จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 142 เสือโคร่งตกอับยังคงนับเป็นราชา
วาบ
ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก
เสื้อผ้าของฟางหยุนซิวไม่เปียกฝน เขาใช้พลังเวทย์เกิดเป็นรัศมีบาง ๆ รอบตัวเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำฝนเข้ามา
“ข้อเสนอของฉันเป็นยังไง?”
“ส่งมอบมันออกมาซะดีๆ ฉันสามารถให้เวลาที่ดีกับนายได้ อย่างน้อยๆก็ทำให้นายตายอย่างสงบ ยังไงเสียครั้งหนึ่งนายก็เคยเป็นถึงราชาแห่งโลกการฝึกฝน สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้”
“เพราะความนับถือนี้ฉันถึงได้พูดจาดีๆ กับนาย ไม่อย่างนั้นฉันคงลงมือไปตั้งนานแล้ว อีกทั้งพลังของนายในตอนนี้ แทบจะรับมือฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
โล่เฉินโล่งใจ ฟางหยุนซิวยังไม่ได้ส่งข้อความออกไป ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องยุ่งยากภายหลังอีก
เขาอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยและถามติดตลกว่า “นายฆ่าหลันโย่วเวยได้หรือ?”
"ทำไมจะไม่ได้"
“เมื่อสิบปีก่อน ความแข็งแกร่งของเธอเป็นที่หนึ่งในตารางจัดอันดับฟ้า สิบปีให้หลัง ใครจะรู้ว่าเธอไปถึงขั้นไหนแล้ว ต่อให้เป็นอาจารย์ของนาย เกรงว่าการรับมือกับหลันโย่วเวยก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ตอนนี้ตัวนายยังไม่แม้กระทั่งก้าวสู่ขอบเขตเทียนเซียนด้วยซ้ำ กับกล้าบอกว่าจะฆ่าหลันโย่วเวยในอนาคต?” โล่เฉินเอ่ยแหย่
ฟางหยุนซิวแอบขมวดคิ้วและพูดว่า "ตอนนี้ตารางจัดอันดับฟ้าไม่มีหลัยโยว่เวยอยู่แล้ว พลังของเธอแข็งแกร่งเกินไป และออกจากตารางจัดอันดับฟ้าไปแล้ว ถูกโลกแห่งการฝึกฝนเรียกว่าเป็นเทพหญิง"
"เทพหญิง?"
โล่เฉินหนังตากระตุก เขาหัวเราะดัง "เหมาะเป็นเทพหญิงจริงๆ! สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ของฉัน มีจิตวิญญาณ"
“พอเถอะ ถ้านางมารนั่นรู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่ เธอจะต้องมาฆ่านายทันทีแน่ แต่นายยังมีหน้ามาภูมิใจในตัวเธอ”
ฟางหยุนซิวสีหน้าเต็มไปด้วยความประชดประชัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “นายไม่ต้องมาสนใจว่าฉันจะฆ่าหลันโย่วเวยได้รึเปล่า นี่ไม่ใช่เรื่องของนาย”
"เสียเวลามามากแล้ว ฉันจะถามนายครั้งสุดท้าย จะยอมมอบมันออกมาแต่โดยดี หรือต้องให้ฉันลงมือบังคับนาย”
ครืน
ภายใต้เสียงฟ้าร้อง มุมปากโล่เฉินของรอยยิ้มเย็น
ในขณะนี้ พลังของเขาเริ่มแสดงออกมา
“หืม?” ฟางหยุนซิวอยู่ในความตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ลงมือเถอะ ยี่ชุนชิวเจ้านั่นถือเป็นคนยอดเยี่ยมคนหนึ่ง มาดูกันสักหน่อยว่าลูกศิษย์ของเขาจะได้รับการสืบทอดมาด้วยรึเปล่า ทางที่ดีอย่าทำให้ฉันต้องผิดหวัง”
ฟางหยุนซิวกัดฟัน ปัดเป่าอารมณ์ต่าง ๆ ในใจแล้วเอ่ยขึ้น “อย่ามาแสร้งทำเป็นเก่งหน่อยเลย หากพลังของนายฟื้นคืนมาแล้วจริงนายก็คงกลับไปที่เมืองหลวงนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาหดตัวอยู่ที่นี่”
“พูดดีๆไม่ฟังกลับต้องให้ฉันใช้กำลังบังคับ!”
“ก็ได้ รอดูฉันจัดการนายซะเถอะ ให้นายได้สำนึกความเป็นจริงขึ้นมาหน่อย ตอนนี้นายไม่ใช่ราชาอีกต่อไป แต่เป็นแค่หมาตกอับตัวหนึ่ง”
ครืนน
ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องสั่นสะเทือน นิ้วของฟางหยุนซิวก็ชี้ไปที่โล่เฉิน
ทันใดนั้น ฝนที่ห้อมล้อมตัวเขาห่างออกไปในระยะ 3 เมตรก็หยุดชะงัก อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วจนเปลี่ยนมันให้กลายเป็นน้ำแข็ง
"พริบตาก็สามารถสร้างมุทราออกมาได้ ดีมาก “มุทรากฤษณะ” ที่ยี่ชุนชิวสร้างขึ้นมา ถือว่านายฝึกฝนได้เข้าถึงแล้ว”
โล่เฉินชื่นชมอย่างจริงใจ
ฟางหยุนซิวภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เขาหัวเราะดัง "อาจารย์มีศิษย์หลายคน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่กลับถือว่าเป็นผู้มีความสามารถสูงสุด มุทรากฤษณะ มีเพียงฉันเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ "
"ฆ่า!”
ภายใต้คำสั่ง น้ำแข็งนับไม่ถ้วนก็คล้ายกับใบมีดยาว
พุ่งยิงเข้าที่ศาลา
"เปรี๊ยะ!" "เปรี๊ยะ!" "เปรี๊ยะ!"
เนื่องจากความเร็วที่มากเกินไป ส่งผลให้เกิดเสียงอากาศที่ปริออกดังลั่น
โล่เฉินยิ้มเบาๆ และยกฝ่ามือขึ้นปัดโดยไม่ต้องคิด
บูม!
เพียงชั่วพริบตา เกล็ดน้ำแข็งทั่วท้องฟ้าก็สลายไป
"อะไรกัน!”
ฟางหยุนซิวประหลาดใจ แต่ไม่นานเขาก็ได้สติกลับมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “สมแล้วที่เคยเป็นราชา ถึงแม้จะตกอับ แต่ก็ยังมีฝีมือระดับนี้ น่าเสียดาย นี่เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น การต่อสู้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น"
"ฉันกำลังตั้งตารออยู่"
ในศาลา ถังหมิงกวงตกตะลึง
ทั้งสองคนกำลังต่อสู้ด้วยเวทมนตร์จริงๆ อีกทั้งยังมีวิธีการไม่มีที่สิ้นสุด
สิ่งที่ทำให้ถังหมิงกวงสงสัยมากที่สุดคือ บุคคลใกล้เข้าสู่เทียนเซียนผู้มาจากเมืองหลวงคนนี้พูดว่าครั้งหนึ่งโล่เฉินเคยเป็นราชาแห่งโลกการฝึกฝน นี่มันคืออะไรกัน?
ไม่น่าแปลกใจที่ถังหมิงกวงจะไม่เข้าใจ
ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน โล่เฉินเป็นคนเรียบง่ายอย่างยิ่งและน้อยครั้งที่จะปรากฏต่อหน้าชาวโลก
นอกจากนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สงครามเลือดที่ภูเขาเย่นหลิงถูกรัฐบาลปิดกั้นเอาไว้โดยสมบูรณ์ คนที่รับรู้ถึงพายุครั้งใหญ่ในตอนนั้น นอกจากผู้เข้าร่วมสงครามแล้ว ก็มีแค่เพียงคนใหญ่คนโตระดับสูงสุดของเมืองหลวงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
อาจกล่าวได้ว่า ผู้ฝึกฝนทั่วๆไปยังไม่มีทางรับรู้ แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดา
“ความโลภทำให้งูแม้กลืนกินช้างก็ยังไม่อิ่มหนำ ความตายของฟางหยุนซิวมาถึงแล้ว” ฟ่านหงชางยิ้มเย็น เขามีความมั่นใจใน ตัวโล่เฉินอย่างยิ่ง
ที่ตึกซิงหยุน เขาถูกควบคุมให้เปิดเผยสถานะและความแข็งแกร่งของโล่เฉิน
ในนั้น มีเล่ห์เหลี่ยมซ่อนอยู่
ในเวลานั้น ฟ่านหงชางได้หลุดจากการควบคุมไปแล้วบางส่วน เพื่อขุดหลุมหลอกฆ่าฟางหยุนซิว เขาจงใจเปิดเผยไปว่าพลังของโล่เฉินในตอนนี้เหลือเพียงต่ำต้อย
ตามธรรมชาติของมนุษย์ ฟางหยุนซิวย่อมต้องการฆ่าโล่เฉินอย่างแน่นอน และในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการวิชาจากโล่เฉินเพื่อชุบตัวได้โดยลำพัง ดังนั้นจึงไม่ได้เผยแพร่ข่าวออกไป
ทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของฟ่านหงชาง
ต่อจากนี้ ก็แต่ดูสงครามอย่างเงียบๆ
"ปัง!"
เสียงระเบิดดังขึ้นจนแรงลมเกรี้ยวกราดกว่า 40 เมตรสลายออก
ฟางหยุนซิวตัวสั่นสะท้าน เขาก้าวถอยหลังสามก้าว ใบหน้าขาวซีด และอุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง “นาย ความแข็งแกร่งของนายยังคงอยู่ นายไม่ได้อยู่ในช่วงอ่อนแอเลยสักนิด”
“ช่วงอ่อนแอ? ใครพูดอย่างนั้น?” โล่เฉินเยาะเย้ย
ฟางหยุนซิวมองไปที่ฟ่านหงชาง และพบว่าฟ่านหงชางกำลังมีสีหน้าดูถูก เขาคำรามด้วยความโกรธ "ไอ้พวกสารเลว แกวางกับดักฉัน ไม่สิ…..เป็นไปไม่ได้ นายถูกพลังจิตของฉันควบคุมเอาไว้ จะมาเล่นงานฉันได้ยังไง!"
“ตระกูลฟ่านรับใช้ฉันมานานหลายชั่วอายุคน แน่นอนว่าฉันย่อมไม่ปฏิบัติตัวให้พวกเขาเสียเปรียบแน่”
โล่เฉินสองมือไพล่หลัง ท่าทางราวกับเทพเจ้าแห่งสวรรค์ ความน่าเกรงขามแผ่ซ่านยไปทุกทิศทาง
เขากล่าวอย่างเย็นชา “ในยุคชุนชิว ฉันท่องไปทั่วทุกมุมโลก ค้นหาวัสดุล้ำค่าเพื่อสร้างชุดเครื่องหยกสำหรับตระกูลฟ่านอันได้แก่ จี้หยก แหวน และกำไลข้อเท้า”
“ในนั้นฉันได้ใส่รอยธรรมแปดสิบเอ็ดบทลงไป หากนำมาสวมลงบนร่างกาย ก็จะสามารถชำระกายและใจได้ทั้งวันทั้งคืน ช่วยยืดอายุขัย อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อพลังจิตด้วย ดังนั้นนี่คือสาเหตุที่ว่า ทำไมตระกูลฟ่านจึงอยู่ได้ยืนยาวมาตั้งแต่สมัยโบราณ"
ระหว่างพูด ฟ่านหงชางก็หยิบจี้หยกออกมาพร้อมกับยกมือขวาของตนและถกขากางเกงของเขาขึ้น
อุปกรณ์สามชนิด ไม่ขาดไปแม้แต่ชิ้นเดียว
“ทุก ๆ สามชั่วอายุอาจารย์จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับรอยธรรมในเครื่องหยกสามชิ้นนี้ สืบทอดต่อ ๆ กันไปไม่มีวันหยุดลง เนื่องจากมีหยกอยู่ชุดเดียว ตระกูลฟ่านจึงมีผู้สืบทอดเพียงแค่คนเดียวมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่โบราณมา ลูกหลานตระกูลฉันไร้ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ”
ฟ่านหงชางคุกเข่าลงบนพื้น เขาเยาะเย้ยฟางหยุนซิว “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ฝึกฝน แต่พลังจิตของฉันยังแข็งแกร่งและลึกซึ้งกว่านักพรตหลายๆ คน การหลุดออกจากการควบคุมของนายและวางแผนตลบหลังนาย ไม่ใช่เรื่องยากอะไร!”
“นี่แกกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร ยุคชุนชิวอะไรกัน ไร้สาระ!”
ฟางหยุนซิวเปล่งเสียง ดวงตาของเขามีประกายความหวาดกลัววาบผ่าน
ด้านในสุดของจิตใจ
ภาพลักษณ์ของโล่เฉินค่อยๆสูงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าเขาได้กลับสู่ตำแหน่งราชาอย่างเช่นในอดีต
ความเกรงกลัวของเขารุนแรงขึ้น
ฟ่านหงชางสังเกตเห็นถึงความหวาดผวานั้น เขาร้องลั่น “อาจารย์รีบลงมือเถอะ อย่าปล่อยให้เขาได้ส่งข่าวของคุณกลับไป”
“ฟุบ!”
เป็นเวลาเดียวกับที่โล่เฉินเอ่ยปากออกมาเพียงคำแรก โล่เฉินก็ขยับตัวลงมือแล้ว
ความเร็วของเขาอยู่ในจุดสูงสุด
เพียงชั่วพริบตาก็ปรากฏตัวต่อหน้าฟางหยุนซิว โล่เฉินมีสีหน้าเย็นชา เขาไร้คำพูดใดๆและปล่อยหมัดหนึ่งออกไปจนฟางหยุนซิวกระเด็น
"ตุบ"
ฟางหยุนซิวบินกระเด็นออกไป เลือดสดๆพุ่งกระฉูดออกมา โทรศัพท์มือถือของเขาตกลงบนพื้น
คลิก
โล่เฉินเหยียบโทรศัพท์มือถือจนแตกยับ เขาเอ่ยเยาะเย้ย "ตอนนี้ นายคิดจะทำยังไง"
หนี?
เขาหนีไม่พ้น
ร้องขอความเมตตา?
นี่เป็นไปไม่ได้ โล่เฉินไม่มีทางปล่อยให้เกิดปัจจัยคุกคามขึ้นแน่
เหลือเพียงตอนจบเดียวเท่านั้น——
ความตาย.
เพียงเสี้ยววินาที ฟางหยุนซิวก็เข้าใจแจ่มชัดแล้วถึงจุดจบของตน
ปากที่เต็มไปด้วยเลือดหัวเราะขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง "ได้ตายในเงื้อมมือนาย ถือว่าคุ้มค่า!"
"สิบปีผ่านไป อำนาจในเมืองหลวงเปลี่ยนแปลงไปเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“โล่เฉิน หลันโย่วเวยนั้นทรงพลังมากจนน่าเหลือเชื่อไปแล้ว ตอนนี้เธอกลายเป็นนายพลของเขตกองกำลังทหาร ไม่เพียงแต่ตัวเองเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่ง แต่ยังสามารถใช้ความแข็งแกร่งของทางทหารได้ด้วย”
ใบหน้าของโล่เฉินเปลี่ยนไปอย่างมาก
ความแข็งแกร่งของเขตทหาร ถือเป็นความกลัวของเขาเช่นกัน
แม้แต่ในช่วงที่เขายังอยู่ในจุดสูงสุด เขาก็ไม่อาจต้านทานอาวุธนิวเคลียร์ได้
“หลันโย่วเวยได้ก้าวขึ้นมาสู่ระดับชาติแล้ว ว่ากันว่าเธอสามารถพูดคุยกับผู้นำของประเทศแบบตัวต่อตัว มีอำนาจเหนือกฎหมาย เป็นเทพหญิงแห่งภูเขาเย่นหลิง”
“โล่เฉิน นายน่าจะยังคงไม่กลับไปสู่จุดสูงสุด ฉันขอเตือนนายสักประโยค ต่อให้พลังของนายฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็อย่าได้ไปเมืองหลวง นายฆ่าหลันโย่วเวยไม่ได้ นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ”
“ฟังคำแนะนำของฉัน ไปต่างประเทศซะเถอะ หากยังอยู่ในประเทศ วันหนึ่งนายจะต้องถูกค้นพบแน่ หลันโย่วเวยไม่มีทางปล่อยนายไป”
ฟางหยุนซิวพยายามประคองตัวเองขึ้นมาและพิงไปกับต้นไม้ใหญ่
หมัดนั้นของโล่เฉิน ทำลายอวัยวะภายในของเขาให้แตกยับ ไร้หนทางจะฟื้นคืนแล้ว
"แค่กแค่ก…"
ฟางหยุนซิวกระอักลิ่มเลือดออกมา สีหน้าทุกข์ทรมาน “ฉันเคารพนาย อย่างน้อยครั้งหนึ่งที่นายเป็นราชา นายก็ไม่ได้บดขยี้ผู้คนเบื้องล่าง แต่นางมารหลันโย่วเวยนั้นแตกต่างออกไป เธอมีพลังอันยิ่งใหญ่ บีบบังคับทุกตระกูลใหญ่ และกองกำลังฝ่ายต่าง ๆ เพื่อปล้นทรัพยากรในการฝึกฝน และสร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมา"
“ประเทศไม่สนใจหรือไง?”
“นางมารนั่นมีวิธีการสูงส่ง เธอได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ไม่มีใครสามารถคัดค้านเธอได้อีก”
ในใจของโล่เฉินมีอารมณ์หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
ไม่คาดคิดเลยว่า เพียงแต่สิบปี หลันโย่วเวยจะเติบโตมาได้ถึงระดับนี้
เทพหญิง สมกับชื่อจริงๆ
"พรูด"
ฟางหยุนซิวฝืนยืนไม่ไหวอีกต่อไป เขานั่งลงและเอ่ย “โล่เฉิน ฉันอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ช่วยสงเคราะห์ฉันเถอะ ฉันจะบอกความลับที่ยิ่งใหญ่กับนาย”