะวิญญาณหยินหยางนี่ได้อีกต่อไป
หลู่เส่าโหย่วกลับมายังประตูหน้าลานบ้านอีกครั้งในตอนที่ท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว หลังจากที่เขากลับมาถึงห้อง หลู่เส่าโหย่วก็เผยรอยยิ้มออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัวเขาในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ทั้งยังได้เป็นผู้ฝึกวิญญาณที่มีอยู่น้อยนิดอีกด้วย ถึงแม้ทักษะวิญญาณหยินหยางจะเป็นวิชาที่ผลาญเงิน แต่หากรอให้เขามีเงินทุนที่มากพอ เขาก็จะสามารถฝึกฝนได้รวดเร็วกว่าผู้อื่นแล้ว
“เจ้าเด็กนี่วาสนาดีนัก ได้เป็นผู้ฝึกตนควบคู่ ทั้งยังมีสัตว์จักรพรรดิวิญญาณอีก เส้นทางต่อจากนี้ ก็คงต้องดูที่ตัวเจ้าเด็กนั่นเลือกแล้ว” ลุงหนานพึมพำกับตัวเองท่ามกลางความมืดมิด
“เส่าโหย่ว หลายวันมานี้เจ้าสบายดีใช่ไหม เกิดเรื่องอะไรดีๆ ขึ้นหรือเปล่า” ในยามเช้า ลั่วหลานซือ แม่ของหลู่เส่าโหย่วได้เอ่ยถามเขาที่ยังไม่ได้นอนแล้วมาอยู่ในลาน หลายวันมานี้นางเห็นหลู่เส่าโหย่วดูเปล่งปลั่งและท่าทางอารมณ์ดี ซึ่งนางไม่ได้เห็นลูกชายเป็นแบบนี้มานานแล้ว
“ท่านแม่ พวกเราใกล้จะได้เลิกทำสิ่งเหล่านี้แล้ว ในอนาคต ตัวข้าจะดูแลท่านอย่างดี” หลู่เส่าโหย่วตอบ เมื่อเขาเห็นท่านแม่ไปทำงานที่ห้องซักผ้าตั้งแต่เช้าตรู่ ภายในใจก็รู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
ลุงหนานเคยกล่าวเตือนไว้ว่าในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเปิดเผยสถานะ นายหญิงใหญ่นั้นเดิมทีก็วางอุบายใส่หลู่เส่าโหย่วเพื่อหวังไม่ให้เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว หากนางรู้ว่าในตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ล่ะก็ รู้ตัวอีกทีตัวเขาก็คงตายไปแล้ว
ดังนั้น ตัวเขาจึงต้องมีพลังที่สามารถปกป้องตัวเองได้เสียก่อน ถึงจะสามารถเปิดเผยทุกสิ่งได้ ไม่เช่นนั้น มันจะนำพาอันตรายมาสู่ตัวของเขาเอง ในตอนนี้ตัวเขาทำได้เพียงแค่ต้องพยายามฝึกฝน และพยายามหาเงิน
“เจ้าเพียงมีใจก็พอ แค่เจ้าสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ แม่ก็พอใจแล้ว” ลั่วหลานซือกล่าวก่อนจะเดินไปยังห้องซักผ้า
“หาเงิน ฝึกฝน หาเงิน….” หลู่เส่าโหย่วกล่าวพลางแหงนมองท้องฟ้าบนลานบ้าน
“คุณชาย ทำไมท่านถึงตื่นแล้ว?” หลู่เสี่ยวไป๋ที่ก้าวเข้ามาภายในลานเอ่ยถามขึ้น
“วันนี้มีเรื่องอะไร”
“วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร ข้าได้ยินมาว่าวันนี้จะมีแขกสำคัญมาเยือน พวกคนรับใช้ไปเตรียมตัวที่ห้องโถงกันตั้งนานแล้ว”
“แขกคนไหนกัน สำคัญถึงเพียงนี้” หลู่เส่าโหย่วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ได้ยินว่าแขกของตระกูลกูตู๋จะมา ขนาดท่านหัวหน้าตระกูลยังต้องออกไปพบเขาด้วยตัวเอง” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าว
“ตระกูลกูตู๋…” หลู่เส่าโหย่วรู้ถึงความเป็นมาของตระกลูกูตู๋จากความทรงจำในจิตใจได้ทันที ดูเหมือนตระกูลกูตู๋นี้จะมีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ทีเดียว ร้านค้าเพียงร้านเดียวของตระกูลนั้นยังใหญ่กว่าธุรกิจของตระกูลหลู่ทั้งหมดรวมกันเสียอีก
“ได้ยินมาว่า คุณหนูจากตระกูลกูตู๋ก็จะมาด้วย ข้าได้ยินจากคนในเขตลานหน้าว่ากันว่าคุณหนูตระกูลกูตู๋นั้นงดงามเย้ายวนชวนเขย่าหัวใจผู้คนยิ่ง ท่านจะลองไปดูหรือไม่” หลู่เสี่ยวไป๋กระซิบ
“ช่างมันเถอะ ในเมื่อวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เช่นนั้นข้าขอนอนต่อดีกว่า” หลู่เส่าโหย่วกล่าว คุณหนูกูตู๋อะไรกัน ไม่เกี่ยวกับเขาในตอนนี้เลยสักนิด ดีเลย วันนี้เขาก็จะสามารถฝึกฝนวิชายุทธ์นั่นได้แล้ว
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปแอบดูสักหน่อย แล้วจะกลับมาบอกท่าน” หลู่เสี่ยวไป๋จากไปในทันที
หลังจากกลับถึงห้อง ลานบ้านก็ไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว หลู่เส่าโหย่วจึงเตรียมตัวฝึกวิชายุทธ์สักหน่อย เพราะหากเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วไม่มีวิชา เขาก็คงเหมือนกับวัวตัวหนึ่งอย่างที่ลุงหนานบอกเท่านั้น
หลู่เส่าโหย่วนำแผ่นหยกออกมาไว้ในมือหนึ่งแผ่น มันคือวิชาแยกภูผาระดับขาว ในมือของเขาเผยรอยประทับ แล้วลมปราณอ่อนก็ได้ไหลเข้าสู่ในนั้น ทันใดนั้นเองบนแผ่นหยกก็เกิดเส้นแสงสว่างออกมา จากนั้นมันก็จมลงไปที่หว่างคิ้วของหลู่เส่าโหย่ว
แสงสว่างเหล่านั้นได้กลายเป็นข้อมูลที่ไหลเข้าไปในจิตใจของเขาในทันที
หลู่เส่าโหย่วสงบจิตใจ เขาต้องจดจำเคล็ดวิชาแยกภูผาภายในจิตใจให้ได้ หลู่เส่าโหย่วเคลื่อนไหวมือตรงหน้าของตัวเองไปมา ภายในสองมือของเขาได้ปรากฏกระแสลมปราณที่มองไม่เห็นค่อยๆ โผล่ๆ หายๆ แต่เหมือนว่าหลู่เส่าโหย่วจะยังควบคุมกระแสลมปราณนั้นไม่ได้สักเท่าไหร่ เดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็หายไป
“ยังไม่ถูก วิชายุทธ์นี่ฝึกยากเสียจริง” หลู่เส่าโหย่วฝึกซ้อมอยู่ภายในห้องสองชั่วยามผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
แยกภูผา เป็นวิชาระดับขาว ถึงแม้จะไม่ใช่วิชาระดับปฐพีหรือระดับดำที่เป็นวิชาระดับสูงและลึกซึ้งกว่า แต่เมื่อหลู่เส่าโหย่วได้ลองสัมผัสกับวิชานี้ดูแล้ว ก็นับว่าวิชานี้มันช่างลึกซึ้งมากแล้ว
หลู่เส่าโหย่วฝึกซ้อมในห้องของตัวเองอย่างไม่ลดละ รอบกายของเขาปกคลุมไปด้วยลมปราณ บางครั้งในมือก็จะปรากฏกระแสลมปราณรอยฝ่ามือ แต่มันก็จะหายไปในทันที