จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 498 เกิดอะไรขึ้น
ห้องเหมาหมายเลขหนึ่ง หรูหราโอ่อ่า
ห้องเหมานี้เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโรงแรมสวนนิเวศไป่เหอ หรูหราที่สุด และมีเพียงคนใหญ่คนโตเท่านั้นที่จะสามารถจองเหมาได้ กินพื้นที่หนึ่งร้อยกว่าตารางเมตร มีพนักงานบริกรที่คัดเลือกอย่างดี โดยเฉพาะคอยให้บริการชั้นเลิศที่นี่
ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องดีอย่างมาก
นอกจากครอบครัวของซูอวี้ถงแล้ว ยังมีพี่น้องของบิดาซูอีกสี่คน รวมไปถึงครอบครัวของพวกเขา ในนั้นรวมไปถึงอธิการกรมตํารวจ เมืองซินเกาอย่างซูฮั่นเหว่ยด้วย
โต๊ะกลมยักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหกเมตร รอบด้านสามารถนั่ง ได้ถึงห้าสิบคน บนโต๊ะมีรูปจําลองทิวทัศน์ ภูเขาจําลองขนาดเล็กมีน�า ไหลดูเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก และพื้นที่รอบวงด้านนอกก็เพียงพอ สําหรับที่นั่งต่างๆ โต๊ะหมุนเองอย่างช้าๆ ด้านบนเต็มไปด้วยอาหารชั้น ดี ผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ เพียงแค่ยื่นมือก็สามารถทานได้แล้ว
เพียงแต่เนื่องจากโต๊ะที่ขนาดใหญ่เกินไป ทําให้แขกเหรื่อจะพูดคุย กันก็ไม่สะดวก คนที่นั่งหันหน้าชนกัน อย่างน้อยก็มีระยะห่างถึงหก เมตร หากพูดเสียงเบาเกินไปก็จะไม่ได้ยิน
ชายหนุ่มขาวสะอาดสูงราวร้อยเจ็ดสิบคนหนึ่ง บนใบหน้ามีสี หน้ากึ่มๆ จากการถูกฤทธิ์สุราล้วงจนโหวง มีรอยยิ้มหยิ่งทะนง นั่งอยู่ บนที่นั่งหลัก
ส่วนในสายตาของคนอื่นที่มองมายังชายหนุ่มคนนี้ ล้วนมีความ หวั่นเกรง ส่วนมากมีรอยยิ้มเอาอกเอาใจ
ซูอวี้ถงในชุดหรูหรานั่งอยู่ด้านข้างชายหนุ่มคนนี้
นางที่แต่งหน้าตาอย่างประณีตงดงาม ภายใต้การสาดส่องจากแสง ไฟสมบูรณ์แบบในห้องเหมานี้ ก็ราวกับเป็นสาวงามหยกตนหนึ่ง ผิวขาว ละเมียดละไมดุจหยกขาว สวยงามอย่างที่สุด
เพียงแต่นางที่เป็นถึงหนึ่งในตัวละครหลักของงานเลี้ยงวันนี้ กลับมี สีหน้าเย็นชา ไม่มีรอยยิ้ม เวลาส่วนใหญ่ล้วนก้มหน้าไม่พูดจากับใคร มี เพียงขณะที่ชายหนุ่มข้างกายคนนี้ถามขึ้น จึงจะตอบกลับอย่างขอไปที สักครั้ง
ท่าทีเช่นนี้ ทําเอาคนอื่นรู้สึกว่าสาวงามคนนี้เป็นเหมือนกับกําแพง หิมะน�าแข็งที่ก่อตัวขึ้น ชวนคุยด้วยลําบาก
หม่าเจิ้นผลักประตูเข้ามา บอกกับชายหนุ่มขาวสะอาดคนนั้นว่า “คุณชายเฉิน เจ้าเด็กนั่นไม่ไว้หน้าเลย ไม่ยอมมาชนแก้วด้วย”
ก่อนหน้า เป็นเขาที่บอกเองว่าเห็นเพื่อนชายคนเก่าของซูอวี้ถง จะ เชิญเข้ามาชนแก้วกันเสียหน่อย ทําตัวกล้าออกไปเชิญมา แต่ผลลัพธ์ กลับกลายเป็นล้มเหลวจนต้องถอยกลับ ไม่รู้จะเอาหน้าไว้ที่ไหน เหมือนกัน
“ไม่ไว้หน้าคุณชายเฉิน?”
“สมองของหวางซืออู่มีปัญหาไปแล้วหรือไรกัน?”
“นายไม่ได้บอกว่าอธิการซูก็อยู่ด้วยหรือ?”
คนวัยหนุ่มสาวหลายคนบนโต๊ะอาหารล้วนอ้าปากพูดกันไปมา เหมือนจะช่วยโหมไฟให้แรงเข้า ล้วนเป็นเพื่อนตัวแสบของหม่าเจิ้น ทั้งสิ้น
หม่าเจิ้นเป็นลูกชายของผู้จัดการใหญ่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มี พลังที่สามารถขึ้นสู่สามอันดับแรกในเมือง แบบฉบับคนมีเงินใส่เสื้อหรู ส่วนพวกหนุ่มๆ อีกหลายคนนี้ก็พอๆ กัน ไม่กี่วันก่อนหน้า หลังจากที่ ‘คุณชายเฉิน’ มาถึงเมืองเป่าจี หม่าเจิ้นจึงได้เส้นสายผ่านจาก ความสัมพันธ์ของบิดา
ไม่กี่วันนี้ เขากับเพื่อนพ้องพา ‘คุณชายเฉิน’ ตะลอนเที่ยวกินอยู่ใน เมือง เอาอกเอาใจอย่างดี ลงทุนลงแรงไปไม่น้อย ค่อนข้างได้รับคําชม จากคุณชายเฉิน นี่ก็เป็นสิ่งที่บิดาหม่าหมิงอวี้แนะนําให้ทํา
หม่าหมิงอวี้ตอนนี้ก็อยู่ที่โต๊ะอาหาร เมื่อได้ยินจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
จริงๆ แล้วเขาไม่ค่อยพอใจนัก ที่ลูกชายตนเองเอาเรื่องเพื่อนชาย เก่าของซูอวี้ถงมากระทุ้งเข้าในเวลานี้ แล้วยังไปยั่วยุอีกฝ่ายถึงในห้อง นั้น นี่มันเจตนาไปหาเรื่องชัดๆ รับไม่ได้
แน่นอนว่าที่หม่าหมิงอี้คิดเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะรู้สึกเห็นใจหวางซืออู่ ความรู้สึกและความเป็นตายของตัวละครเล็กจ้อยเช่นนี้ไม่ได้อยู่ใน สายตาเขาเลย เขาแค่กลัวว่าลูกชายจะอวดฉลาดจนกลายเป็นคนโง่ เท่านั้น จนสร้างความรู้สึกด้านลบกับ ‘คุณชายเฉิน’
หม่าเจิ้นอธิบายด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ “ผมบอกไปแล้วว่าอธิการซูก็ อยู่ด้วย และยังบอกถึงฐานะคุณชายเฉินไปอีก ใครจะไปคิดว่าในห้อง นั้นจะมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ท่าทีกําเริบเสิบสาน มาก ไม่ยอมให้หวางซืออู่มา…”
เขาปรุงแต่งเรื่องไปอีกหน่อย
และได้เห็นว่าใบหน้าขาวสะอาดของชายหนุ่มคนนี้ สีหน้าเริ่มที่จะ ไม่ดีนัก ซูฮั่นเหว่ยจึงรีบเปลี่ยนเลี่ยงไปอีกทาง อ้าปากพูดเพื่อรักษา
บรรยากาศ “เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ในเมื่อเขาไม่ยอมมาก็ช่าง เถอะ ถึงอย่างไรต่อจากนี้ ถงถงของตระกูลเรากับเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง กันอีกแล้ว…ต่อๆ อย่าให้เรื่องเหล่านี้มาทําเสียบรรยากาศเลย”
ญาติคนอื่นจากตระกูลซู รวมไปถึงอาสองที่วันนั้นดึงตัวซูอวี้ถง กลับบ้าน ก็ล้วนรีบยิ้มไกล่เกลี่ย
คุณชายเฉินชายหนุ่มขาวสะอาดหัวเราะขึ้น ยกแก้วสุราจีนขึ้นดื่ม
ในใจของพวกซูฮั่นเหว่ย ตอนนี้ถึงเพิ่งจะผ่อนใจลงได้ คิดว่าเรื่อง คงจะผ่านไปแล้ว
ใครจะคิดว่าพอชายหนุ่มดื่มสุราหมด ได้ตบโต๊ะเสียงดังกะทันหัน โยนแก้วสุราลงบนโต๊ะ เอ่ยขึ้นว่า “ก็ว่าอยู่ ทําตัวหน้ามู่เป็นไม้กระดาน ได้ทั้งวัน เย็นชากับฉันแบบนี้ เหมือนกับว่าฉันไปทําให้นางเสียหาย อย่างไรอย่างนั้น ที่แท้ก็มีคนรักเก่าอยู่แล้วนี่เอง…เหอๆ ตระกูลซูของ พวกแกกล้ามาตบตาเฉินเซ่าฮว๋าอย่างฉันหรือ?”
พอเขาพูดเช่นนี้ บรรยากาศในห้องเหมาเย็นเยียบลงในพริบตา
ในใจซูฮั่นเหว่ยสว่างวาบด้วยความโกรธ ‘คุณชายเฉิน’ คนนี้ก็จะดู รังแกกันมากไปหน่อยแล้ว แต่พอมาคิดถึงฐานะของอีกฝ่าย จะโมโหสัก แค่ไหนก็ต้องทนไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลซูก็ยังต้องรบกวนอีกฝ่ายอยู่อีก
สําหรับชายหนุ่มที่กําลังเดือดดาลคนนี้ ซูอวี้ถงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เลย พอได้ยินก็ทําเพียงแค่จ้องมองโต๊ะด้านหน้าทึ่มมะลื่อ เหมือนกับหุ่น กระบอกที่ไม่มีวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าไม่เปลี่ยนอะไรมาก
เฉินเซ่าฮว๋ามองดูสีหน้าของซูอวี้ถงแล้ว ก็เกิดความไม่พอใจขึ้น
“ฮ่ะๆๆ ไม่มีคนไหนที่คนอย่างเฉินเซ่าฮว๋าจะเชิญมาไม่ได้….ใน เมืองเป่าจีที่เล็กน้อยนี้ คนที่ไม่ไว้หน้าฉันยังไม่เกิดออกมาเลย…ซูอวี้ถง เพื่อนชายคนเก่าของเธอ เธอไปเชิญเขามาหาฉันด้วยตัวเองอีกครั้ง ครั้ง นี้ ถ้าเจ้าคนนั้นยังไม่รู้จักให้เกียรติอยู่อีก ก็อย่าโทษว่าฉันใจไม้ไส้ระกํา ตอนที่ทําเรื่องอะไรขึ้นมาก็แล้วกัน” สีหน้าคุกคามเผยออกมาอย่างไม่ ปิดบัง
สีหน้าซูอวี้ถงเปลี่ยนทันที
นางลังเลอยู่ครู่ ท้ายสุดจึงยืนขึ้น เดินตรงออกไปด้านนอกอย่างไม่ พูดไม่จา
บิดาซูมารดาซูก็ทั้งลนลานทั้งโกรธ
ลูกสาวตนเองยังไม่ทันจะออกเรือนก็ถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้แล้ว ต่อ ว่าตําหนิต่อหน้าคนอื่น ‘คุณชายเฉิน’ คนนี้ไม่ได้ใส่ใจหน้าตาของลูกสาว ตนเองเลย แล้วภายภาคหน้าลูกสาวตนเองจะใช้ชีวิตอย่างไรกัน?
แต่ว่า พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก
พูดจริงๆ พวกเขาก่อนหน้านี้เคยพบกับหวางซืออู่มาแล้วและ พอใจเป็นอย่างมาก เขาเป็นเด็กที่ดีคนหนึ่ง มีความสามารถกตัญญู บุคลิกดี แต่ว่า…ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาที่ ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวจึงแทบจะกลายเป็นของกํานัลไปอย่าง จําใจ
“ผมไปด้วย…เหอๆ คุณชายเฉิน เดี๋ยวผมไปช่วยคุณดู” หม่าเจิ้น จมูกแดงที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายพอ ได้ขันอาสาทําเรื่องยากขึ้นอีก ครั้ง
หลักๆ แล้วที่เขาไปห้องนั้น ก็เพื่อที่จะดูหวางซืออู่และเจ้าหนุ่มคน ที่ตําหนิเขาเสียหน้า
ซูฮั่นเหว่ยเมื่อเห็นท่าทีไม่ดีจึงยืนขึ้นเอ่ยว่า “ฉันก็จะไปเตือนเขา หน่อย”
เขาไม่ใช่ว่าจะไปสร้างความลําบากใจแก่หวางซืออู่ แต่คิดจะไป ไกล่เกลี่ย ค่อยๆ พูดเหตุผลให้หวางซืออู่และเพื่อนของเขาอย่าเพิ่ง บุ่มบ่าม จนก่อเรื่องต่อต้านเป็นปฏิปักษ์อะไรขึ้น มิเช่นนั้นจะจัดการได้ ลําบาก
นิสัยใจคอของเฉินเซ่าฮว๋าคนนั้นได้เผยออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นคนใจดําอํามหิต ขอแค่บ้าเลือดขึ้นมาก็สามารถทําเรื่องที่โหดร้าย ทารุณขึ้นมาได้ ต่อให้อธิการกรมตํารวจอย่างเขา ก็ยังทําอะไรกับอีก ฝ่ายไม่ได้เลย
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีที่มาใหญ่โต เป็นคนจากเหล่าเซียนที่ เบื้องหลังยิ่งใหญ่เหลือเกิน
เฉินเซ่าหัวที่นั่งอยู่ที่นั่งหลัก สีหน้ามีรอยยิ้มเย็นชา
เขาเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่จิตใจดีอะไรอยู่แล้ว มีตําแหน่งนิดหน่อยใน ตระกูล ทว่าไม่ใช่คนที่ถูกเลี้ยงมาเพื่อรับช่วงต่อ ก่อนหน้านี้เพียงแค่ถูก ตระกูลเฉินเลี้ยงทิ้งเลี้ยงขว้างเท่านั้น แต่หลังจากที่ยุคสมัยใหญ่มาถึง กลับโอกาสประจวบเหมาะ ถูกพบว่ามีพรสวรรค์ทางด้านการบําเพ็ญ ได้ถูกแต่งตั้งให้เข้าไปอยู่ที่หนึ่งในสํานักเจ็ดศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นผู้สืบ ทอด ตัวตนฐานะยกระดับขึ้นในพริบตา
ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ตําแหน่งฐานะในตระกูลเฉินของเขาก็ยก สูงขึ้น เมื่อหยิบยืมอํานาจจากสํานัก จึงได้ฟาดหน้าคนก่อนหน้า เหล่านั้นอย่างไม่มีกลัวเกรง ต่อให้เป็นผู้สืบทอดที่ได้รับการเลี้ยงดูมา ของตระกูลคนก่อน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ยังต้องก้มหน้าก้มตาเหมือน สุนัขตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
เขาในตอนนี้อยู่ในท่าทีของเศรษฐีใหม่ และไม่สนใจว่าใครจะมอง อย่างไร
และการหมั้นหมายกับตระกูลซูในครั้งนี้ ก็เป็นเพียงแค่การ แลกเปลี่ยนครั้งหนึ่ง สํานักได้จัดวางไว้แล้ว เขาไม่สามารถฝ่าฝืนไม่เชื่อ ฟังได้ ทว่าโชคยังดีที่ซูอวี้ถงคนนี้ก็หน้าตาสะสวยไม่เลว หลับนอนด้วย เสียหน่อยก็คงไม่เป็นไร ถือเสียว่ารับเอาเมียน้อยมาสักคนก็แล้วกัน
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังทนไม่ได้ที่ในใจของผู้หญิงคนนี้ยังคง มีคนอื่นอยู่ ต่อให้เห็นได้ชัดว่าตนเองจะแย่งของรักของคนอื่นมาก็ตาม
จริงๆ แล้ว ต่อให้หวางซืออู่อีกสักครู่จะเข้ามาชนแก้วด้วย เฉิน เซ่าฮว๋าก็ไม่ได้คิดที่จะปล่อยเขาไว้ ทําให้อับอายเสียหน่อย จากนั้นค่อย หาโอกาสเล่นงานเขาแล้วจับไปถ่วงน�าเสีย
วิธีการของสํานัก ถึงอย่างไรตํารวจทั่วไปก็ตรวจสอบไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้ตรวจสอบได้ออกมาก็ไม่ต้องกลัวอะไร
เฉินเซ่าฮว๋าสีหน้าเหี้ยมเกรียม โบกวีไวน์ที่อยู่ในแก้ว สีแดงวูบวาบ แฉลบไปมาเคลือบอยู่บนผิวแก้วราวกับเลือดสด คนจากตระกูลซู ตัวสั่นระริก
อาสองของซูอวี้ถงยังคิดจะไกล่เกลี่ย พยายามยิ้มเพื่อขอการให้ อภัย และยังดึงเอาบิดาซูมารดาซูให้ร่วมกันเปลี่ยนบรรยากาศ ทว่าเฉิน เซ่าฮว๋าเพียงแค่หัวเราะเย็นชา ไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีนี้เลย ทําเอาคนของ ตระกูลซูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยทีเดียว
ส่วนด้านข้างของโต๊ะกลมใหญ่ในห้องเหมา ที่โซฟาสําหรับแขกนั่ง มีชายชราใบหน้าอ่อนเยาว์ผมเพ้าขาว ประกายแดงเต็มใบหน้าคนหนึ่ง นั่งอยู่
ชายชราคนนี้ดูแล้วอายุราวเจ็ดแปดสิบปี ดูมีกําลังวังชา ตาคิ้วดูใจ บุญ สวมเสื้อยาวสีขาวราวกับเทพเซียนชรา ในมือบีบลูกประคําสีแดง พวงหนึ่งอยู่ หลับตา กําบีบไม่หยุด และทําราวกับว่าไม่เห็นไม่ได้ยิน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องนี้
ที่หน้าอกซ้ายของเสื้อยาวสีขาว มีลายกระเรียนขาวสยายปีกปักอยู่ ดูราวกับมีชีวิต
สองด้านของโซฟา มีวัยรุ่นในชุดขาว รองเท้าผ้า เอวคาดดาบอยู่ อีกด้านละหนึ่งคน ผมยาวเหมือนกัน มวยผมเหมือนกัน สีหน้าเคร่งขรึม เข้มงวด ลมหายใจเย็นเฉียบ ปฏิเสธผู้คนให้ออกห่างไปนับพันลี้
ทั้งสามคนไม่ได้เข้ากับบรรยากาศของทั่วห้องนี้เลย ราวกับว่าอยู่ กันคนละโลก ก่อนหน้ากระทั่งคนใหญ่โตอย่างซูฮั่นเหว่ยก็ยังไม่กล้าที่ จะเข้าไปทักทาย
พวกเขาเป็นต้นทุนการกําเริบเสิบสานของเฉินเซ่าฮว๋า ศิษย์สํานักเจ็ดศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง คนแห่งเทพเซียนที่แท้จริง เวลาได้ผ่านไปทีละวินาทีทีละนาที ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูห้องเหมาถูกเปิดออก หม่าเจิ้นหน้าบวมปูดร้องไห้กลับมา
“คุณชายเซ่า เจ้าบ้านั่นไม่ยอมไว้หน้าท่านเลย แล้วยังให้หวางซืออู่ มาเล่นงานผมด้วย…คุณชายเซ่า พวกเขากําเริบเสิบสานเกินไปแล้ว” หน้าของเขาซ้ายขวาเต็มไปด้วยรอยฝ่ามือ หน้าบวมปูดจนกลายเป็นหมู พูดจาเหมือนลมรั่ว น่าเวทนาสุดๆ
ภาพเช่นนี้ ไม่เหมือนกับที่ทุกคนคิดไว้อย่างสิ้นเชิง
ซูฮั่นเหว่ยก็ไปด้วย ทําไมหม่าเจิ้นถึงยังถูกเล่นงานจนกลายเป็น แบบนี้?
ยิ่งไปกว่านั้น ซูอวี้ถงก็ไม่กลับมา? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
………………………………………