จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 501 ทําชั่วได้ชั่ว
หวางซืออู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นพรวดพราด สองตาเปล่ง ประกายเอ่ยขึ้นว่า “ฉันเข้าใจแล้ว…รับหมัด”
เขาซัดไปหนึ่งหมัดเข้าหาเฉินเซ่าฮว๋า
วิชาท่าหมัดแสนจะธรรมดา เป็นวิชาหมัดทหารที่เขาเรียนมาสมัย อยู่โรงเรียนตํารวจ แกร่งกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับวิชา ของยอดฝีมือในยุทธจักรแล้วยังห่างชั้นอยู่มาก ไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึง
ในใจเฉินเซ่าฮว๋าทั้งอับอายทั้งโมโห
วันนี้หน้าตาของเขาไม่เหลือชิ้นดี
ท่าทีในช่วงปีกว่านี้ของเขาพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนทําให้เขาไม่ เห็นคนอื่นในสายตามากเกินไป จากสถานการณ์ดูเหมือนกับสุนัขที่ลน ลานจนปีนกําแพงหนี ร้องขึ้นว่า “หลี่มู่ นี่เป็นเพราะแกให้พวกเรารับ หมัดแล้วลงมือนะ ถ้าข้าอัดมันจนเจ็บ แกอย่ามากลับคําก็แล้วกัน…” เขาบําเพ็ญมาแล้วหนึ่งปี ความมั่นใจในการรับมือกับคนธรรมดาก็ถือว่า มีอยู่
เสียงยังไม่ทันขาด
ตูม!
หวางซืออู่ซัดหมัดเข้าไปที่กลางฝ่ามือของเฉินเซ่าฮว๋า
เปรี๊ยะเปรี๊ยะ
ในพริบตา กระดูกหัวไหล่ของเฉินเซ่าฮว๋าไม่รู้ว่าแตกหักไปกี่ท่อน
ที่ไม่น่าเชื่อกว่าก็คือ ยังมีเปลวไฟสีแดงอีกก้อนหนึ่งระเบิดออกมา จากหมัดของหวางซืออู่ ค่อยๆ ไหม้ลามเข้าไปจากแขนที่หักเข้าสู่ ร่างกายเขา ในอากาศมีกลิ่นไหม้ของเนื้อถูกย่างฟุ้งขึ้นมา
“อ๊า แขนของชั้น อ๊า จะตายอยู่แล้ว…”
คุณชายใหญ่ตระกูลเฉินที่เกะกะระรานคนนี้ล้มลงไป แต่กลับ กระแทกเข้ากับกําแพงอากาศไร้รูปร่างกระเด้งอยู่บนพื้น ทําได้เพียงดิ้น รนอยู่ในพื้นที่แคบๆ เสียงร้องเหมือนหมูถูกเชือดดังขึ้น ดิ้นรนอย่างเอา เป็นเอาตาย
“ไม่ ไว้ชีวิตด้วย ฉันผิดไปแล้ว….อาจารย์ อาจารย์ช่วยผมด้วย…”
เขาเปล่งเสียงการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของชีวิตออกมา
หลิงเฮ่อจื่อที่อยู่อีกด้าน เมื่อเห็นฉากนี้กล้าพูดอะไรออกมาเสียที่ ไหน หันหน้ากลับไป ไม่แม้แต่จะมองศิษย์ที่เขาทนุถนอมอย่างดีคนนี้
สัญชาติญาณในอาชีพตํารวจของซูฮั่นเหว่ย คิดที่จะลุกขึ้นเพื่อพูด อะไรบ้าง แต่ก็คิดออกมากะทันหัน ว่าฟ่านจู่อั๋งก่อนหน้าเคยบอกกับเขา ไว้ โดยเฉพาะเรื่องที่เฉินเซ่าฮว๋าคนนี้พอเข้ามาถึงก็จะสังหารคนทันที กลุ่มคนเช่นนี้ไม่รู้ว่าเปื้ อนคาวเลือดไปมากเท่าไรแล้ว โฉดชั่วเลวทราม ที่สําคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พี่สาวซูชั่วเคยพูดไว้ ในมือหลี่มู่มีอํานาจที่ ประเทศชาติมอบไว้ให้ควบคุมคนในยุทธจักรให้อยู่ในกฎหมาย สามารถ ควบคุมให้เป็นหรือตายก็ได้
นี่เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย
ดังนั้น เขาจึงนั่งลงเช่นเดิม
และคนอื่นที่ยังไม่ทันได้คิดไปถึงไหน เฉินเซ่าฮว๋าก็ได้สลาย กลายเป็นควันดําไปแล้ว กระจายหายไปในอากาศ ไม่เหลือร่องรอยใดๆ เอาไว้เลย ตายไปอย่างสะอาดหมดจด
ขั้นตอนทั้งหมด เหมือนกับภาพยนตร์อย่างไรอย่างนั้น ไม่มีแม้แต่ กลิ่นคาวเลือด
หวางซืออู่ยืนงงจ้องมองกําปั้ นของตนเอง
เขาไม่คิดว่าเพียงแค่ตนเองออกหมัดไปส่งๆ แต่กลับมีพลังถึง ขนาดนี้ สามารถรู้สึกได้ว่ากลางฝ่ามือยังมีกลิ่นอายความร้อนไหลเวียน
อยู่ พอทดลองควบคุมมันเล็กน้อย เสียงตูมดังขึ้น เปลวไฟสีแดงสองลูก ลุกพรึบขึ้นในกลางฝ่ามือของเขา ราวกับภูติกําลังเต้นระบํา
นี่…นี่เป็นวิชาวิถีเซียนหรือ?
คนอื่นรอบด้านเมื่อเห็นฉากนี้ ก็ล้วนอดมีสีหน้าอิจฉาริษยาขึ้นมา ไม่ได้
ดูแล้วเจ้าหนุ่มคนนี้ได้รับโชคที่สุดยอดเข้าให้แล้ว แค่พริบตาก็ กลายเป็นเซียนได้
ส่วนหลิงเฮ่อจื่อก็ตกใจจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว
ทําไมจึงกลายเป็นเช่นนี้?
บนโลกมีการคงอยู่ของเทพเซียนด้วยหรือ?
บนฝ่ามือของหวางซืออู่ พลังเปลวไฟที่พุ่งออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็น ปราณแท้วิถียุทธ์ที่มีการบันทึกไว้ในตําราเก่าแก่ของสํานักโบราณ ใหญ่ๆ ต่างๆ ไม่ใช่พลังที่ขั้นแปรเปลี่ยนจะมาเทียบกันได้ ปราณแท้ที่ เปลี่ยนแปลงอย่างมหัศจรรย์ นี่น่าจะเป็นขั้นในตํานานแล้วกระมัง?
เทพสังหารหลี่มู่ เป็นเทพจริงๆ หรือ?
เพียงแค่ดีดนิ้ว ก็สามารถสร้างยอดฝีมือแห่งยุคออกมาได้?
ความหวาดกลัวที่ยากจะพรรณนา คลุมถมตัวหลิงเฮ่อจื่อ
พริบตานี้เขาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าสิ่งที่ตนเองไปยั่วยุจริงๆ แล้ว เป็นการคงอยู่ของอะไร?
เรื่องเกินจริงของคนในยุทธจักรที่พ่ายแพ้รอดชีวิตกลับมาจากวัด หรานเติงเป็นเรื่องจริง?
เดิมทีมันก็เหมือนเป็นแค่เรื่องตลกไม่ใช่หรือ
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเกินจริงนะ แต่ยังปิดความลับเอาไว้อีกต่างหาก
คนแบบนี้ จับกระสุนปืนด้วยมือเปล่าแล้วจะทําไม?
ต่อให้มีชีวิตอยู่ได้ภายใต้การระเบิดของนิวเคลียร์ หลิงเฮ่อจื่อก็ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องประหลาดอะไรเลย
เขาไม่สามารถไปสนใจคิดเรื่องอื่นอีกแล้ว
วันนี้ถ้าหากไม่สามารถทําให้หลี่มู่พอใจได้ ไม่ใช่เพียงแค่เขา น่า กลัวว่ากระทั่งทั้งสํานักวิญญาณแท้ก็คงจะจบเห่กันแล้ว…บนโลกใบนี้ เพราะอะไรจึงมีเซียนเทพอยู่จริงๆ กัน เขาร้อนรนจนแทบอยากจะสบถ คําหยาบออกมา
ท้ายสุด เขาทิ้งตัวลงคุกเข่ากับพื้นดังตุบ โขกศีรษะกับพื้นปึงๆๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าผิดไปแล้ว พวกเราผิดไปแล้ว ขอให้ท่านหลี่มู่ไว้ชีวิตพวก เราสักครั้ง สํานักวิญญาณแท้ของพวกเรานับจากนี้ จะไม่กล้าเป็นศัตรู กับเซียนอย่างท่านอีก…โปรดไว้ชีวิต ไว้ชีวิตด้วย”
เขาไม่เหลือความคิดที่จะรับหมัดจากหวางซืออู่อีกแล้ว
เพราะเขาเข้าใจชัดเจน ว่ารับไว้ไม่อยู่
ต่อให้เป็นพลังของเขา ผลลัพธ์จากการรับหมัดนี้ก็คง เหมือนกับเฉินเซ่าฮว๋า สลายกลายเป็นฝุ่นดํา เกิดใหม่ไม่ได้อีกตลอด กาล
เฮ่อเฟยเฮ่ออวี่ทั้งสองคน ก็เหมือนจะพลิกแพลงตามสถานการณ์ ได้อยู่บ้าง เมื่อเห็นอาจารย์ทําเช่นนี้ ก็ทิ้งตัวลงคุกเข่ากับพื้นบ้าง ทยอยๆ กันโขกศีรษะ ร้องขอชีวิต สารภาพผิดเสียงดัง
หลี่มู่ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ “ถ้าขอโทษแล้วจบเรื่องล่ะก็ จะมีตํารวจ เอาไว้ทําไมกัน? ถ้าคิดจะมีชีวิตรอด ก็แสดงความบริสุทธิ์ใจออกมา หน่อย”
หลิงเฮ่อจื่อเมื่อได้ยิน ก็รู้ว่าเล่นละครตบตาต่อไปไม่ได้แล้ว จึงกัด ฟันชักเอากระบี่ยาวข้างเอวเฮ่อเฟยออกมา แสงกระบี่สว่างวาบ แขนที่
ถูกฟันจนขาดทั้งสามท่อนหล่นลงบนพื้น ทําเอาคนอื่นรอบๆ ตกใจกรีด ร้อง
หลิงเฮ่อจื่อ เฮ่อเฟย เฮ่ออวี่ตัดแขนตนเองออกคนละข้างตามกฎ ของยุทธจักร สกัดจุดห้ามเลือด คุกเข่าอยู่บนพื้นเฝ้ารอการลงโทษ จากหลี่มู่
หลี่มู่ตกตะลึงเล็กน้อย
เดิมทีเขาคิดจะทําลายวรยุทธ์ของพวกเขาทั้งสามทิ้งเสีย แต่ตอนนี้ ….ตัดแขน นี่ก็ไม่ได้แตกต่างจากการทําลายวรยุทธ์ทิ้งเท่าไรนัก บนวิถี ยุทธ์ก็เหมือนกับถูกตัดขาดไปเช่นกัน ต่อจากนี้ก็ถือเป็นคนทุพพลภาพ ทําเรื่องชั่วร้ายอะไรอีกไม่ได้แล้ว
“เอาท่อนแขนของพวกแกไสหัวออกไปเสีย” หลี่มู่โบกไม้โบกมือ เอ่ยต่อ “เอาเรื่องในวันนี้กลับไปบอกกับบู๊ลิ้มด้วย ว่าคนอย่างหลี่มู่พูด จริงทําจริง อย่าได้ใช้ความไร้สมองไร้ยางอายของพวกแกมายั่วยุความ อดทนและขีดจํากัดของฉันอีก”
“ได้ๆๆ…” หลิงเฮ่อจื่อทั้งสามคนผ่อนลมหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก “เดี๋ยวก่อน” หลี่มู่จู่ๆ เอ่ยขึ้นอีก
“ท่านเซียน…ท่าน ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?” ในใจหลิงเฮ่อจื่อสะดุ้ง คิดว่าหลี่มู่เปลี่ยนความคิดเสียแล้ว
หลี่มู่ชี้ไปยังพ่อลูกหม่าเจิ้น และยังพวกลูกผู้ดีมีเงินกลุ่มนั้น เอ่ยขึ้น ว่า “ดูแลสุนัขของพวกแกด้วย มารังแกเพื่อนของฉัน จะไม่มีอะไรมา ชดใช้เสียหน่อยหรือ? เรื่องในวันนี้เป็นใครที่ก่อนขึ้นมา ในใจของแกก็ เข้าใจดีอยู่แล้ว ยังต้องให้ฉันพูดอะไรอีกหรือ?”
หลิงเฮ่อจื่อกวาดตาไปมองพ่อลูกหม่าหมิงอวี้และหม่าเจิ้น ในใจก็ เกิดความเกลียดชังสุดชีวิต
วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะหม่าเจิ้นทําโดยพลการ ไม่หาเหาใส่หัว กระพือ โหมไฟเพื่อจะดึงเอาหวางซืออู่มาชนแก้ว จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ อย่างไร? ตัวเขาเองจะต้องมาตัดแขนทิ้งข้างหนึ่งเช่นนี้หรือ?
หนี้แค้นนี้ เขาจดเอาไว้ที่ตัวพ่อลูกหม่าหมิงอวี้และหม่าเจิ้น เรียบร้อย ไม่ต้องให้หลี่มู่มาพูดเขาก็จะสั่งสอนอยู่แล้ว พอหลี่มู่พูดเรื่อง ในใจออกมา เขาก็ยิ่งไม่ต้องกลัวอะไรอีก ถ้ากลุ่มตระกูลหม่ายังสามารถ ทําธุรกิจต่อไปได้ นี่สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก
หม่าหมิงอวี้เมื่อได้ยินคําพูดนี้ และได้เห็นสีหน้าของหลิงเฮ่อจื่อ แข้งขาก็อ่อนจนหมด
เขารู้ว่ากลุ่มตระกูลหม่าจบสิ้นลงแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเซียนเทพอย่างหลี่มู่ แค่สํานักวิญญาณแท้เข้ามาแก้ แค้น บริษัทอสังหาริมทรัพย์เล็กๆ ของเขาก็รับไว้ไม่ไหวแล้ว
อย่างไม่ต้องคิดมาก หม่าหมิงอวี้ทิ้งตัวคุกเข่าลงต่อหน้าหลี่มู่ ร้องไห้เสียงหลงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเทพเซียน ไว้ชีวิตพวกเราเถิด พวกเรา เป็นเพียงแค่คนธรรมดา มีตาหามีแววไม่ ไว้ชีวิตพวกเราเถิด….”
เขารู้ว่าเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ การจะขอร้องหลิงเฮ่อจื่อมันไม่มีผล มีเพียงแค่หลี่มู่พูดออกมาเท่านั้น เขาจึงจะสามารถหลีกเลี่ยงเรื่อง ทั้งหมดไปได้
แต่ว่า สําหรับพวกที่เอาแต่ขูดรีดคนจนร�ารวย หลี่มู่ก็ขี้เกียจจะมอง
ไม่แม้แต่จะใส่ใจ
หม่าหมิงอวี้เมื่อเห็นว่าทางนี้ผ่านไปไม่ได้ ในใจก็พลิกกลับ กระโดด ผางขึ้นฟาดฝ่ามือตบหม่าเจิ้นลูกชายลงไปกองกับพื้น ตําหนิดุด่า “เจ้า เดรัจฉาน ยังจะมัวตกตะลึงอะไรอยู่อีก ยังไม่รีบเข้าไปขอโทษเสียวอุ่ กับถงถงอีกหรือ เป็นเพราะเจ้าก่อเรื่องขึ้นมาทั้งหมดแท้ๆ ยังไม่รีบเข้า ไปสารภาพผิดอีก…”
หม่าเจิ้นร้องไห้โฮขึ้นทันที เข้าไปขอโทษขอโพยหวางซืออู่ ร้องขอ การให้อภัย
“เอะอะเสียจริง”
ยังไม่ทันที่หวางซืออู่จะได้พูดอะไร หลี่มู่สะบัดมือ พลังไร้รูปร่างวูบ หนึ่งพัดเอาร่างพ่อลูกใจดําทั้งคู่ดีดออกไปจากห้องเหมา ‘ต้นเหมยเดือน สอง’
“พี่ซู อธิการซู คนใหญ่คนโตอย่างพวกท่าน ช่วยขอร้องแทนผม หน่อยเถอะ…” ด้านนอกมีเสียงร้องสํานึกเสียใจเหมือนใจจะขาดปอด จะฉีกของหม่าหมิงอวี้ดังลอดเข้ามา ทว่าได้ถูกตัดขาดไปอย่างรวดเร็ว
ซูฮั่นเหว่ยลุกขึ้นยืน เอ่ยขึ้นกับแขกคนอื่นๆ “ทุกท่าน เรื่องวันนี้ เป็นเรื่องของตระกูลพวกเรา ทั้งหมดจบลงตรงนี้แล้ว ขอให้ทุกท่าน กลับไปก่อนเถิด หลังจากกลับไปแล้ว เรื่องอะไรที่ควรพูด เรื่องอะไรที่ ไม่ควรพูด ทุกท่านคงเข้าใจดีอยู่แล้วว่าจะเป็นการล่วงเกินมากเพียงใด เชิญ”
แขกคนอื่นๆ ในตอนนี้จึงเพิ่งจะได้สติ
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ มันช่างน่าเหลือเชื่อจนถึงที่สุด และได้เปิดโลก ทัศน์ใหม่ให้กับพวกเขา ประตูบานใหญ่แห่งโลกใหม่บานหนึ่ง ได้เปิด กว้างขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าพวกเขาแล้ว
ที่แท้บนโลกใบนี้ ก็มีตัวตนของเซียนเทพอยู่จริงๆ
พวกเขาตัดสินใจ หลังจากนี้จะต้องไม่ขัดแย้งโต้เถียงกับตระกูล หวางและตระกูลซู และยิ่งต้องคิดหาวิธีที่จะสร้างความสัมพันธ์ดีดีกับ ทั้งสองตระกูล ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับสิ่งดีดีมาบ้าง
หลังจากคําพูดเกรงอกเกรงใจ บรรดาแขกก็ล้วนออกไปอย่าง อิดออด
“น้องสอง พวกเธอก็กลับไปก่อนเถอะ” ซูฮั่นเหว่ยมองไปยังอาสอง ของถงถง
อาสองก็เหมือนจะอิดออด แต่ก็รู้ดีว่าตนเองไม่ได้สร้างความ ประทับใจที่ดีเท่าไรกับหลี่มู่ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ยังเป็นฝ่ายแนะนํา ตัวถงถงให้กับเฉินเซ่าฮว๋าอีกด้วย ทําความผิดไป จึงทําได้เพียงพาสามี เดินจากไป ในใจก็คิดว่าต่อจากนี้คงต้องหาวิธี ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วย อะไร ก็จะต้องดึงเอาภาพลักษณ์ของตนเองในสายตาตระกูลหวางกลับ มาให้ได้
ท้ายสุด ด้านในห้องเหมาเหลือเพียงครอบครัวหวางซืออู่ ครอบครัวของซูอวี้ถง และยังมีซูฮั่นเหว่ย
บนหน้าของหลี่มู่ มีรอยยิ้มเหมือนชายหนุ่มเพื่อนบ้านปรากฏตัว ขึ้นอีกครั้ง เข้าไปชนแก้วกับทั้งสองครอบครัวด้วยตนเอง ไม่เหลือการ วางมาดอะไรอีกต่อไป
บรรยากาศผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองตระกูลล้วนรู้สึกเหมือนฝันไป
ภายใต้ข้อเสนอของซูฮั่นเหว่ย หวางซืออู่และซูอวี้ถงได้หมั้นหมาย กันทันที ซ�ายังกําหนดวันแต่งงานเรียบร้อยแล้วด้วย
“ฮ่ะๆ พี่ถงถง ผมชนกับพี่แก้วหนึ่ง ต่อจากนี้พี่ก็เป็นพี่สะใภ้ผม แล้วนะ ใครกล้ามารังแกพี่ ผมจะไม่ยอมนั่งดูดายแน่นอน” หลี่มู่ยิ้ม พลางชนแก้วกับซูอวี้ถง
ในใจซูอวี้ถง รู้สึกซาบซึ้งต่อหลี่มู่ถึงขีดสุด และศรัทธาอย่างสูงสุด
หลังจากการสนทนาครู่ใหญ่ หลี่มู่จึงได้รู้ว่า ที่แท้ที่ตระกูลซูจําใจ ต้องรับปากยกถงถงให้แต่งงานกับเฉินเซ่าฮว๋า นอกจากพลังการกดดัน อันยิ่งใหญ่จากสํานักวิญญาณแท้แล้ว ยังเป็นเพราะคุณปู่ของถงถงมี อาการป่วยหนัก และเฉินเซ่าฮว๋ารับปากว่าสามารถช่วยรักษาคุณปู่ ของถงถง ดังนั้นถงถงจึงกล�ากลืนตอบรับไป
“เรื่องนี้ไม่ยาก ผมมียาอยู่เม็ดหนึ่ง นําไปให้คุณปู่ซูทาน รับรองว่า ยาจะขจัดโรคร้ายได้ทันที” หลี่มู่ใช้ปราณไม้จักรพรรดิเขียวแดน ตะวันออกควบรวมจนเป็นยาลูกกลอน ส่งไปให้กับซูอวี้ถง
ตระกูลซูรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ
ท้ายสุด หลี่มู่ได้สอนวิธีการหายใจบางส่วนให้กับทั้งสองตระกูล เพื่อให้สามารถสร้างความแข็งแกร่งแก่ร่างกาย นี่จึงถือว่าเป้าหมายใน การมางานเลี้ยงครั้งนี้ได้สําเร็จลุล่วงแล้ว
ม่านยามค�าคืนได้มาถึง
หลี่มู่เดินออกจากโรงแรมสวนนิเวศไป๋เหอเพียงคนเดียว
เขากลับไปที่เขาเซ่าจู่ วางค่ายกลบางส่วนบนภูเขาเพื่อปกป้องคน ในหมู่บ้านและวัด จากนั้นขึ้นดาบถลาลมพุ่งบินออกไปยังทิศทางภูเขาฉี เหลียน ไปตามนัดของฟ่านจู่อั๋ง
ส่วนในเมืองเป่าจี ยุทธจักรตะวันตกเฉียงเหนือ ข่าวลือเกี่ยวกับ ‘เทพสังหารหลี่มู่’ ก็เพิ่งจะเริ่มกระจายออกมา