จากตาลุงบ้านนอกไปเป็นจอมดาบ: ข้าก็แค่ครูฝึกดาบบ้านนอกธรรมดาคนนึง แต่ลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายไม่ได้คิดแบบนั้นนี่สิ ! - ตอนที่ 3: ครูฝึกพิเศษ
“อะเด๊ะ…เดี๋ยวนะ…เจ้าช่วยพูดอีกทีซิ?”
“ค่ะ ท่านอาจารย์ ข้าได้เสนอท่านเป็นผู้ฝึกสอนพิเศษให้กับกองอัศวิน และข้อเสนอของข้าก็ได้รับการเห็นชอบแล้วค่ะ ดังนั้นข้าจึงนำข่าวดีนี้มาแจ้งให้ท่านอาจารย์ทราบค่ะ”
“เอ๋..?”
เห้ย? อะไรนะ? ครูฝึกสอนพิเศษ?
ข้าก็แค่ครูฝึกดาบต๊อกต๋อยบ้านนอกหลังเขาห่างไกลความเจริญ แล้วเสนอชื่อให้ข้าเป็นครูฝึกสอนพิเศษให้กับกองอัศวินของเมืองหลวงบาลเทรนเนี่ยนะ?
ฮ่าๆ นี่ต้องเป็นรายการล้อกันเล่นแน่ๆ อลิเซีย เจ้านี่เล่นได้เนียนกริ๊บเลย!
ข้าก็คิดว่าเธอเป็นคนนิ่งๆเฉยๆ แต่ก็มีมุกตลกเหมือนกันนะนี่!
“…อันนี้จริงจังปะ?”
“ท่านอาจารย์คะ เรื่องแบบนี้ข้าจะโกหกท่านไปเพื่ออะไร?”
พอข้าถามย้ำไปอีกทีเพื่อความแน่ใจ อลิเซียก็ตอบกลับข้าด้วยเสียงตึงหน่อยๆและมีสีหน้าหมองเศร้า
เห้ย…ถ้างั้นก็แย่แล้วสิ ข้าจะไปทำแบบนั้นได้ยังงัย
“ท่านอาจารย์คะ เรื่องนี้ไม่ได้มากมายอะไรสำหรับบุคลากรที่มีความสามารถเช่นท่านเลยค่ะ”
“ว่าไปนั่น…ข้าไม่ได้เก่งกาจอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”
“แหม ท่านอาจารย์ก็ถ่อมตัวเช่นนี้เสมอเลย”
ไม่ ไม่ ไม่ อีหนูเอ๊ย นี่ข้าไม่ได้พูดเล่น แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ข้าหมายถึง ข้าก็ไม่คิดว่าฝีมือตนเองแย่หรอกนะ คือถ้าข้าไร้ฝีมือ ข้าคงไม่สามารถเป็นครูฝึกดาบได้แบบนี้หรอก
แต่ตอนนี้ ข้ากำลังจิตตกกับความความสามารถของตนเองว่าดีพอรึเปล่า คนอย่างข้านี่น่ะนะ? จะให้ไปสอนอัศวินริเวลิโอ้ เหล่ายอดอัศวินแห่งเมืองหลวงเนี่ยนะ?
ถึงข้าจะไม่รู้แน่ชัดว่าครูฝึกสอนพิเศษต้องทำอะไรบ้าง แต่ที่พอเป็นหน้าไปตาให้ข้าได้บ้างก็คงเป็นการสอนวิชาดาบนี่ล่ะมั้ง
แล้วให้คนอย่างข้าไปสอนวิชาดาบให้กับผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัศวินชั้นหนึ่งระดับหัวกะทิของประเทศเนี่ยเหรอ?
ฮ่าๆ! ขำกลิ้งเลย…นี่มันตลกร้ายชัดๆ
“แล้ว….กองอัศวินเห็นชอบเรื่องนี้ได้ยังไงกัน?”
ใช่เลย
ถึงอลิเซียจะประเมินข้าสูงไป แค่ข้อเสนอของเธอคนเดียวมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะให้ข้าได้ตำแหน่งนี้
ถึงข้าจะไม่รู้ว่าพวกอัศวินเค้าทำงานกันยังงัย แต่อย่างน้อยที่สุด การจะสนับสนุนใครขึ้นมา มันไม่ง่ายแบบการตัดสินใจของคนๆเดียวตามลำพังหรอก
จากที่กล่าวว่า “ได้รับความเห็นชอบ” นั่นแสดงว่าต้องมีใครบางคนหรือกลุ่มคนที่พิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ข้าอยากจะยื่นเรื่องให้พวกเค้ายกเลิกคำขอนี้เสียจริง
แต่ไอ้คนที่อนุมัติคำร้องขอแบบนี้ได้ มันต้องติงต๊องระดับหนึ่ง ดังนั้นถึงยื่นเรื่องไปก็เท่านั้นแหละ
เอาเถอะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะไปต่อยตีกับพวกนั้น งั้นมาดูกันหน่อยว่าข้าจะพบอะไรเบื้องหลังคำขอนี้บ้าง
“การขอตำแหน่งนี้ให้กับท่านอาจารย์นั้นง่ายมากค่ะ ลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของท่านหลายคนก็เป็นอัศวินอยู่ ณ ขณะนี้ นอกจากนี้ ท่านอาจารย์ก็เป็นผู้มีชื่อเสียงในวิชาดาบ ถึงกับได้รับขนานนามว่า “จอมดาบบ้านนอก” แล้วท่านยังเคยสอนนักผจญภัยและอัศวินที่มีชื่อเสียงอีกหลายคนด้วย ข้าอยากจะเอาคำว่า “บ้านนอก” ออกจากสมญานามท่านด้วยซ้ำ แต่เพราะหมู่บ้านบิดเดนไม่ใช่เมืองหลวงก็เลย…”
“ฮ่าๆ เจ้านี่เล่นมุกอีกแล้ว”
ใครวะ? ไอ้กร๊วกที่ไหนวะที่ชื่อ “จอมดาบบ้านนอก”
ไอ้คำหลังน่ะใช่ ข้าอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกลความเจริญก็สมควรเรียกว่าบ้านนอก แต่ไอ้คำหน้านี่…จอมดาบเรอะ? อะไรเนี่ย?
ขอย้ำอีกครั้งว่า ข้าก็แค่ครูฝึกดาบต๊อกต๋อยที่เปิดโรงฝึกดาบเท่านั้นเองนะเห้ย
เออ ทักษะเชิงดาบของข้าสูงกว่ามาตรฐานคนทั่วไปก็จริงอยู่ แต่ข้าไม่ใช่ตำนานที่มีชีวิตหรือวีรชนนะเห้ย ข้าไม่ใช่ “จอมดาบบ้านนอก” เป็นแค่ “ตาลุงบ้านนอก” เอง
“งั้น นี่ไม่ใช่มุกหรือเรื่องอำกันเล่น…”
ชิบหายแล้ว อลิเซียทำหน้าเศร้าอีกแล้ว
“เอ่อ ขอโทษๆ ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น คือมันยากที่จะเชื่อได้น่ะ…”
พูดแบบนี้น่าจะปรับอารมณ์เธอได้บ้าง นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอแต่อย่างใด
ไม่สิ ไม่ถูกซะทีเดียว เธอน่าจะยังรู้สึกผิดที่แนะนำข้า แต่…
“ท่านอาจารย์คะ ฝีมือท่านตกต่ำลงหลังจากข้าออกจากโรงฝึกไปหรือเปล่า?”
“ไม่เลย ข้าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก ยังคงเป็นแค่ตาลุงบ้านๆคนเดิมนั่นแหละ”
ให้ตายเถอะ ดูเหมือนว่ายังงัยก็จะให้ข้าเป็นครูฝึกให้ได้
แต่จะให้ข้าไม่อึดอัดใจกับเรื่องนี้มันอดไม่ได้จริงๆ
ไม่ใช่ว่าข้าอารมณ์เสียกับเรื่องนี้หรอก แต่ข้ารู้สึกว่าตัวเองถูกประเมินค่าไว้สูงเกินกว่าที่ตัวข้าเป็น
“แต่ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง แล้วโรงฝึกนี้จะทำยังไงล่ะ? ข้ายังมีลูกศิษย์ที่ต้องสอนอีกมาก ข้าจะไปปุบปับทันทีไม่ได้หรอก”
อย่างที่เคยบอกไป ข้าสืบทอดกิจการโรงฝึกมาหลายปีแล้ว โรงฝึกนี้เป็นกิจการครอบครัวข้า และถ้าข้าไม่ได้แต่งงานมีทายาท ดูท่าคงต้องยุบกิจการนี้หลังหมดรุ่นข้านี่แหละ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ไอ้ครั้นจะให้ยอมแพ้ เลิกกิจการเลย มันก็ดูจะไร้ความรับผิดชอบเกินไป แล้วพ่อข้าก็แก่เกินจะมีแรงจับดาบได้อีกต่อไปแล้วด้วย
“ค่ะ ท่านอาจารย์ เรื่องนั้นข้าตระหนักดี นั่นคือเหตุผลที่ข้าเสนอท่านเป็นอาจารย์พิเศษ ท่านไม่จำเป็นต้องอยู่ประจำกองอัศวินแต่อย่างใด
แค่เดินทางมาบาลเทรนเพื่อชี้แนะการฝึกสัก 2-3 ครั้งต่อเดือนก็พอค่ะ
“โอ้ เข้าใจล่ะ”
อ๋อ ไอ้งานในตำแหน่ง “ผู้ฝึกสอนพิเศษ” มันเป็นแบบนี้นั่นเอง
“ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ข้าจะพาท่านไปเมืองบาลเทรนเพื่อพูดคุยกันถึงการจัดตารางการฝึกในวันข้างหน้า และข้าได้เตรียมรถม้าไว้ให้ท่านอาจารย์ที่ด้านนอกโรงฝึกแล้วค่ะ”
“ตอนนี้เลยเหรอ!?”
“ท่านอาจารย์คะ วันนี้โรงฝึกปิดมิใช่หรือคะ?”
“เอ้อ ก็จริงนะ แต่ว่า…”
ใช่แล้ว เธอพูดถูก…..
จะว่าไปก็ทำเอาข้าขนลุกแล้วนะว่าหลายปีมานี้ เธอยังจำกำหนดเวลาเปิด-ปิดทำการของโรงฝึกได้อยู่อีก
นี่มันจะแปลกเกินไปแล้ว ทำไมเรื่องมันดำเนินการไปแบบไหลลื่นปรู๊ดปร๊าดแบบนี้กันเล่า
นี่ข้าต้องรับตำแหน่งนี้จริงๆเหรอ?
ไม่มีอะไรที่ข้าทำผิดพลาดไปใช่มั้ย?
แล้วข้ามีความสามารถพอที่จะเป็นผู้ฝึกสอนพิเศษให้กองอัศวินจริงๆน่ะเหรอ? ถึงทำให้อลิเซียคิดแบบนั้นไปได้….
หรือข้าควรปฏิเสธการรับการแต่งตั้งจากกองอัศวินตั้งแต่แรกดีมั้ย?
แล้วข้อเสนอนี้มีผลใช้บังคับมากน้อยแค่ไหนกัน?
ความคิดมากมายไหลผ่านเข้ามาที่หัวข้าวุ่นวายไม่รู้จบ
อลิเซียเป็นเด็กดี ตลอดเวลาสี่ปีที่เป็นครูกับลูกศิษย์ด้วยกันมา ข้ายืนยันเรื่องนี้ได้
แต่ข้าจำไม่ได้ว่าเธอเป็นเด็กที่มีความคิดรบเร้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน!
จริงอยู่ว่าในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด เธอเป็นลูกศิษย์ที่ติดข้าแจที่สุดคนหนึ่ง เธอคงคิดถึงข้ามากทีเดียว
เธอมีพรสวรรค์และให้ความใส่ใจในการเรียนรู้ นั่นคือเหตุผลที่ข้ามอบดาบให้แก่เธอเป็นของที่ระลึกหลังเรียนจบ
ขณะที่ข้าจ้องมองเธอด้วยความคิดที่เต็มไปด้วยความสงสัยอยู่ในสมองเต็มไปหมด เธอก็เหมือนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็ควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าก่อนจะหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา
“จริงสิ ท่านอาจารย์ ข้าเกือบลืมไปเลย นี่คือรายละเอียดการแต่งตั้งที่ได้รับการเห็นชอบถูกต้องโดยมีตราประทับของฝ่าบาทค่ะ”
“อ๋าาาาา”
ตราประทับของพระราชา…
ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ!
———————————————————–
บ่นท้ายตอนจากผู้แปล
ในแปลอังกฤษมีท่อนหนึ่งที่บอกว่าข้อเสนอของอลิเซียทำให้ลุงแกอยู่ในภาวะ impostor syndrome
Impostor Syndrome ไม่ใช่ความรู้สึกว่าเรื่องนี้ยากเกินไป เราจะทำไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ความกลัวที่จะล้มเหลวด้วย แต่เป็นความรู้สึกที่ว่าเอาจริงๆ แล้ว เราไม่ได้มีความสามารถในเรื่องนั้นแบบนั้น และมีความรู้สึกว่ากลัวคนอื่นจะ ‘จับได้’ ว่าเราไม่ได้มีความสามารถแบบนั้น
คิดว่าหลายคนที่ถึงวัยทำงานก็น่าจะเคยมีอาการนี้ เวลาที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญบางอย่างและเริ่มจิตตกว่าตนเองมีความสามารถที่จะทำได้รึเปล่า
ข้อแนะนำ คือ
1. ‘Don’t Freeze’ อย่าเหวอจนทำอะไรไม่ถูก
2. ‘Find Your Way Out’ หาทางออกให้ได้
อ่านบทความจากอาการนี้ได้ที่
กลัวถูกจับได้ว่าตัวเองไม่เก่ง รู้จัก Impostor Syndrome ยิ่งสำเร็จยิ่งมีโอกาสเป็น?