จากตาลุงบ้านนอกไปเป็นจอมดาบ: ข้าก็แค่ครูฝึกดาบบ้านนอกธรรมดาคนนึง แต่ลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายไม่ได้คิดแบบนั้นนี่สิ ! - ตอนที่ 4: เดินทางสู่เมืองหลวงบาลเทรน
- Home
- จากตาลุงบ้านนอกไปเป็นจอมดาบ: ข้าก็แค่ครูฝึกดาบบ้านนอกธรรมดาคนนึง แต่ลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายไม่ได้คิดแบบนั้นนี่สิ !
- ตอนที่ 4: เดินทางสู่เมืองหลวงบาลเทรน
ข้าจำยอมขึ้นรถม้ามุ่งเข้าสู่เมืองหลวง ได้แต่มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างระคนเสียงรถม้าเบาๆระหว่างทาง
เป็นทิวทัศน์เดิมๆเหมือนทุกที มองเห็นท้องทุ่งสองข้างทาง เมื่อทอดสายตาไกลออกไปนั้น ข้ามองเห็นเงาภูเขาที่ทาบทับตะวันขึ้นยามเช้า
นานๆทีจะได้เห็นลำแม่น้ำผ่านตาให้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แต่โดยรวมแล้วการเดินทางนี้ช่างยาวนานและมีทิวทัศน์ที่จำเจ
หมู่บ้านบิดเดนตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกลความเจริญ
ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่ได้ยากลำบากอะไร ในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่ไม่ได้มีเสน่ห์อะไรให้น่าชื่นชมเช่นกัน
ถ้าใครได้มีโอกาสเดินทางระหว่างเมืองหลวงกับหมู่บ้านจะพบว่าภูมิประเทศแถบนี้นั้นเงียบสงบและไม่มีอะไรน่าสนใจจนถึงเมืองหลวงนั่นเลย
“นานแล้วที่ข้าไม่ได้เดินทางเข้าเมืองหลวงแบบนี้”
“จากนี้ท่านอาจารย์คงได้มีโอกาสเดินทางมาที่นี่บ่อยๆแล้วล่ะค่ะ”
พอไม่พูดอะไรเลย ข้ารู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเรามันน่าอึดอัด ข้าจึงเอ่ยปากแบบไม่ใส่ใจนัก ขณะที่หางตาลอบมองเธออยู่ แล้วอลิเซียก็ตอบกลับข้าทันที
รูปโฉมของอลิเซียนั้นช่างงดงาม
เธอมีเรือนผมสีเงินยาวจรดเอว ดวงตาเฉียงขึ้นเล็กน้อย โครงหน้าสวยคม ดูดี เหมือนปฏิมากรรมที่มีชีวิต
เธอดูสุขุมและสมเป็นกุลสตรีมากกว่าตอนที่เจอกันครั้งสุดท้าย
เดิมเธอก็เป็นเด็กที่มีเสน่ห์ น่ารักน่าเอ็นดู แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็กลายเป็นผู้หญิงที่สวยสมวัย
แน่นอนว่าที่ข้ากล่าวถึงนี่ไม่ได้มีความคิดประสงค์ร้ายกับลูกศิษย์จริงๆนะเออ
เออ จะว่าไป
พูดถึงอัศวินริเวลิโอ้แล้ว เป็นกองอัศวินที่มีมาตรฐานสูงและเข้มงวดกับการคัดเลือกคนเข้าหน่วยเป็นอย่างมาก แม้ข้าจะอยู่ในท้องถิ่นห่างไกลเมืองหลวง แต่กิตติศัพท์ของกองอัศวินนี้ก็ยังเลื่องลือมาถึง นั่นแสดงว่าความสามารถของพวกเขาคือของจริง
กองอัศวินนี้ยังเป็นองค์กรที่เป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรริเวอริส นอกจากจะมีขนบธรรมเนียมและเกียรติยศประดับบ่า พวกเขายังเป็นขุมกำลังใหญ่สุดที่ขึ้นตรงต่ออาณาจักร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแสนยานุภาพและรับบทเป็น “ไม้ซุง” ที่ยากจะมีใครมาคัดง้างได้ในด้านการเมืองระหว่างประเทศ
พูดถึงด้านความแข็งแกร่ง พวกทหารรับจ้างหรือนักผจญภัยที่มีฝีมือก็เหมาะกับบทบาทนี้อยู่
แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ขึ้นตรงกับอาณาจักร จึงไม่อาจวางใจในยามวิกฤติได้ แม้ว่าจะมีบางคนชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรนี้ก็ตาม
เมื่อมีหน้าที่ต้องปกป้องอาณาจักร ขอบเขตงานของกองอัศวินจึงค่อนข้างกว้าง ตั้งแต่รักษาความสงบเรียบร้อย เฝ้าระวังภัยอันตรายในเมืองหลวง ไปจนถึงปราบปรามพวกมอนสเตอร์ขนาดใหญ่
พวกเขาเป็นหน่วยงานที่ได้รับความชื่นชมจากชาวเมืองเป็นอย่างมาก นอกจากอลิเซียแล้ว ก็มีผู้คนอีกนับไม่ถ้วนที่มาเคาะประตูโรงฝึกข้าโดยเฉพาะเพื่อให้ได้เข้าร่วมกับกองอัศวินนี้ ซึ่งจำนวนคนเหล่านั้นข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามีมากเท่าไร
เหตุผลครึ่งหนึ่งที่ข้ารู้จักหน่วยงานนี้ ก็มาจากเสียงร่ำลือในชื่อเสียงของพวกเขาที่ขจรไกลมาถึงท้องถิ่นชนบท ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมาจากจดหมายของอลิเซีย เอาจริงๆ ข้าแปลกใจว่าเธอมีเวลาเขียนจดหมายยาวๆแบบนี้ทุกครั้งได้ยังไง
ในเมื่อหน่วยงานนี้เป็นองค์กรสำคัญระดับชาติ ผู้นำองค์กรย่อมเปี่ยมไปด้วยความสามารถ ได้รับการเคารพยกย่องและมีบุคลิกภาพอันยอดเยี่ยม ซึ่งแน่นอนว่าที่กล่าวมานั้น อลิเซียมีคุณสมบัติเหล่านั้นเพียงพอและมีแนวโน้มว่าจะเป็นวีรสตรีจริงๆด้วยสิ
“แล้วเรื่องที่ท่านมอเดียร์พูดถึงนั่น…”
“อ๋อ อย่าใส่ใจเลย เขาก็พูดเล่นไปอย่างนั้นเอง”
อลิเซียได้สนทนากับข้าต่อ บางทีอาจเป็นเพราะเห็นข้าบ่นพึมพัมกับตนเองเบาๆ เธอก็เลยชวนคุยด้วย
มอเดียร์ คือ ชื่อของตาแก่พ่อข้านั่นเอง
อายุพ่อข้าก็เกือบๆจะหกสิบห้าแล้ว แต่สภาพร่างกายและจิตใจก็ยังฟิตเปรี๊ยะอยู่ ถึงแม้อาการปวดหลังของเขาจะน่าเป็นห่วงก็ตาม
ถึงเราจะนั่งรถม้ามุ่งหน้าตรงไปยังเมืองที่สำคัญที่สุดของประเทศ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งวันในการเดินทาง
ไม่ว่าโรงฝึกจะปิดหรือไม่ ข้าไม่สามารถเก็บข้าวของแล้วออกเดินทางเลยได้ ข้าจึงบอกกล่าวกับพ่อข้าไว้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในเมื่อข้าไม่อาจโกหกพ่อข้าได้ ดังนั้นข้าและอลิเซียจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อข้าฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“ฮ่าๆๆๆ! ดี! เจ้าสมควรได้รับเกียรตินี้แล้ว! เข้าเมืองไปหาเมียซะ ไอ้ลูกชาย หรือจะเป็นนังหนูนี่ก็ไม่เลวนะ!”
และนั่นคือสิ่งที่ตาแก่ได้ทิ้งระเบิดไว้ให้
ช่างเป็นชายที่ขาดความละเอียดอ่อน ไม่ดูกาละเทศะเสียบ้างเลย ข้ายังแปลกใจว่าคนแบบพ่อข้ามาแต่งกับแม่ข้าได้ยังไง
ข้ารู้ว่าตาแก่เป็นห่วงที่ข้าอยู่เป็นโสดมาถึงอายุปูนนี้ แต่เอาจริงเหรอ? กับอลิเซียเนี่ยนะ?
เธอช่างแตกต่างกับข้าในด้าน..เอ่อ ทุกอย่างเลยนี่หว่า…รูปโฉม, ความสามารถ, สถานะ…
“รู้มั้ยคะ…ว่าข้าไม่ติด…”
“หืม? เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ไม่ค่ะ ไม่ ไม่มีอะไร”
“เอ่อ เอาเถอะ ข้าต้องขอโทษแทนพ่อข้าด้วย”
ขณะที่ข้าได้กล่าวขอโทษในคำพูดไม่รู้สึกรู้สาอะไรของพ่อข้า ข้าก็หันมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอีกครั้ง
ถึงจะอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่ได้อยากพิสูจน์ว่าพ่อข้าคิดมันถูกต้อง แต่ในเมื่อที่นี่คือเมืองหลวงบาลเทรน ก็หาประโยชน์ให้มากที่สุดแล้วกัน เปิดหูเปิดตา ทำอะไรใหม่ๆดูบ้าง
ถึงจะไม่ได้พบใครที่ถูกใจ ข้าก็น่าจะหาซื้อของที่ระลึกกลับไปฝากตาแก่พ่อข้าได้ โอ๊ะ หรือจะหาซื้อดาบคุณภาพดีสักเล่มก็ดีเหมือนกัน
แน่ล่ะว่าดาบนั่นมันไม่ได้ใช้ในตอนฝึกนักเรียน แต่ข้าก็อยากมีติดตัวไว้สักเล่ม
ในเมื่อข้าไม่มีงานอดิเรกอื่นๆ ข้าก็ย่อมไม่ใช้จ่ายเงินเพื่อการอื่นใดเช่นกัน
และไม่มีทางเสียหรอกที่ตาลุงน่าเบื่อวัยสี่สิบปีอย่างข้า ผู้ซึ่งทั้งชีวิตไม่มีอะไรนอกจากดาบจะมีใครมาช่วยใช้จ่ายเงินนี้
ดังนั้นข้าจะปล่อยให้เงินมันตุงอยู่แต่ในกระเป๋าแบบนี้ไปทำไมล่ะ?
“ว่าแต่ เมื่อถึงเมืองหลวงแล้วเราต้องทำอะไรบ้างล่ะ?”
“อย่างแรกเลยในวาระโอกาสนี้ ข้าจะพาท่านอาจารย์ไปพบปะกับเหล่าอัศวิน หลังจากนั้นเราค่อยมาจัดตารางการฝึกสอนของท่านอาจารย์และถ้ามีเวลาเหลือก็เตรียมบทเรียนนิดหน่อยค่ะ”
“เข้าใจล่ะ พ่อข้าคงทำตัวน่ารำคาญอีกแน่ถ้าข้าไม่ได้ไปพบใครถูกใจในบาลเทรน ดังนั้นข้าอยากจะหาซื้อของที่ระลึกชดเชยให้แกแทน”
“งั้น เราก็ทำเรื่องงานเอกสารให้เสร็จโดยเร็ว แล้วข้าค่อยพาท่านไปเดินตลาดนะคะ”
“เอางั้นก็ได้”
พอเริ่มเรื่องนี้ ดูเธอมีความกระตือรือร้นจังแฮะ น่ากลัวพิลึก
ข้าค่อนข้างเป็นกังวลอยู่บ้างที่ต้องไปดูการฝึกซ้อมของเหล่าอัศวินทันทีเมื่อไปถึงที่นั่น
แต่ก็อีกนั่นแหละ ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องทำอะไรจนกว่าจะไปถึงที่นั่น
ไม่มีเวลาหันหลังกลับแล้ว เมื่อเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า มันก็ไม่อาจทวนทิศหวนคืนได้อีก ช่างมันละกัน
ข้าจะปล่อยให้ตัวข้าในอนาคตรับมือกับปัญหาในอนาคตไป และคิดถึงเรื่องสนุกๆแทนดีกว่า
ข้างๆข้าคือผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ผู้ซึ่งดีเกินไปสำหรับข้าและบังเอิญว่าเธอยังเป็นอดีตลูกศิษย์ที่น่ารักของข้าเสียด้วย ถึงแม้ตอนนี้เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เถอะ…
“พูดถึงของฝาก แล้วท่านมอเดียร์ชอบอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ?”
“โอ้ ถึงจะอายุมากแล้ว พ่อข้าก็ยังชอบกินซาลาเปาอยู่นะ”
ในขณะที่รถม้ากำลังจะถึงเมืองหลวงบาลเทรน ข้าก็ได้คุยอะไรเรื่อยเปื่อยกับอลิเซียไปตลอดทาง
————————
บ่นท้ายตอนจากผู้แปล
1. ทำไมตอนแปลใช้เวลานาน พอมาอ่านทวน มันใช้เวลานิดเดียวเองแฮะ..
2. ความย้อนแย้งของตาลุงนี่คือ แกพยายามบอกว่าแกไม่คิดอะไรกับลูกศิษย์จริงๆนะ แต่พรรณนาถึงความงามของลูกศิษย์ไปสองตอนแล้วเฮ้ย!
3. คำว่า Monster ผมขอเปลี่ยนจากสัตว์อสูรเป็นทับศัพท์ว่ามอนสเตอร์แทนแล้วกันครับ ผมว่าผู้อ่านน่าจะคุ้นกับคำนี้ในนิยายมากกว่า