จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 182 ลำเอียง! หานเจี้ยนเย่พังทลาย
หญิงชราลุกขึ้นมานั่งด้วยความช่วยเหลือของหานเจี้ยนกั๋ว เธอพิงศีรษะที่ขอบเตียงและโบกมือให้โล่เฉิน
ทุกคนงุนงง
โล่เฉินเองก็สับสน เขาเดินเข้าไปถาม “คุณย่า มีเรื่องอะไร?”
“ตระกูลหานประสบหายนะ ยากจะเดินต่อไปได้ ผู้รับผิดชอบโครงการปินหูคือหยู่เยน เธอมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่”
แค่ประโยคเดียว ใบหน้าของโล่เฉินก็ปั้นยากขึ้นมา
หานหยู่เยนกัดริมฝีปากจนคล้ายจะแตกออก น้ำตาไหลริน หลิวเซียงหลันโกรธจัด หานเจี้ยนเย่ส่ายหัวและถอนหายใจ
หานหยุนเทามองดูคนเหล่านี้อย่างมีความสุข
ทัศนคติของทุกคนถูกแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“คุณย่า คุณน่าจะรู้ดีว่าอาคารไม่ได้ถล่มแค่หลังเดียว แต่อาคารที่กำลังก่อสร้างทั้งหมดได้พังทลายลงมา นี่ต้องเป็นการจงใจทำลายของใครบางคน ไม่ใช่ความรับผิดชอบของหยู่เยน”
“ฉันรู้ แต่ว่าจะทำอะไรได้”
สีหน้าของหญิงชราดูสงบนิ่ง ราวกับว่าได้มองอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
“ตอนนี้รัฐบาลยังหาข้อสรุปไม่เจอ นี่บอกได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทำร้ายตระกูลหานนั่นใหญ่โตอย่างมาก พวกเราตระกูลหานอ่อนแอ ได้แต่กลืนกินฟันที่หักลงไปในท้องก็เท่านั้น"
โล่เฉินขมวดคิ้วและถาม “อย่างนั้นความหมายของคุณย่าคือ?”
หญิงชราหยุดชะงักไป ก่อนจะพูดว่า “ฉันไม่ได้โหดร้าย หยู่เยนต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เพราะเธอคือผู้รับผิดชอบโครงการปินหู อีกทั้งพวกเราก็ไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยสำหรับการบาดเจ็บล้มตายได้ หยู่เยนได้แต่ต้องมอบตัวแล้ว"
“นายต้องการให้หยู่เยนติดคุกงั้นหรือ?”
โล่เฉินส่ายหัว “แน่นอนว่าไม่”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ นายก็โอนบริษัทให้กับคุณลุงเจี้ยนกั๋วเถอะ”
ทั้งห้องเงียบกริบ
โล่เฉินรู้สึกว่าเขาหูฝาดไป ดังนั้นจึงถามยืนยันอีกครั้ง
“คุณย่า คุณพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันขอให้นายโอนบริษัทให้หานเจี้ยนกั๋ว นายเข้าใจแล้วหรือยัง!”
ทุกคนหน้าซีด
โล่เฉินหัวเราเยาะในใจ ที่แท้นี่ต่างหากคือประเด็นหลัก
หลิวเซียงหลันทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตะโกนอย่างโกรธเคือง "บ้าบอ จนถึงตอนนี้ยังคิดอยากจะได้บริษัท แถมยังต้องการโอนมันให้หานเจี้ยนกั๋ว แม่ คุณคิดว่าครอบครัวของเราโง่กันหรือไง คุณคิดจะทำอะไรก็ได้งั้นหรือ!"
“นี่เธอพูดจาประสาอะไรกัน” หานหยุนเทาเอ่ยตำหนิ
เขาไม่คิดว่าหญิงชราจะตัดสินใจออกมาแบบนี้
บริษัทของโล่เฉินตอนนี้เป็นดั่งสมบัติ ตระกูลเจิ้งลงทุนไปถึง 15 ล้าน นี่เทียบกับบริษัทของตระกูลหานแล้วยังดีกว่าเสียอีก
หากได้มันมา ตระกูลหานจะล่มสลายก็สลายไปซะเถอะ ตนก็ยังคงเป็นคุณชายได้อยู่
หานหยุนเทาตะโกนว่า "ในตระกูลนี้ คุณย่าใหญ่ที่สุด ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งของย่า"
“ไอ้สารเลวตัวบัดซบ!” หลิวเซียงหลันตะโกนด่าทอ
เพล้ง
หลังจากด่าจบ หลิวเซียงหลันก็คว้าแจกันดอกไม้แล้วฟาดลงกับพื้น
ในเวลานี้ เธอแสดงท่าทางที่ดุร้ายทรงพลังราวกับสิงโตที่โกรธจัด ใครกล้าแตะต้องบริษัท ก็ต้องเอาชีวิตมาเข้าสู้
หานหยุนเทาคอหดไป ท่าทางกลัวอยู่บ้าง
“คิดว่าตัวเองเป็นไทเฮาหรือยังไง ใกล้จะตายอยู่แล้ว ยังกล้ารังแกครอบครัวของเรา ฉันยังนับถือคุณเป็นแม่สามี หวังว่าคุณจะเคารพตัวเองบ้าง อย่าได้มาพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้!”
ปอดของหลิวเซียงหลันใกล้จะระเบิดออกมา
เธอรู้สึกได้รับการเหยียดหยาม
ในเวลาแบบนี้แล้ว ครอบครัวของตนก็ยังถูกบีบคั้นรังแก ใครกันจะทนได้
หญิงชรามีสีหน้าสงบ เธอเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่เย็นชา "เธอต้องการให้หยู่เยนเข้าคุกงั้นหรือ?"
“ไม่อย่ากแน่นอน แต่นี่มันเกี่ยวข้องกับบริษัทยังไง? หรือว่าพอย้ายบริษัทไปให้หานเจี้ยนกั๋วแล้ว หยู่เยนก็ไม่ต้องติดคุกแล้ว”
"ไม่ผิด!"
"อะไรนะ?"
ใบหน้าของหลิวเซียงหลันแข็งค้าง หานเจี้ยนเย่และคนอื่นๆ ก็แอบตะลึงไปเช่นกัน
แม้แต่โล่เฉินเองก็เลิกคิ้ว รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
หญิงชราสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงค่อยๆนั่งลงที่ขอบเตียง ใบหน้าเหี่ยวย่นสั่นสะท้าน ก่อนจะพูดว่า
“ขอแค่นายยอมโอนย้ายบริษัทไปให้เจี้ยนกั๋ว ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างเองและเข้าคุกแทนหยู่เยน ยังไงเสียเวลาของฉันก็มีมามากแล้ว นี่ไม่สำคัญอะไร”
บูม
ประโยคนี้ราวกับสายฟ้าฟาดลงมายามกลางวัน คล้ายกับถูกฟ้าร้องกลางศีรษะ จนทำให้หลายคนในห้องสั่นสะท้าน
หานเจี้ยนกั๋วหลั่งน้ำตาและคุกเข่าลง
หานหยุนเทาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น ระงับความปีติยินดีในใจเอาไว้อย่างสุดแรง ก่อนจะคุกเข่าลงด้วยเช่นกัน เขารู้แล้ว ว่าคุณย่าเป็นคนดีจริงๆ
“คุณ…คุณไม่อายบ้างหรือไง!”
หลิวเซียงหลันรู้สึกวิงเวียน ดวงตามืดดำขึ้นมา
หานเจี้ยนเย่กำหมัดแน่นจนเป็นสีขาว เขาคล้ายต้นอ้อท่ามกลางลมและฝน ตัวสั่นสะท้าน กรอบตาแดงก่ำ
“แม่! คุณลำเอียงได้ขนาดนี้เชียวเหรอ!” เสียงของหานเจี้ยนเย่แหบแห้ง “เพื่อพี่ใหญ่ ยินดีที่จะติดคุก แถมยังอยากเอาบริษัทของ โล่เฉินไป…”
"ฮ่าฮ่าฮ่า!"
หานเจี้ยนเย่หัวเราะลั่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด น้ำตาไหลรินลงมา
“ตั้งแต่เด็กมา แม่ล้วนปกป้องแต่พี่ใหญ่ ปฏิบัติต่อผมอย่างเฉยเมยไม่ร้อนไม่หนาว มีอะไรดีล้วนยกให้พี่ก่อน พี่กินเนื้อผมกินน้ำ”
“ในบริษัท แม่ก็จัดการให้พี่ใหญ่เป็นหัวหน้าระดับสูง ส่วนผมอยู่แค่ระดับกลางค่อนไปล่าง กระทั่งเงินเดือนของผมและหยู่เยนยังน้อยกว่าครอบครัวของพี่ใหญ่อยู่มาก”
"พวกเขาขับรถหรู อาศัยอยู่ในบ้านสไตล์ตะวันตก ส่วนครอบครัวผม อาศัยอยู่ในชุมชนที่ทรุดโทรมยุค80 90 ขับรถโตโยต้ารุ่นเก่า แต่พวกนี้แม่กลับไม่แม้แต่จะสนใจไถ่ถาม"
หญิงชราสีหน้าเย็นชาและพูดว่า “นั่นเป็นเพราะแกไร้ความสามารถ”
หานเจี้ยนเย่ร่างกายโอนเอน เขาทั้งร้องไห้และหัวเราะ "ผมไร้ความสามารถ? จริงหรือ"
“ผลการเรียนของผมในชั้นประถมศึกษา มัธยมต้น และมัธยมปลายทุกครั้งล้วนดีกว่าพี่ใหญ่เป็นไหนๆ ตอนนั้นผมสอบติดมหาวิทยาลัยสำคัญ แต่แม่กลับใช้เรื่องบริษัทมาอ้าง ขอให้ผมเลิกเรียนมหาวิทยาลัยและเข้าไปช่วยที่บริษัทแทน”
“ได้ คุณเป็นแม่ ผมย่อมฟังแม่ แม้ว่าจะไม่ได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย แต่ผมก็สามารถแสดงความสามารถของผมได้ แต่แม่กลับเอาแต่ให้ผมจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่เสมอ ไม่อนุญาตให้ผมได้แตะต้องโครงการอะไร”
“พอพี่ใหญ่เรียนจบ ช่างรุ่งโรจน์เสียจริง เพียงพริบตาก็ขึ้นมาเป็นหัวหน้าระดับสูง ผมทำงานในบริษัทมาสามสี่ปี สุดท้ายกลับให้ผมได้เป็นแค่พนักงานเล็กๆ ในระดับกลางค่อนไปล่าง”
หานเจี้ยนกั๋วมองย้อนกลับมาและพูดอย่างเย็นชา “เจี้ยนเย่ หุบปาก หยุดพูดได้แล้ว”
"ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ!"
หานเจี้ยนเย่คำราม ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด จนทำให้หญิงชราและหานเจี้ยนกั๋วตกตะลึง
หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยเห็นหานเจี้ยนเย่เป็นแบบนี้
“ผมเริ่มจากจิตใจที่ฮึกเหิมในเริ่มต้น คิดอยากเป็นผู้นำฟื้นฟูตระกูลขึ้นมา จนค่อยๆถูกขัดเกลาไปอย่างช้าๆ กลายเป็นแค่เพียงไอ้คนขี้ขลาดตาขาวตามที่เซียงหลันเรียก”
“ทั้งหมดนี้ใครกันที่เป็นต้นเหตุ!”
“พวกคุณแม่ลูกดีนี่ เห็นผมเป็นคนนอกอย่างสิ้นเชิง ตอนที่พ่อยังอยู่ก็ยังเก็บอาการกันอยู่บ้าง แต่พอพ่อจากไป สามปีมานี้ครอบครัวของเราเป็นอย่างไร พวกคุณลองถามใจตัวเองดู จิตสำนึกถูกทิ้งไปหมดแล้วหรือไง!”
หญิงชราคลานขึ้นมาจากเตียงคว้าไม้ค้ำยันและทุบเข้าใส่
“ไอ้บัดซบ!”
หานเจี้ยนเย่ร้องไห้เป็นสายน้ำ เขาคุกเข่าลงและร้องไห้ลั่น
“แม่ ผมคิดไม่ออก ผมไม่เข้าใจ ผมไม่ยอม ทำไมตั้งแต่เล็กจนโตแม่ถึงได้เอาแต่ลำเอียงรักพี่ใหญ่แค่คนเดียว?”
“จนถึงตอนนี้ แม่ก็ยังอยากแย่งบริษัทของโล่เฉินไปให้กับพี่ใหญ่ แม่กำลังจะผลักครอบครัวของผมไปสู่ขุมนรก ทำให้ครอบครัวของผมไม่สามารถอยู่ต่อไปได้!”
“แม่ ผมทำอะไรผิด”
ในห้อง
หานเจี้ยนเย่ร้องไห้อย่างรวดร้าว จนคนรู้สึกถึงมันได้จากก้นบึ้งในใจ
อย่างไรก็ตาม นอกจากหลิวเซียงหลันสองแม่ลูกและโล่เฉินแล้ว คนอื่นๆไม่ได้รู้สึกอะไรไปด้วย
หญิงชรานิ่งเงียบไปนาน
หลังจากนั้น เธอก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ฉันติดคุกแทนหยู่เยน โล่เฉินโอนย้ายบริษัทไปให้เจี้ยนกั๋ว นี่ยุติธรรมอย่างมาก ไม่ใช่หรือไง!”
"ยุติธรรม?"
หานเจี้ยนเย่หัวเราะเยาะตัวเอง เขานั่งลงบนพื้นและเอ่ยพึมพำ "ในที่สุดคำสองคำนี้ก็ตกมาอยู่กับผม ช่างยุติธรรมจริงๆ ยุติธรรมมากๆ ยุติธรรมมาก"
เมื่อมองดูท่าทางจิตใจล่องลอยหดหู่ของสามี หัวใจของหลิวเซียงหลันก็คล้ายกับถูกมีดกรีด
“สามี ไม่เป็นไร ไม่ร้องนะไม่ร้อง”
หลิวเซียงหลันกอดหานเจี้ยนเย่ ด้านหนึ่งเช็ดน้ำตาให้เขา อีกด้านเอ่ยปลอบโยนเขา "ครอบครัวของเราจะไม่เป็นไร บริษัทนี้เป็นของโล่เฉิน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะโอนย้าย เธอไม่ต้องการลูกชายอย่างคุณ นี่เป็นความโง่เขลาของเธอ เป็นโชคดีของพวกเรา”
"สามี พวกเราออกจากตระกูลหานกันเถอะ"
"ฝันไปเถอะ!"
หญิงชราสีหน้าไม่เป็นมิตร เธอเอ่ยอย่างเย็นชา “หากไม่ได้รับการอนุญาตจากฉัน ใครก็ไม่สามารถออกไปจากตระกูลหานได้ บริษัทของโล่เฉินถ้าไม่ถูกโอนย้ายก็จะถูกยึดโดยรัฐบาลเหมือนกัน เจี้ยนกั๋วถูกไล่ออกจากตระกูลไปแล้ว ไม่ใช่คนตระกูลหาน การโอนย้ายไปให้เขาเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด”
หลิวเซียงหลันใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม เธอเต็มไปด้วยความรังเกียจต่อหญิงชรา
“โล่เฉินและหยู่เยนหย่ากันก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง”
สีหน้าของหญิงชราเปลี่ยนไปทันที เธอตะโกนอย่างโกรธจัดอีกครั้ง “ใครอนุญาตให้พวกแกหย่ากัน ฉันยังไม่ตาย ตระกูลนี้อยู่ในความตัดสินใจของฉัน”
"คุณมาเป็นคนตัดสินใจ คุณถือเป็นตัวอะไรกัน"
หลิวเซียงหลันก็โกรธขึ้นมาแล้ว เธอด่าขึ้นมาทันที จากนั้นก็ประคองหานเจี้ยนเย่ขึ้นมาและพูดว่า "หยู่เยน โล่เฉิน ไม่ต้องไปสนใจยายแก่นี่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ"
"หยุดพวกเขาไว้"
หญิงชราออกคำสั่ง
หานหยุนเทาและหานหยางมาปิดกั้นอยู่ที่ประตู ถือเก้าอี้ไว้ในมือ ใบหน้าโหดเหี้ยม
ในเวลาเดียวกัน หญิงชราก็หยิบสัญญาสามฉบับขึ้นมาจากใต้หมอนของเธอ จากนั้นก็โยนมันลงบนพื้น แล้วใพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งว่า “เซ็นชื่อประทับตราลายนิ้วมือซะ ไม่อย่างนั้น อย่าโทษฉันที่โหดเหี้ยม”