จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 178 หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ที่มาที่ไป สำนักนอกรีต
- Home
- จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี
- ตอนที่ 178 หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ที่มาที่ไป สำนักนอกรีต
ที่โล่เฉินกล้าจะพูดอย่างนั้น เพราะเขามีการคาดเดาบางอย่างเอาไว้แล้ว
เมื่อเจิ้งข่ายได้ยินคำเดิมพันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฮ่าฮ่าฮ่า นี่น่าขันแทบตายอยู่แล้ว ใครให้ความกล้านี้กับนาย กล้าพูดว่าคุณท่านป๋อรักษาโรคของคุณนายไม่ได้ นายรู้มั้ยว่าคุณท่านป๋อคือคนระดับไหน”
"ไม่รู้"
โล่เฉินส่ายหัว
ดวงตาของเจิ้งข่ายยิ่งดูหมิ่นมากขึ้นและเริ่มอธิบาย "ทักษะทางการแพทย์ของคุณท่านป๋อนั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ว่ากันว่าเคยมีคนที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายแต่กลับได้รับความช่วยเหลือจากคุณท่านให้กลับมามีชีวิตได้ เขาคือหมอฮว่าถัวที่ยังมีชีวิต เป็นหมอเทพของโลกปัจจุบัน"
“ในเมื่อคุณแน่ใจขนาดนี้ อย่างนั้นก็เดิมพันซะสิ คุณกลัวอะไร?”
"ฉันกลัว?" เจิ้งข่ายสีหน้าหยอกล้อ เขาเหลือบมองที่จูเป่ากั๋วและพูดว่า "ฉันรู้ว่าผอ.เป็นคนซื่อสัตย์ ให้เขาลงมือเขาย่อมลำบากใจ การเดิมพันนี้สามารถทำให้ฉันได้บริษัทมาแถมยังไม่ต้องให้ผอ.ลงมือ ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดทั้งสองด้าน ทำไมฉันจะไม่เดิมพัน”
“งั้นเพิ่มการเดิมพันอีกหน่อยเป็นไง?”
เจิ้งข่ายขมวดคิ้ว เขาเอ่ย "นี่นายกำลังคิดจะเล่นลูกไม้อะไร”
โล่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “ง่ายมาก ถ้าคุณท่านป๋อของคุณคนนั้นไม่สามารถรักษาโรคของคุณนายได้ แต่ผมทำได้ อย่างนั้นค่าชดเชยสำหรับการบาดเจ็บล้มตายของตระกูลหาน ตระกูลเจิ้งของคุณจะต้องเป็นคนจ่าย กล้าไหม?"
"นายเป็นหมอ?"
"เปล่า"
“ในเมื่อไม่ใช่ แล้วนายมาพูดบ้าบออะไรอยู่ได้”
โล่เฉินเอ่ย "ผอ. บอกว่าโรคของคุณนายเป็นโรคที่แปลกประหลาด คำสำคัญคือคำว่าแปลกประหลาด ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ ในเมื่อคุณชายเจิ้งเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวคุณท่านป๋อ แล้วอย่างนั้นทำไมไม่เล่นการพนันล่ะ? "
เจิ้งข่ายไม่ใช่คนโง่ เขามองไปที่โล่เฉินอย่างประเมิน และเขาคิดไม่ออกจริงๆ ถึงความเป็นไปได้ที่จะแพ้
จูเป่ากั๋วเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน จู่ๆเขาก็มีความคาดหวังเล็กน้อยในตัวโล่เฉิน
เขาเอ่ยเปรยๆ และเอ่ยขึ้นอย่างมีความหมาย “เจิ้งข่าย นายคิดว่าอย่างไร?”
“ยังไงนายก็แพ้แน่ อย่างนั้นก็เดิมพันเลย”
“ลงเป็นลายลักษณ์อักษรมา ผมกังวลว่าคุณชายเจิ้งจะเล่นลวดลาย คุณเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ” โล่เฉินเอ่ยอวยเขาขึ้นประโยคหนึ่ง
เจิ้งข่ายยิ้มเหอะเหอะ และโบกมือให้หมี่หลานออกลงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
ในที่สุด ภายใต้การเป็นพยานของจูเป่ากั๋ว ทั้งสองก็ลงลายนิ้วมือ
“ผอ. อาการป่วยของคุณนายเป็นมานานแล้วใช่ไหม?” โล่เฉินเอ่ยถาม
จูเป่ากั๋วพยักหน้า “หนึ่งปีแล้ว "
“คุณนายทนทรมานมาหนึ่งปีแล้ว ตอนนี้เธอคงคล้ายตะเกียงที่ใกล้ขาดน้ำมัน ร่างกายผ่ายผอม ลมหายใจรวยรินใช่หรือไม่”
ในขณะนี้ จูเป่ากั๋วหลั่งน้ำตาออกมา
“ใช่ใช่ ชีวิตของภรรยาฉันอยู่บนเส้นด้าย ฉันคิดว่าเธออย่างมากก็อยู่ได้นานสุดแต่หนึ่งเดือน”
“ชักช้าไม่ได้ พวกเรากลับบ้านเดี๋ยวนี้”
โล่เฉินมองไปที่เจิ้งข่าย น้ำเสียงเร่งรีบและเคร่งขรึม
“คุณชายเจิ้ง คุณนายตกอยู่ในอันตราย ทุกนาทีมีค่า ทำไมต้องรอให้ถึงเย็น ตอนนี้พวกเราไปที่บ้านผอ.กันเถอะ”
เจิ้งข่ายไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้า "ได้ เอารถโรลส์รอยซ์ของฉันไป ฉันจะแจ้งคุณท่านป๋อ"
กลุ่มคนออกจากสำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและการค้า
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
เมืองเจียง ถนนจงหนาน
"นี่คือบ้านของฉัน มาเถอะ"
จูเป่ากั๋วเดินนำเจิ้งข่าย โล่เฉิน และหมี่หลานเข้ามาในบ้านและบังเอิญไปพบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ชั้นล่าง
"หรงหรง"
“พ่อ ทำไมพ่อถึงกลับมาแล้วละคะ”
ราวกับว่าจูหรงหรงจะเจอที่พึ่งแล้ว เธอเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และเข้าไปกอดจูเป่ากั๋วโดยไม่สนใจคนอื่นๆ
“พ่อคะ เมื่อกี้แม่เพิ่งพูดเพ้อขึ้นมาอีกแล้ว หนูกลัวมาก ทำอย่างไรดีคะ? เมื่อไหร่แม่ถึงจะหายดี”
“ไม่เป็นไร หมอชื่อดังกำลังจะมาแล้ว”
จูเป่ากั๋วเช็ดน้ำตาของจูหรงหรง เขาหันมามองจากนั้นก็ไม่พูดอะไรและพาจูหรงหรงขึ้นไปชั้นบน
พวกโล่เฉินทั้งสามคนตามไปอย่างใกล้ชิด
ในห้องนอนมีกลุ่มควันม้วนตัวลอยอยู่ไปมา มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งหันหน้าตรงไปทางประตูใหญ่ ใบหน้าดุร้าย จนทำเอาหมี่หลานตกใจ
บนเตียง มีหญิงรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่งนอนอยู่
หญิงคนนั้นร่างกายซีดเหลืองและผ่ายผอม เธอหลับไปแล้ว แต่บางครั้งเปลือกตาของเธอก็เต้นขึ้น มุมปากกระตุก
ทุกอย่างเผยให้เห็นถึงความผิดปกติ
เจิ้งข่ายและหมี่หลานเดินไปที่เตียง และเอ่ยปลอบโยน ส่วนโล่เฉินกลับเดินไปที่พระพุทธรูป จ้องดูอย่างระมัดระวังและขมวดคิ้ว
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้จริงๆด้วย
ในสมองของโล่เฉินมีคำหนึ่งกระโดดขึ้นมา สำนักพระมาร
นี่เป็นสำนักแบบหนึ่งที่มีอยู่มานานหลายปี และมีประวัติกว่าหลายร้อยปี
ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในราชวงศ์หมิง ทำให้ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสุดซึ้ง
ด้วยความโกรธ โล่เฉินจึงส่งลูกศิษย์สิบคนของเขา – ปรมาจารย์ห้าคน เทียนเซียนห้าคน – ออกคำสั่งให้นักบู๊ นักพรต มากมายทั่วใต้หล้ากำจัดสาวกของสำนักพระมารให้หมดสิ้น
ผลสุดท้าย
สาวกของสำนักพระมารถูกกำจัดไปจนเกือบหมดสิ้น แต่ว่ากลับไม่สามารถถอนรากถอนโคนลงได้ และไม่เห็นแม้แต่หน้าตาของหัวหน้าสำนักพระมารนี้ แต่ลูกศิษย์สิบอันดับแรกต้องล้มลง ผู้ฝึกฝนนักบู๊ นักพรตก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
ตั้งแต่นั้นมา สำนักพระมารก็ค่อยๆ หายไป
คิดไม่ถึงว่า ตอนนี้จะโผล่มาอีกแล้ว
“นรกดุจสวรรค์ มนุษย์นั้นไร้ค่า เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ฝึกฝนจิต ฆ่าฟันดับชีวิตขึ้นสวรรค์”
โล่เฉินกล่าวในใจ
นี่คือหลักคำสอนของสำนักพระมารที่ชั่วร้าย
พวกเขาสนับสนุนการตรัสรู้อย่างสุดโต่ง บอกว่าจิตเมตตาคือการทำลายตนเอง ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน อีกทั้งยังต้องการให้เลือดเปื้อนนอง ยิ่งฆ่าฟันยิ่งได้บุญและเข้าสู่นรก
สิ่งที่เรียกว่านรก สำหรับสำนักพระมารแล้วมันคือสวรรค์
ในเริ่มแรก สาวกที่เข้าสู่คำสอนของสำนักนอกรีตนี้จะมีอาการคล้ายเสียสติไปบ้างเป็นบางครั้ง คล้ายคนเป็นบ้า จากนั้นก็จะค่อยๆกระหายเลือดเพิ่มขึ้นทีละน้อย ตอนแรกพวกเขาจะฆ่าสัตว์ปีกในครัวเรือน เช่นไก่ เป็ด และห่านเป็นต้น
เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และในท้ายที่สุดก็คือการฆ่าคน
“โชคดีที่มันยังไม่ถือว่ารุนแรงเกินไป เป็นเพียงระยะกลาง น่าจะเคยฆ่าสัตว์ปีกไปบางแล้ว ในอีกสองหรือสามเดือนก็จะเกิดความรู้สึกอยากฆ่าคน จากนั้นมันก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง”
โล่เฉินมองไปที่คุณนายบนเตียงและตัดสินเอาไว้ในใจ
“แก่นของสำนักพระมารคือนักเทศน์ ซึ่งก็คือนักพรตผู้ฝึกฝน มีพลังจิตที่แก่กล้าประกอบกับเครื่องรางชั่วร้ายบางอย่าง ใช้ในการสะกดจิตใจและสติของผู้คนได้”
“คุณนายจะต้องถูกเวทมนตร์และเครื่องรางที่ชั่วร้ายของนักเทศน์เข้า แต่ว่ามันคืออะไร?”
“จะต้องหาให้พบ ไม่อย่างนั้นต่อให้รักษาหาย หากเธอเฝ้ามองมันอีกครั้งก็จะถูกเครื่องรางชั่วร้ายเข้าครอบงำอีก จากนั้นสติของเธอก็จะผิดแปลกไปขึ้นอีก”
โล่เฉินเดินไปรอบ ๆ ห้องและมองหาอย่างระมัดระวัง
เจิ้งข่ายหรี่ตาและแค่นเสียง "นายกำลังทำอะไร คงไม่ได้คิดจะขโมยของใช่ไหม"
“ผอ. พระพุทธรูปที่ดุร้ายองค์นี้มาได้ยังไง?”
จูเป่ากั๋วตอบกลับ “เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ภรรยาของฉันวาดภาพภาพหนึ่งคือว่า ก็คือพระพุทธรูปที่ดุร้ายรูปนี้ เธอขอให้ฉันหาคนทำพระพุทธรูปขึ้นตามรูปวาดนี้ ตอนแรกฉันปฏิเสธ คิดว่านี่ไม่ใช่ของที่ดีอะไร แต่เธอกลับคลั่งขึ้นมา"
“ฉันทำอะไรไม่ได้ ก็เลยได้แต่ทำมันขึ้นมา”
“ว่าไปก็แปลก ตั้งแต่ที่พระพุทธรูปดุร้ายองค์นี้ปรากฏขึ้น มีบางครั้งภรรยาของฉันก็จะบ้าคลั่งอยากเห็นเลือดขึ้น แต่หลังจากเฝ้ามองพระพุทธรูปไปพักหนึ่ง เธอก็จะสงบลงได้”
โล่เฉินพยักหน้าและถามว่า “คุณนายเป็นชาวพุทธใช่ไหม”
จูเป่ากั๋วพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น "พูดแล้วก็น่าละอาย ข้าราชการระดับยิ่งสูงเท่าไหร่การตรวจสอบก็ยิ่งเข้มงวดมากขึ้นเท่านั้น จำเป็นต้องเป็นตัวอย่างที่ดีเท่านั้น ตามหลักแล้วภรรยาของฉันไม่สมควรจะมีศาสนานับถือแบบนี้ได้ อันที่จริง พวกเราหลังจากแต่งงานกันฉันถึงค่อยรู้ว่าเธอเชื่อในพุทธศาสนา”
นี่สมเหตุสมผลมาก
สำนักพระมารคือเป็นบาปของชาวพุทธ
แนวความคิดและหลักคำสอนของพวกเขาตรงกันข้ามกับพุทธศาสนา สิ่งที่สำนักพระมารชอบเทศนาออกไปมากที่สุดก็คือการทำให้ชาวพุทธเปลี่ยนเป็นแปลกแยกไปจากเดิม
แบบนี้ พวกเขาถึงค่อยรู้สึกได้ถึงความสำเร็จอย่างเต็มเปี่ยม
"มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?"
“ไม่มีอะไร ผมแค่ลองถามดู แน่นอนว่า พระพุทธรูปที่ดุร้ายองค์นี้ไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ผอ. คุณเองก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ดี”
จูเป่ากั๋วลังเล "ฉันคิดจะเอามันออกไปมานานแล้ว ทุกครั้งที่เข้ามาแล้วเห็นพระพุทธรูปทีไรฉันก็เหงื่อออกทุกที แต่ว่า เมื่อเอามันออกไป แล้วภรรยาฉัน…"
“ไม่ต้องห่วง โรคของคุณนายสามารถรักษาได้”
เจิ้งข่ายกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คำพูดนี้มีเหตุผล ผอ. อีกไม่กี่นาทีคุณท่านป๋อก็จะมาถึงแล้ว คุณนายจะต้องสามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างแน่นอน”
จูเป่ากั๋วเองก็ทำการตัดสินใจ เขาเรียกพี่เลี้ยงเข้ามาและเอ่ยสั่ง "รีบเอาพระพุทธรูปออกไป"
"ไม่ใช่แค่เอาออกไปเท่านั้น แต่ยังต้องทุบทิ้งแล้วเผามันที่สนาม" โล่เฉินเอ่ย
"ทำตามนั้น" จูเป่ากั๋วทำตามทันที
พระพุทธรูปที่ดุร้ายสูงหนึ่งเมตรถูกวางไว้บนแท่นสูง ต้องใช้พี่เลี้ยงสองคนช่วยยกพระพุทธรูปขึ้นมา
ตึง
ทันใดนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน
คุณนายที่แต่เดิมกำลังนอนหลับอยู่ดีๆ จู่ๆเธอก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าดุร้าย แยกเขี้ยวและกางกรงเล็บออก มีเสียงร้องแหลมคมแปลกประหลาดออกมาจากลำคอของเธอ
"ไอ้หย่า"
หมี่หลานตกใจไม่น้อย เจิ้งข่ายเองก็รู้สึกขนลุก ทั้งสองกอดกันไว้
จูเป่ากั๋วและจูหรงหรงสองพ่อลูกเข้าไปกดมือและเท้าของผู้หญิงคนนั้น จากนั้นจึงคอยบอกและปลอบโยนไม่หยุด น้ำเสียงแฝงแววสะอื้นไห้
ปึง
ด้วยความตกใจ พี่เลี้ยงไม่ทันยกขึ้นดีพระพุทธรูปก็ล้มลง
มันแตกออกเป็นหลายชิ้น
"พรูด"
ในเวลาเดียวกัน คุณนายก็พ่นเลือดออกมาเต็มปาก สูญเสียความสดใสทั้งหมดไป สีหน้าเทาคล้ำ ราวกับกำลังก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความตายได้ทุกเมื่อ
ดวงตาของโล่เฉินเป็นประกาย ในพระพุทธรูปที่หักออกมีสิ่งของสีสดใสอยู่ มันคือลูกปัดสีเลือด
ในที่สุดเขาก็พบมัน
นี่ก็คือเครื่องรางชั่วร้ายซึ่งมีผลในการสะกดจิต
โล่เฉินเก็บลูกปัดเลือดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็เดินไปที่ข้างเตียง "พวกคุณปล่อยเธอเถอะ ผม……"
“รีบหลีกไปเร็วเข้า! ชีวิตของคนผู้นี้กำลังตกอยู่ในอันตราย รอช้าไม่ได้ ฉันรักษาเอง”
ในห้อง มีชายชราดุจดั่งเซียนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา