จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 132 ข้อมูลสำคัญ
เจิ้งข่ายกำลังรับประทานอาหารอยู่กับผู้อำนวยการสำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและการค้า เมื่อได้ยินข่าว สีหน้าก็ตื่นเต้นอย่างยิ่ง
"นายแน่ใจไหม?"
“คุณชาย ผมแอบถ่ายรูปมา ผมส่งให้คุณทางแชท”
“รีบๆส่งมาให้ฉัน”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียง “ติ้ง” ก็ดังขึ้น
เจิ้งข่ายมองไปที่รูปของอะปู ดวงตาของเขาแทบเป็นเส้นตรง สาวน้อยหน้ามัธยมนมมหาลัยแบบนี้ อีกทั้งยังหน้าตางดงามอย่ายิ่ง ช่างอวบอิ่มนุ่มนิ่มจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้
ไม่ล่อตาล่อใจได้อย่างไร
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและการค้าเมื่อเห็นเจิ้งข่ายหัวเราะลั่นเขาก็เหลือบมองโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะขมวดคิ้วและถามว่า "นายเพลาๆหน่อย อย่าก่อรเองขึ้นเชียว”
เจิ้งข่ายวางโทรศัพท์มือถืออย่างอารมณ์ดี เขาเอ่ย “ผู้อำนวยการ เรื่องนั้นที่ผมพูดคงไม่มีปัญหาใช่ไหม เปลี่ยนลักษณะของบริษัทไอ้ขยะนั่นให้เป็นบริษัทร่วมทุน เรื่องนี้แค่คุณพูดประโยคเดียวก็ได้แล้ว"
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและการค้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เจิ้งข่ายส่ายหัวและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกลี้ยกล่อม “ผู้อำนวยการ หมอชื่อดังที่ผมรู้จักคนนั้นมาจากเมืองหลวงเชียวนะ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางเชิญเขามาได้ คุณจะต้องคว้าโอกาสนี้ให้ดี”
“เป็นหมอชื่อดังในเมืองหลวงจริงๆหรือ นายไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม?”
“ผู้อำนวยการผมจะกล้าไปหลอกคุณได้ยังไง เป็นแพทย์แผนจีนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ผมบังเอิญรู้จักเมื่อหลายปีก่อน เขาติดค้างน้ำใจผมอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อคุณ ผมยอมใช้มันแล้ว”
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและการค้ากัดฟัน เมื่อนึกถึงภรรยาตนที่ต้องทนทรมาน เขาก็พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ "ตกลง ฉันรับปาก"
“ขอบคุณมากผู้อำนวยการ มาๆๆ ดื่มกันเถอะ”
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและการค้าผลักแก้วเหล้าออก เขาเอ่ยเสียงเย็น “นิสัยเสเพลของนายฉันรู้ดี ไม่ว่ายังไงก็ต้องได้ตัวสาวงามมา แต่ฉันขอเตือนนาย จะต้องเป็นพวกเธอที่เต็มใจยอม หากนายทำอะไรเลวร้ายขึ้นมา อย่าหาว่าฉันไร้น้ำใจ”
เจิ้งข่ายสะท้านอยู่ในใจ แต่ก็แสร้งทำเป็นพูดจาจริงจัง “วางใจได้ผู้อำนวยการผมมีดุลยพินิจของตัวเอง ผมรู้ว่าผู้อำนวยการมือสะอาด ครั้งนี้ผมฉกฉวยโอกาสแล้ว ผมขอขมาสามแก้ว จากนี้ไปตระกูลของเราจะจ่ายภาษีมากขึ้น "
"หึ"
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและการค้ามีสีหน้าเย็นชา แต่เมื่อคิดถึงแพทย์ชื่อดังของเมืองหลวงที่จะมารักษาภรรยาของเขา ตนก็รู้สึกตื่นเต้นในทันที
……
ในอีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่โล่เฉินออกจากบริษัท เขาก็ไปที่ตึกซิงหยุน
ระหว่างทาง เขาได้ขอให้ฟ่านหงชางไปรับถังหวั่นเอ๋อที่อยู่ในโรงพยาบาลมา ตอนนี้พลังของเขากลับมาแล้ว สามารถลงมือรักษาได้แล้ว
“ท่านอาจารย์ พลังคุณกลับมาแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
“มีอะไรให้แสดงความยินดี”
ฟ่านหงชางมอบเข็มเงินให้โล่เฉิน จากนั้นจึงเริ่มถอยออกมา
ถังหวั่นเอ๋อยังอยู่สลบไสล
อวัยวะภายในของเธอได้รับบาดเจ็บจากปรมาจารย์ว่านเห้อ ความถี่การเต้นของหัวใจต่ำกว่าคนปกติทั่วไป ถังหวั่นเอ๋อเองก็ถือว่ามีร่างกายแข็งแรงไม่เลว หากเป็นบักบู๊คนอื่น คงตายไปนานแล้ว”
"ฟู่วฟู่ว"
โล่เฉินปลดเสื้อผ้าของถังหวั่นเอ๋อออกจนหมด จากนั้นจึงปลดปล่อยพลังทิพย์ออกมาจากทั้งสองมือ
คราวนี้พลังทิพย์เข้าห่อหุ้มทั้งร่างของถังหวั่นเอ๋อซึ่งแตกต่างไปจากครั้งอื่นๆ ร่างกายสีขาวผ่องของถังหวั่นเอ๋อค่อยๆลอยขึ้นท่ามกลางแสงรัศมี
มองดูศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง
โล่เฉินหลับตาลง ในห้องเงียบกริบราวกับความตาย
กระบวนการทั้งหมดกินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วโมง โล่เฉินรู้สึกว่าตนเหนื่อยล้าจึงหยุดลง
ผลลัพธ์ที่เกิดก็เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน อวัยวะภายในของถังหวั่นเอ๋อตอนนี้อยู่ในสภาพคงที่แล้ว อย่างน้อยก็ไร้อันตรายถึงชีวิต
หากจะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆสองหรือสามเดือน
โล่เฉินไม่ใช่เทพ พลังทิพย์ของเขาแก่กล้าก็จริง แต่มันไม่ใช่ยาวิเศษที่สามารถฟื้นคืนทุกอย่างขึ้นได้ทันที นั่นเป็นไปไม่ได้
“ขั้นตอนต่อไปคือการใช้เข็มมังกรเก้าหางเพื่อกระตุ้นอวัยวะภายใน ปลุกพลังชีวิตขึ้น แบบนี้จะช่วยเร่งการฟื้นตัว”
หลังจากปรับลมหายใจไปสิบห้านาที โล่เฉินก็เริ่มลงมือ
เข็มมังกรเก้าหางถูกใช้มาแล้วหลายครั้ง ตอนนี้เขาเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง แม้แต่หลับตาก็ยังใช้มันได้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
โล่เฉินเดินออกมาจากห้องและมาที่สำนักงาน เขาเขียนใบสั่งยาและกล่าวว่า "หงชาง ถังหวั่นเอ๋อให้อยู่ที่ตึกซิงหยุนไปก่อน หาคนมาดูแลเธอให้ดี ต้มยาตามใบสั่งยานี้ช่วยบำรุงร่างกายให้เธอ”
“อาจารย์โปรดวางใจ”
“หลิงสุ่ยด้านนั้นมีเรื่องอะไรหรือไม่?” โล่เฉินรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาเอ่ยถาม
ฟ่านหงชางเอ่ยตอบ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีมาก คนในหลิงสุ่ยรังเกียจตระกูลป๋ายอย่างยิ่ง ตอนนี้ไม่มีตระกูลป๋ายแล้ว พวกเขาดีใจจนแทบทนไม่ไหว ตระกูลถังกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง บวกกับมีรัฐบาลหลิงสุ่ยสนับสนุน ตอนนี้ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว กลายเป็นตระกูลใหญ่ในหลิงสุ่ย "
“ไปบอกถังกวงหมิงเถอะ ถังหวั่นเอ๋ออีกไม่นานก็ฟื้นแล้ว เขาสามารถมาดูได้”
"รับทราบ"
โล่เฉินยุ่งมาก ยุ่งมากจริงๆ
หลังออกจากตึกซิงหยุน เขาก็ไปที่โรงน้ำชาตระกูลลู่
"นายท่าน"
เมื่อเห็นรถแต่ไกล ลู่เฟิงก็วิ่งเข้ามาและกล่าวด้วยความเคารพ “นายท่าน ท่านสามารถลงมือรักษาพ่อของผมได้แล้วหรือ?”
“ไร้สาระ ไม่อย่างนั้นฉันจะมาทำอะไร มาพูดเรื่องไร้สาระกับนาย?”
ลู่เฟิงหัวเราะอย่างบื้อใบ้ จากนั้นจึงพูดด้วยความตื่นเต้น "นายท่าน สูตรลับของชาก้อนเมฆสดชื่น พวกเราสามารถควบคุมมันได้แล้ว ถึงแม้จะยังไม่ชำนาญนัก รสชาติจึงต่างไปอยู่บ้าง แต่สามารถมั่นใจได้ว่านี่คือของแท้"
“พวกนายไม่เชื่อฉันมาโดยตลอด?”
“ไม่ ไม่ ไม่ นายท่านเข้าใจผิดแล้ว พวกเราแค่รู้สึกเซอร์ไพรส์อย่างมาก เชิญด้านในเถอะครับ คุณพ่อรอให้ผมติดต่อคุณมาเพื่อขอบคุณต่อหน้าสักครั้งมาโดยตลอด ผมบอกว่านายท่านยุ่งมาก หากมีเวลาย่อมมาเอง….”
ลู่เฟิงไม่สามารถระงับความสุขในหัวใจตนได้ ตลอดทางเอ่ยพูดอย่างไม่หยุด
เมื่อเขามาถึงศาลา ผู้เฒ่าลู่ก็แทบจะกระโดดลงมาจากเตียง เขารู้สึกซาบซึ้งมากจนไม่อาจจะมากไปกว่านี้ได้แล้วจริงๆ
“รักษาก่อน ทุกคนออกไปให้หมด”
พลังทิพย์บวกกับเข็มมังกรเก้าหาง ไม่มีอะไรที่จะรักษาไม่ได้
ไม่นานนัก โล่เฉินก็เปิดประตู
“นายท่าน คุณพ่อของผมเขา….”
"เฟิงเอ๋อ"
เมื่อเห็นชายชราเดินมาจากด้านหลัง ลู่เฟิงก็แทบจะกระโดดด้วยความตกใจ “แม่เจ้า….เอ่อ พ่อ ตอนนี้คุณ หายแล้ว?”
“คุณโล่เป็นหมอเทพจริงๆ ตอนนี้ฉันรู้สึกผ่อนคลายตัวเบาไปทั่วร่าง ราวกับอายุน้อยลงสิบปี” ชายชราหัวเราะ
“เอาล่ะ หากไม่มีอะไรแล้วพวกนายไปศึกษาชาก้อนเมฆสดชื่นต่อเถอะ หากสำเร็จแล้วอย่าลืมบอกฉัน ฉันจะมาชิม”
ชายชรากุมมือคำนับ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน ชาก้อนเมฆสดชื่นแก้วแรก ย่อมต้องเป็นนายท่านที่ชิมมัน อ้อใช่นายท่านสิ่งนี้คุณโปรดรับเอาไว้”
"อะไร?"
โล่เฉินมองไปที่สมุดเล่มเล็กๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย
ชายชราอธิบาย "นายท่านโปรดอย่าเพิ่งโกรธ สองวันมานี้ ผมขอให้เฟิงเอ๋อตามตรวจสอบมาสักหน่อยและพบว่าคุณเป็นเขยของตระกูลหาน และได้ยินมาว่านายท่านพบเจอปัญหา”
“มีความสามารถไม่เลว ไม่นานก็รู้เรื่องแล้ว” โล่เฉินยิ้มจางๆ
“นายท่านโปรดให้อภัย ผมแค่ปรารถนาดี ถึงแม้ไม่ทราบว่านายท่านที่เป็นถึงยอดคนเหตุใดจึงต้องมาทนกล้ำกลืนแบบนี้ แต่ว่าเรื่องนี้ย่อมต้องมีสาเหตุลึกซึ้งแน่”
ชายชราชี้ไปที่สมุดเล่มเล็ก เขาเอ่ย “ตระกูลลู่ของเราสืบทอดกันมานับพันปีแล้ว ตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีมีอยู่ไม่น้อย บนสมุดเล่นนั้นบันทึกตระกูลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลลู่ ข้อมูลครบถ้วนอย่างยิ่ง”
ขณะกล่าวไป ชายชราก็มองไปที่ลู่เฟิง
ลู่เฟิงเข้าใจความหมาย เขาถอดจี้หยกที่คอของตนออกมาและยื่นให้โล่เฉิน
"นี่คือ!"
จี้หยกเมื่อมาถึงมือ โล่เฉินก็ประหลาดใจ
ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างดีนี้
“นายท่าน นี่คือจี้หยกที่สืบทอดมาของตระกูลลู่เรา มันเป็นมรดกของบรรพบุรุษที่ตกทอดมา จี้หยกนี้เทียบเท่ากับตระกูลลู่ หากคุณต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลในบันทึกนั้น ขอแค่นำจี้หยกออกมา พวกเขาจะให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน”
โล่เฉินเงียบไป
เขาลูบจี้หยก ผ่านความผันผวนของใต้หล้าและท้องทะเล
ในตอนนั้นเทพแห่งชาลู่หยู่ถูกเขา ข่มขู่ ให้มาชงชา ต่อมาโล่เฉินรู้สึกผิดเล็กน้อย ดังนั้นเขาก็เลยค้นหาหยกหายากมา จากนั้นจึงทำมันเป็นจี้หยกนี้และมอบให้กับลู่หยู่
“ตอนนั้นฉันได้ปลุกคาถาอันทรงพลังกว่าเจ็ดสิบเก้าคาถาลงไปในจี้หยกด้วยตัวเอง ตอนนี้มันหายไปหมดแล้ว กลายเป็นเพียงจี้หยกทั่วไป”
โล่เฉินส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น
ท่าทางของเขาทำให้สองพ่อลูกตระกูลลู่คิดว่าเขานั้นไม่เชื่อพวกตน
ลู่เฟิงใจเสียขึ้นมา เขารีบพูดอย่างจริงจัง “นายท่าน สิ่งที่พ่อพูดเป็นเรื่องจริง ขอแค่เห็นจี้หยกนี้ ตระกูลในบันทึกเหล่านั้นจะต้องช่วยได้อย่างแน่นอน นายท่านเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลลู่เรา พวกเราไม่มีทางหลอกลวงคุณแน่"
"ฉันเชื่อ"
โล่เฉินเก็บบันทึกและจี้หยกขึ้นมา จากนั้นจึงออกมาจากโรงน้ำชา
ระหว่างทาง ขณะรอไฟแดง
เขาพลิกดูบันทึกนั้น
ส่วนใหญ่มักเป็นตระกูลเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักและไม่ได้มีประโยชน์มากนัก
แต่ทันใดนั้น ใบหน้าของโล่เฉินก็เปลี่ยนไป
มีเพียงหน้าสุดท้ายของบันทึก ที่มีอักขระสีแดงสดสองตัว ตระกูลหยุน