จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 500 สูงส่งจนถึงขั้นไหน
คนที่อึ้งตะลึงที่สุดก็เป็นตัว ‘เทพเซียนชรา’ เอง
ก่อนหน้านี้เขาก็มองออกว่าหลี่มู่เป็นยอดฝีมือ แต่คิดไม่ถึงว่าจะสูง จนถึงขั้นนี้ เพียงแค่ประโยคเดียว คําพูดก็ราวเวทมนต์ ทําให้พลังฝึกตน ทั้งร่างเขาไม่มีที่ให้สําแดงเลย…
นี่ต้อง ‘สูงส่ง’ จนถึงขั้นไหน?
“ท่าน…เป็นใครกัน?” ‘เทพเซียนชรา’ มีศักดิ์ศรีนัก กระดูกเข่า แหลกละเอียด แต่กัดฟันแน่นไม่ร้องออกมา เงยหน้ามองหลี่มู่อย่าง ยากลําบาก
หลี่มู่ตอบ “แกไม่ควรค่าที่จะได้รู้”
แต่ว่า ‘เทพเซียนชรา’ ตอนนี้พลันนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้
เมื่อสี่วันที่แล้ว ที่หน้าประตูวัดหรานเติงเขาซ่าวจู่เกิดคดีสังหารใน ยุทธจักรขึ้น
ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธจักรหลายสิบคนที่ไปสืบร่องรอยของ เจ้านักต้มตุ๋นขโมยกระดูกมังกรไปคนนั้น ถูกเด็กหนุ่มชื่อหลี่มู่ฆ่าทิ้งจน
หมดรูป อีกทั้งเด็กหนุ่มคนนั้นยังบอกอีกว่า ห้ามคนในยุทธจักรเหยียบ ย่างไปยังเขาซ่าวจู่ ยิ่งห้ามคนในยุทธจักรก่อกรรมทําชั่วในเมืองเป่าจี
ข่าวแพร่ออกไป ยุทธจักรฮือฮาไปทั่ว
ในเมื่อคนที่ตายไปพวกนั้นก็นับเป็นคนมีฝีมือในยุทธจักรเขต ตะวันตกเฉียงเหนือทั้งสามมณฑล โดยเฉพาะจางอวิ๋นเฟย วิชากระบี่ไม่ ธรรมดา แต่ว่ากันว่ายังรับเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวก็ ถูกสังหารในเสี้ยวพริบตา ดังนั้นจึงดึงความสนใจจากยอดฝีมือและ สํานักมากมาย
นอกจากนั้นยังมีข่าวว่าหลี่มู่ใช้มือเปล่ารับกระสุนสไนเปอร์ สกัด กั้นปืนได้ในชั่วเสี้ยวพริบตาลือไปให้แซ่ด
สําหรับเรื่องนี้ คําวิพากย์วิจารณ์ในยุทธจักรแตกต่างกันไป
แต่มีจุดหนึ่งมีไปในทิศทางเดียวกัน——นั่นก็คือเด็กหนุ่มที่ชื่อหลี่มู่ คนนี่ บางทีอาจจะแข็งแกร่งมาก แต่ใช้มือเปล่ารับกระสุนสไนเปอร์ อะไรพวกนี้น่าจะลือขยายกันใหญ่ไป
คนส่วนมากคิดว่าขั้วอํานาจและตระกูลที่สูญเสียสาหัสที่ประตูวัด หรานเติง จงใจขยายความสามารถของหลี่มู่เพื่อให้พวกเขาดูไม่ย�าแย่ และไร้ความสามารถแบบนั้น จะได้ไม่โดนสหายในยุทธจักรหัวเราะ เยาะ
อย่างไรเสียเรื่องที่ใช้มือเปล่ารับกระสุนปืนแบบนั้นมันช่าง เหลวไหลไร้สาระสิ้นดี นี่ไม่ใช่เรื่องที่ความสามารถของมนุษย์จะทําได้ ทว่าตอนนี้ ‘เทพเซียนชรา’ แค่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ คนที่ สามารถทําให้เขาคุกเข่าลงกับพื้นได้ในประโยคเดียว บางทีอาจจะใช้ มือเปล่าหยุดกระปืนได้จริงๆ ก็ได้? “ท่านคือ…เทพสังหารหลี่มู่?” เขาพลันเอ่ยขึ้น ใบหน้าของหลี่มู่ฉายแววแปลกใจ “เทพสังหาร? ฮ่าๆ สมญานี้ไม่เลวเลย ฆ่าให้เลื่องชื่อ…หวางซืออู่ กับซูอวี้ถงเป็นเพื่อนของฉัน คนที่ทําให้พวกเขาลําบาก ก็คือทําให้ฉัน ลําบาก พวกแกเป็นคนสํานักไหน? คําพูดของฉันเป็นลมผ่านหูรึไง?” “นี่…” ‘เทพเซียนชรา’ ก้มหน้า “ไม่กล้า พวกเราไม่รู้ว่า…” “ฉันไม่อยากฟังคําอธิบายน่าหัวเราะไร้ความหมายพวกนี้…บอกมา แกมาจากสํานักไหน” หลี่มู่ข่มขู่ คนอื่นๆ ตอนนี้ก็อึ้งตะลึงไปโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
หวางเจิ้นและไป๋หรูไม่แปลกใจกับพลังของหลี่มู่อะไรมาก ในเมื่อ เห็นกลวิชาอภิหารย์ฟื้ นคืนชีพของหลี่มู่ ภาพที่เห็นเบื้องหน้านับว่าเป็น เรื่องที่อยู่ในขอบเขตปกติ
สิ่งที่ทําให้พวกเขาตะลึงคือ หลี่มู่ที่เผชิญหน้ากับศัตรูราวกับ เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางทีสบายๆ อย่างเด็กชาย ข้างบ้านอย่างตอนที่อยู่กับพวกเขา อีกทั้งยังเปลี่ยนไปทรงอํานาจและ เหี้ยมโหด เหมือนสิ่งมีชีวิตระดับสูงก้มลงมองสิ่งมีชีวิตระดับต�า ไม่อาจ ต้านทานได้
หม่าเจิ้นพ่อลูกใจเต้นระรัว ตระหนักได้ว่า พวกเขาวันนี้ได้ตัดสินใจ อย่างโง่เขลาและผิดพลาดไปแล้ว แต่ตอนนี้จะทําอย่างไรดี?
ทําไมแม้แต่พวก ‘เทพเซียนชรา’ ยังทําอะไรกับเจ้าตัวเล็กนี่ไม่ได้?
เทพสังหารหลี่มู่?
นี่มันสมญาอะไร?
ในสังคมที่ใช้กฎหมายปกครองแบบนี้ในตอนนี้ทําไม่ถึงทําอย่างกับ ในหนังกําลังภายใน ‘เทพสังหาร’ คํานี้ร้ายกาจมากเลยหรือ? หาก เปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน พวกเขาบางทีอาจจะรู้สึกว่าสมญานามแบบนี้ติงต๊ องปัญญาอ่อน โง่มาก น่าหัวเราะสุดๆ แต่ตอนนี้ ใครจะหัวเราะออก?
คนตระกูลซู พ่อแม่ซูอวี้ถง และน้าสอง ตอนนี้อยู่ในสภาวะสมอง ขาวโพลน
เรื่องราวผันเปลี่ยนไม่หยุด
ใครก็คิดไม่ถึงว่า สกุลหวางจะมีที่พึ่งยิ่งใหญ่แบบนี้
อีกทั้งดูแล้ว พวกนายน้อยเฉินอยู่ต่อหน้าคนพวกนี้แล้วไม่ควรค่า แก่การพูดถึงเลย?
คราวนี้จะทําอย่างไรดี?
ส่วนแขกคนอื่นๆ ที่ตามมาดูเรื่องสนุกตอนนี้ต่างเงียบกริบกัน ทั้งนั้น ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อย กลัวว่าจะดึงความสนใจจากห ลี่มู่หรือพวกนายน้อยเฉินแล้วถูกหมายหัว
ความหวาดกลัวและเสียใจในใจของ ‘เทพเซียนชรา’ ตอนนี้ยากจะ บรรยาย เขาไม่กล้าขัดคําสั่งของหลี่มู่ รีบตอบลนลาน “ข้าน้อยหลิงเฮ่ อจื่อหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งสํานักวิญญาณแท้”
เจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์?
หลี่มู่มีความจําอยู่หน่อยๆ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยฆ่าลูกศิษย์สํานักชมดาราหนึ่งในเจ็ดสํานัก ศักดิ์สิทธิ์ที่หน้าประตูวัดหรานเติง ส่วนฟ่านจู่อั๋งก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ ของสํานักประกาศิตเทพ หนึ่งในเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ตามที่ฟ่าน จู่อั๋งว่า เจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้เป็นสํานักฝึกฝนเจ็ดสํานักที่ใหญ่ที่สุด ระดับสูงที่สุดในประเทศ กุมอํานาจโลกฝึกฝนในประเทศ
แต่แล้วอย่างไรเล่า?
อยู่ต่อหน้าหลี่มู่ เจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์อะไรก็เป็นแค่พวกไร้ประโยชน์ เท่านั้น
“สํานักวิญญาณแท้สั่งสอนลูกศิษย์ขยะๆ แบบนี้ออกมาเนี่ยนะ? จะฆ่าคนธรรมดาไม่มีวรยุทธ์ต่อหน้าธารกํานัล หึๆ ฉันว่า หนึ่งในเจ็ด สํานักศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า ก็แค่สถานที่ซ่อนความสกปรกโสมมเอาไว้เท่านั้น แหละ” จิตสังหารในใจของหลี่มู่เริ่มไหลวน
เขากลับมาโลก เรื่องที่รับไม่ได้มากที่สุดก็คือพวกอาศัยพลังฝึกตน รังแกคนธรรมดา
พลังวรยุทธ์บนโลกพวกนี้ไม่คิดปกป้องประเทศ ไม่คิดถ่ายทอด มรดก กลับรังแกคนอ่อนแอ เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ไม่สนใจกฎหมาย คิดว่าอยู่เหนือคนอื่นๆ หยิ่งในศักดิ์ศรีเสียเต็มประดา เที่ยวขู่เข็ญขูดรีด คนธรรมดา ต่อรองเงื่อนไขผลประโยชน์กับประเทศ…
คนพวกนี้เป็นกากสวะในยุทธจักร
ขั้วอํานาจสํานักแบบนี้ไม่มีความจําเป็นที่จะดํารงอยู่
หลังจากศึกต่อสู้ที่หน้าประตูวัดหรานเติง หลี่มู่ก็ตัดสินใจแล้วว่า ไอ้ พวกนี้หากเขาเจอจะไม่มีทางปราณีเด็ดขาด จะต้องทําลายให้สิ้นซาก ทําความสะอาดให้หมดจด
“ฉันรู้ พวกแกตอนนี้จนปัญญาเพราะอยู่ใต้แรงกดดันจากฉัน เลย ไม่กล้าพูดอะไร แต่แค่พอฉันไม่อยู่ บางทีพวกแกอาจจะแอบลงมือกับ สกุลหวาง ลงมือกับพี่เสี่ยวอู่ พี่ถงถงใช่หรือไม่?” หลี่มู่มองไปยังหลิงเฮ่ อจื่อและพวกเฉินซ่าวหวา
“มิกล้า มิกล้า” หลิงเฮ่อจื่อรีบตอบลนลาน
พวกเฉินซ่าวหวาถึงถูกผนึกคําพูด แต่ท่าทางขอร้องอ้อนวอน แก้ ตัว
แต่ในใจพวกเขาคิดอะไรอยู่ใครจะไปรู้ได้?
หลี่มู่เอ่ยแค่นเสียงเย็น “พวกแกไอ้พวกสารเลวชั่วช้าแบบนี้ฉันเห็น มาเยอะแยะแล้ว…แต่ว่า วิชาของฉัน พวกแกพวกแมลงไร้ค่าจะไปรู้ได้ อย่างไร ช่างเถอะ วันนี้จะให้โอกาสพวกแกก็แล้วกัน พวกแกใครยืน
หยัดหลังประลองกับพี่เสี่ยวอู่ได้ในหนึ่งกระบวนท่า ฉันจะให้พวกแก จากไปอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน”
พูดจบเขาก็สะบัดมือ
ประกายแสงสีเขียวสี่สายพุ่งเข้าไปในร่างของพวกหลิงเฮ่อจื่อ
ภายในเสี้ยวพริบตา เรื่องเหลือเชื่อน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว
เข่าที่ทั้งสี่คุกเข่าลงไปจนแหลกละเอียดฟื้ นฟูโดยสมบูรณ์ กระดูกที่ แตกร้าวหายสนิทเหมือนในตอนแรก แม้แต่รอยแดงเล็กน้อยบนเนื้อตัว ก็ไม่มี
หลิงเฮ่อจื่อทั้งสี่คนรู้สึกว่าความเจ็บปวดมลายหายไปในเสี้ยว พริบตา ที่เข่ากลับรู้สึกสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลังในกายก็ฟื้ นฟู โดยสมบูรณ์ ไม่ถูกควบคุมอีกต่อไป
“นี่…” เฉินซ่าวหวามองเข่าทั้งสองของตน เอ่ยปากพูดได้แล้ว เช่นกัน
หลี่มู่ที่เป็นประหนึ่งสิ่งอัศจรรย์
หลี่มู่หันกลับมามองยังหวางซืออู่และซูอวี้ถง ใบน้าฉายรอยยิ้ม “พี่ เสี่ยวอู่ เมื่อกี้พี่ไม่ได้บอกว่าอยากฝึกวิชายุทธ์ เป็นยอดฝีมือวิถียุทธ์หรือ
หรอ? ตอนนี้ผมจะสอนวิธีฝึกลมหายใจขั้นแรกเริ่มบางอย่างง่ายๆ ให้ เบิก ‘จุดทะเลปราณ’ ให้พี่ก่อน ให้พี่เดินบนเส้นทางฝึกฝนจริงๆ”
พูดแล้วเขาก็งอนิ้วดีด แสงสีแดงสดพุ่งออกไปจากนิ้วของเขา เข้า ไปยังรากฐานวิญญาณของหวางซืออู่
หวางซืออู่ยังไม่ทันตั้งตัวก็รู้สึกว่าในกายมีเสียงกร๊อบๆ ราวถั่ว ระเบิด เหมือนในกายมีรูมากมายนับไม่ถ้วนส่งเสียงหวึ่งๆ แปลก ประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็มองเห็นคลื่นวนและกระแสอากาศที่ เห็นได้ด้วยตาเปล่าพันล้อมมาโดยมีหวางซืออู่เป็นศูนย์กลาง ความ อบอุ่นประหนึ่งเปลวไฟแผ่อวลทั่วห้องส่วนตัว
“พี่สะใภ้ถงถง พี่ไปยืนอีกทางก่อนนะฮะ” หลี่มู่ยิ้มพูดกับถงถง
“เอ๋? ได้ๆ” ซูอวี้ถงเว้นระยะห่างกับชายคนรักเล็กน้อย
ก็เห็นผิวกายทั่วทั้งร่างของหวางซืออู่พลันแดงก�าขึ้น เหมือนว่า ย้อมสีอย่างไรอย่างนั้น แต่ไม่นานก็กลับคืนสู่ปกติ หลังจากเหตุการณ์ ประหลาดทุกอย่างจบสิ้นลง ทั้งคนก็เหมือนเปลี่ยนไป แต่ก็เหมือนว่าไม่ เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทําให้คนรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
“สวรรค์ นี่มัน…ชําระล้างเปลี่ยนแปลงร่างกาย?”
หลิงเฮ่อจื่อเห็นภาพนี้ก็อดร้องอย่างตกใจเหมือนเห็นผีขึ้นมาไม่ได้
เฉินซ่าวหวา เฮ่อเฟย และเฮ่ออวี่ทั้งสามคนไม่เข้าใจแก่นแท้ในนั้น ดังนั้นจึงไม่รู้สึกอะไร แต่หลิงเฮ่อจื่อฝึกฝนมาหลายปี วิสัยทัศน์เล็กๆ น้อยๆ ก็พอมีอยู่บ้าง
ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นโอกาสที่คนในยุทธจักรต่างเฝ้าใฝ่ฝันหา แม้ในฝันเชียวนะ แม้แต่อัจฉริยะทั้งหลายยังไม่อาจได้รับโอกาสเช่นนี้ แต่เทพสังหารหลี่มู่เพียงแค่งอนิ้วดีด ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถ ชําระล้างเปลี่ยนร่างกายให้คนที่ไม่เข้าใจวิถียุทธ์แม้แต่น้อย ไม่มี พื้นฐานวิถียุทธ์คนหนึ่งได้?
นี่มันวิชาอะไร?
ใจของหลิงเฮ่อจื่อเกิดคลื่นคลั่งท่วมฟ้าอีกครั้ง
หลี่มู่ไม่พูดอะไร
นี่คือวิธีการถ่ายทอดพลังทางเซียนของจริง วิชาชั้นต�าอย่างชําระ ล้างเปลี่ยนกระดูกจะมาเทียบได้อย่างไร?
“พี่เสี่ยวอู่ พี่ใช้หมัดมวยทหารที่เคยเรียนมาก็ได้แล้ว” หลี่มู่กําชับ “หนึ่งคนหนึ่งหมัด คนที่รับหมัดพี่ได้ก็ปล่อยไป”
หวางซืออู่ค่อนข้างลังเล “นี่…ถงถงกลับมาอยู่กับพี่แล้ว ไม่อย่างนั้น…จบแค่นี้?”
นี่เป็นเด็กหนุ่มที่จิตใจดีมีเมตตา
หลี่มู่พูดอย่างจริงจัง “พี่เสี่ยวอู่ วันนี้ผมอวดดีสอนพี่บทเรียนหนึ่งก็ แล้วกัน คนใจดีถูกรังแก ม้าไม่พยศถูกขี่ ก่อนหน้านี้พวกมันเหยียด หยามพ่อแม่พี่ ทั้งยังหยามหมิ่นพี่ถงถง ไอ้เฉินซ่าวหวานี่ยิ่งจะฆ่าพี่…พี่ จําเอาไว้ ปล่อยคนชั่วให้หลงระเริงเป็นการทําร้ายคนดี ลูกผู้ชายอกสาม ศอกมีเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยง แต่ก็มีเรื่องที่พึงกระทําเช่นกัน และยังมีอีก เรื่องหนึ่ง ต้องจําเอาไว้ว่าอย่าอภัยให้พวกสวะง่ายๆ เพราะพวกมันไม่ ควรค่าแก่การให้อภัย พี่เข้าใจแล้วรึยัง? ”
นี่นับว่าเป็นการพูดออกมาจากก้นบึ้งหัวใจกับพี่ชายของภรรยาใน อนาคตแล้ว
อันที่จริงหลี่มู่ทําแบบนี้ไม่ใช่เพื่อวางท่า แต่เป็นการวางแผนลึกลง ไปอีก
หนึ่งคือหวังว่า ก่อนโลกจะเลวร้าย คนบ้านหวางซืออวี่จะมีกําลัง และสภาวะจิตใจปกป้องตัวเอง อย่างไรเสียเขาไม่มีทางอยู่เป็นบอดี การ์ดข้างกายให้บ้านสกุลหวางได้ตลอดไป ใจมนุษย์คดเคี้ยว คนในยุทธ
จักรยิ่งชั่วช้า ใครจะไปรู้ว่าสํานักข้างหลังพวกหลิงเฮ่อจื่อจะอดทน จากนั้นก็หาโอกาสแก้แค้นรึเปล่า? นี่ก็เพื่อกําราบสํานักวิญญาณแท้
สองคือ ผ่านจากวิธีนี้ เผยฝีมือปล่อยข่าวออกไปในยุทธจักร ภายในประเทศ ให้ไอ้พวกโง่นี่รู้ว่าพลังของคําสี่คํานี้ทรงพลังแค่ไหน พวกไม่รู้จักตายจะได้ไม่มากวนตนเหมือนแมลงวัน…นี่ก็เพื่อกําราบยุทธ จักรทั่วทั้งประเทศ
นี่นับว่าพยายามเต็มที่แล้ว
………………………………………………