จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 494 สังหารอย่างไม่ปรานี
หลี่มู่เหมือนกับถูกทําให้ตกใจจนบื้อไปแล้ว หันหลังกลับมามอง ดาบบิน จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “พวกแกเตรียมใช้วิธีนี้ มาคุยกับฉันสินะ?”
“ไอ้หนุ่ม ใครคิดจะคุยกับแกกัน?” นักพรตหน้าม้ายิ้มเย็นชาเอ่ย ขึ้น “ข้าจะมาสอบสวนแกต่างหาก”
หลี่มู่ก้มหน้าลงไม่พูดจา
จากที่ทุกคนเห็น เขาเหมือนกับแสดงความหวาดกลัวออกมา
สาวสวยปากแดงร้อนแรงจากตระกูลหลี่หัวเราะคิกคักพูดกับหลี่มู่ “หนุ่มน้อย ทางที่ดีอย่าพูดอะไรอย่าง ‘ตอนนี้สังคมมีขื่อมีแป ห้ามพวก แกพูดจาเลอะเทอะ ระวังฉันจะแจ้งตํารวจ’ เลยดีกว่า กฎหมายก็ทํา อะไรพวกเราไม่ได้ พี่สาวชอบตัวเธอมากนะ เธอบอกที่ซ่อนของคุณปู่ ออกมาอย่างว่าง่ายดีกว่า พี่สาวจะไม่ทําอะไรเธออย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น พี่สาวก็ปกป้องอะไรเธอไม่ได้เหมือนกัน”
หลี่มู่เอ่ยต่อ “พวกแกกล้าสังหารคนจริงๆ หรือ?”
รอบๆ เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้น
คนบางคนใช้สายตาเหมือนมองคนโง่จับจ้องมาที่หลี่มู่
นักพรตเต๋าหน้าม้ายิ้มเย็นชาเอ่ยต่อ “ไอ้หนุ่ม ไม่ต้องยื้อเวลาแล้ว บอกเอาไว้เลยว่าตอนนี้ในยุทธจักรจะสังหารคนสักคนสองคนก็ไม่ใช่ เรื่องใหญ่อะไร ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้ไม่มีคนที่จะปกป้องแกได้ อีก”
หลี่มู่พยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง”
นักพรตเต๋าหน้าม้าคํารามเสียงเย็น “ก็เป็นเช่นนี้ล่ะ ไอ้หนุ่ม รีบ บอกมา อย่ามาทดสอบความอดทนของข้า ไม่เช่นนั้น ดาบบินจะ…”
เสียงยังไม่ทันขาด
ฟิ้ ว!
ดาบบินที่ปักอยู่ในต้นไม้เล่มนั้น จู่ๆ ได้พุ่งกลับไปราวสายฟ้า ยังไม่ ทันมีใครรู้สึกตัว มันก็พุ่งเข้าไปปักที่ตาซ้ายของนักพรตเต๋าหน้าม้าแล้ว
“อ๊า….” นักพรตเต๋าหน้าม้ากรีดร้อง แรงเฉื่อยอันมหาศาลบนดาบ บินลากเอาร่างของเขาลอยหวือออกไป ตรงเข้าปักบนต้นไม้ใหญ่ขนาด สองคนโอบที่อยู่ด้านหลัง มือเท้าชักกระตุก ดูเหมือนไม่น่ารอดแล้ว
คนรอบด้านล้วนตกตะลึง
“ใครกัน?” “ใคร?” “ออกมานะ!” “ใครลอบกัด”
พวกเขายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนจับจ้องพิจารณาไป รอบด้านด้วยสีหน้าระมัดระวัง ยังคิดว่าหลี่มู่มีผู้ช่วยหรือคนสนับสนุน ลงมือจากด้านนอก กวาดมองไปทั่วสี่ทิศแปดทาง
ท่าทีสองมือของสาวสวยตระกูลหลี่ไวมาก มือทั้งคู่กํา ‘ซูเปอร์เรด ฮอว์ค’ กระบอกนั้น ร่างไหววูบถอยเข้าไปอยู่ด้านข้างต้นไม้ข้างๆ เพื่อ หาที่กําบัง กวาดตามองรอบด้าน สามารถลงมือได้ทุกเวลา แต่กลับไม่ รู้สึกถึงตําแหน่งของศัตรูเลย
ตอนนี้เอง หลี่มู่ก็เหมือนจะคิดอะไรออก
“ที่แท้จากที่พวกแกเห็น การจะสังหารคนสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่อง ใหญ่สินะ เช่นนั้นฉันก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วสิ…นี่เป็นสิ่งที่พวกแกเลือก เอง”
ดาบบินที่ปักอยู่กับร่างของนักพรตเต๋าหน้าม้า ราวกับถูกมือที่มอง ไม่เห็นดึงถอยออกมาทีละนิ้วๆ จนหลุดออกจากเบ้าตาซ้ายของเขา ร่าง
นักพรตเต๋าหน้าม้าหล่นลงมากองที่พื้นเหมือนสุนัขตาย หายใจเข้าแรง แต่ผ่อนออกมาน้อย
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คน ดาบบินเล่มนั้นบินกลับมาลอย อยู่ข้างกายหลี่มู่
“พวกแกทุกคน เหลือโอกาสตอบคําถามอีกเพียงแค่ครั้งเดียว” หลี่มู่มองพวกเขา เอ่ยต่อว่า “โอกาสของเขาหมดไปแล้ว หวังว่าพวกแก จะไม่เอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น”
หลี่มู่ในตอนนี้ เหมือนกับสัตว์ป่าที่แยกเขี้ยวออกมาอย่างกะทันหัน
ยอดฝีมือแต่ละฝ่ายในตอนนี้พึ่งจะรู้สึกตัวกลับมา “พลังจิตควบคุมสิ่งของ?” “พลังพิเศษจากต่างแดน?” “เจ้าหนุ่มคนนี้มันของแข็งชัดๆ” “มองพลาดไปเสียแล้ว” เสียงตระหนกดังขึ้นทั่ว
“กล้าสังหารคนของอารามเมฆาเคลื่อนของข้า เจ้าเด็กน้อย ข้าจะ ทําให้เจ้าตายทั้งเป็น”
ประตูวัดหรานเติง นักพรตเต๋าเฒ่าผมขาวคนหนึ่ง พุ่งออกมาจาก กลุ่มคน ร่างไหวราวเหยี่ยวยักษ์สยายปีก พุ่งคว้ากรงเล็บเข้าหาหลี่มู่ ห้า นิ้วกางออกราวกับกรงเล็บเหยี่ยว พลังปราณห้าสายคมกริบอย่างมาก
วิชากรงเล็บเหยี่ยว!
“เจ้าอารามเพลามือหน่อย”
“ต้องจับเป็นนะ”
มีคนจากด้านหลังเตือนขึ้นมา กลัวว่านักพรตเฒ่าจากอารามเมฆา เคลื่อนจะโมโหสังหารหลี่มู่จนตาย ถึงอย่างไรยังต้องเก็บเอาไว้สอบสวน ด้วย
ส่วนหลี่มู่จะทานได้หรือไม่นั้น?
เป็นไปไม่ได้
ในต่างประเทศก็มีพลังพิเศษที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ แต่พลัง พิเศษเหล่านี้สําหรับคนในยุทธจักรล้วนสู้ไม่ได้แม้แต่น้อย เมื่อครู่เป็น การลอบโจมตี บวกกับคนทั้งหมดดูถูกหลี่มู่ ดังนั้นนักพรตเต๋าหน้าม้าจึง ต้องตายอย่างเอนถอนาถ
หลี่มู่เอ่ยขึ้น “นักพรตเต๋าจากอารามเมฆาเคลื่อน? เจ้ากลุ่มมังกร ทะยานจากเมืองอวี้เหมินเกี่ยวข้องกับพวกแกด้วยสินะ เดิมทีคิดว่าจะ
ไปหาพวกแกถึงที่เสียหน่อย ไม่คิดเลยว่านักพรตอย่างพวกแกจะเข้ามา หาเอง”
ระหว่างที่พูด เขายกมือขึ้น ใช้นิ้วทั้งห้ารับมือวิชากรงเล็บของ นักพรตเต๋าเฒ่า
พริบตาที่ทั้งสองมือปะทะกัน เพียงคว้าเบาๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือน เครื่องเคลือบแตกเป็นชิ้นๆ ดังขึ้น จากนั้นจึงเป็นเสียงกรีดร้องของ นักพรตเต๋าเฒ่า ‘กรงเล็บเหยี่ยว’ ที่สามารถพังอิฐทลายหินได้ ถูกหลี่มู่ บิดจนเละเทะ
“อ๊า มือของข้า มือของข้า….” นักพรตเต๋าเฒ่ากรีดร้องด้วยความ เจ็บปวด
แสงดาบสว่างขึ้นวูบหนึ่ง
นักพรตเต๋าเฒ่าล้มลงกับพื้น
ดาบบินที่ลอยอยู่ข้างกายหลี่มู่ พุ่งทะลุคอหอยของเขาและบิน กลับมา
“เดิมทีไม่คิดจะสังหารใคร น่าเสียดายที่บนโลกมีพวกมารผจญ อย่างพวกแกมากเหลือเกิน ถ้าไม่ละศีลห้ามสังหารสัตว์ตัดชีวิต ก็จัดการ ฝุ่นควันเหล่านี้จนสะอาดไม่ได้”
หลี่มู่สังหารติดกันสองคน สีหน้าเรียบสงบจนเหมือนกับบี้มดทิ้งไป สองตัวอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้เอง เหล่าจอมยุทธจากแต่ละพื้นที่เพิ่งได้ตื่นขึ้นจากฝัน เข้าใจขึ้นมาแล้วว่ามีกองสนับสนุนจากภายนอกเสียที่ไหน พลังวิเศษ ด้านพลังวิญญาณอะไรกัน ชายหนุ่มคนนี้เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดที่น่า กลัวอย่างมากเลยต่างหาก
นักพรตเต๋าเฒ่าเมื่อครู่ ถูกจัดอยู่ในห้าอันดับแรกแห่งอารามเมฆา เคลื่อน ฝีมือการต่อสู้ร้ายกาจอยู่บนจุดสูงสุด วิทยายุทธจะต้องเรียน สามแรง ‘แรงสว่าง’ ‘แรงความมืด’ ‘ขั้นแปรเปลี่ยน’ นักพรตเต๋าเฒ่าได้ ไปถึงจุดสูงสุดของ ‘แรงสว่าง’ แล้ว สามารถฟาดฟันก้อนอิฐ หินผาได้ ด้วยมือเปล่า เมื่อปล่อยออกไปด้วยความโกรธ วิชากรงเล็บเหยี่ยว สามารถแทงทะลุไม้กระดานหน้าสิบเซนติเมตรได้ แต่ว่ามาถูกชายหนุ่ม ที่ชื่อหลี่มู่คนนี้ บีบจนแตกเหมือนดินโคลนอย่างไรอย่างนั้น บีบมือจน เละเทะ…แรงฝ่ามือและนิ้วของชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวถึงขั้นไหนกัน?
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าตาแก่ลวงโลกนั่นจะชุบเลี้ยงลูกเสือที่ร้ายกาจเช่นนี้ ไว้” ชายใส่ชุดถังที่ถามหลี่มู่ไว้เมื่อก่อนหน้า อยู่ในสีหน้ายินดีที่ได้เห็น เหยื่อ เดินเข้ามาหาหลี่มู่เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจางอวิ๋นเฟยจากตระกูลจาง ฉายา ‘กระบี่ลําแสง’ เจ้าเด็กน้อย ข้าจะเล่นกับเจ้าสัก….”
หลี่มู่ฟาดฝ่ามือออกไปตรงๆ เอ่ยขึ้นว่า “แกไม่คู่ควร”
ชายกลางคนชุดถังจางอวิ๋นเฟยหัวเราะร่า “เจ้าเด็กน้อย กําเริบ เสิบสานมากไปก็ไม่ใช่เรื่องดี…อ๊า!”
ตุบ
เขาพูดยังไม่ทันจบ ตนเองก็ยังไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งกระบี่ก็ยังชักออกมาไม่ทัน ที่ต้นคอก็ถูกฝ่ามือฟาดเข้ามา หลบก็ หลบไม่พ้น ดาวลอยเต็มฟ้าสลบลงไปทันที พลัง ‘แรงความมืด’ ที่บรรลุ ขั้นสูงสุดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา นอนนิ่งลงไปไม่ไหวติง
“อะไรน่ะ?”
“นี่มัน…”
คนอื่นๆ ตกตะลึง
‘กระบี่ลําแสง’ จางอวิ๋นเฟยเป็นหนึ่งในมือดี เป็นยอดฝีมือระดับ ‘แรงความมืด’ เลยนะ วิชากระบี่บนเส้นทางยุทธจักรของสามมณฑล แห่งตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ในสามอันดับแรก แต่แค่กระบวนเดียวก็รับ ไม่ได้หรือ?
ปัง
เสียงปืนดังขึ้น
เป็นมือสไนเปอร์จากตระกูลหลี่ที่ซุ่มอยู่ห่างออกไปนั่นเอง เมื่อเห็น สถานการณ์เช่นนี้จึงได้ยิงออกมา พุ่งตรงเข้าที่ขาซ้ายของหลี่มู่
หลี่มู่ยกมือขึ้น คีบเอากระสุนที่พุ่งมากลางอากาศไว้ระหว่างนิ้วชี้ และนิ้วกลาง
พริบตาเดียว ทั้งหมดได้เงียบเป็นเป่าสาก
ถ้าหากบอกว่าที่หลี่มู่ลงไม้ลงมือก่อนหน้า จัดการเอานักพรตหน้า ม้า นักพรตเฒ่าและจางอวิ๋นเฟยไป เป็นพลังที่ยังอยู่ในขอบเขตของ วิทยายุทธล่ะก็ เช่นนั้นฉากนี้ มันได้เกินขอบเขตของวิทยายุทธไปเสีย แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะทําได้เลย
ชายร่างใหญ่ที่สะพายตลับสีดําเอาไว้กลางหลังสีหน้าตกตะลึง
สาวสวยปากแดงร้อนแรงกระโปรงสั้นจากตระกลูหลี่ ในสองตาคู่ งามก็มีความหวาดผวาขีดสุดอย่างปิดไว้ไม่มิด ไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลก นี้จะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย
“เทพเมฆาอัคคี?”
ในกลุ่มบอดี้การ์ดตระกูลหลี่ที่ถือปืนอยู่ห่างๆ ไม่รู้ว่าใคร ส่งเสียง ต�าอย่างตกตะลึงออกมา
คนทั้งหมดล้วนชักไม่แน่ใจ
จริงด้วย ใช้นิ้วคีบกระสุน นี่มันเป็นวิชาที่ราชาปีศาจสังหารคนเทพ เมฆาอัคคีจากในภาพยนตร์ของโจวซิงฉือใช้ (เรื่องคนเล็กหมัดเทวดา)
แต่นั่นเป็นเพียงแค่การจัดฉากอย่างมีศิลปะและเกินจริงของใน ภาพยนตร์เท่านั้นนะ
มิหนําซ�าที่เทพเมฆาอัคคีใช้นิ้วคีบก็เป็นเพียงแค่กระสุนจากปืน สมัยเก่า แต่ที่หลี่มู่คีบอยู่เป็นกระสุนปืนไรเฟิล พลานุภาพต่างกันฟ้ากับ เหว เป็นความแตกต่างเหมือนไม้จิ้มฟันกับมีดสั้น ถ้าหากมีเทพเมฆา อัคคีอยู่จริง พลานุภาพของปืนไรเฟิลนี้ก็เพียงพอที่จะระเบิดสมองของ เขาได้เลยทีเดียว
“แก…แกเป็นใครกันแน่?” ชายหนุ่มผมสั้นสายตาคมกริบคนหนึ่ง จ้องมองที่หลี่มู่ ราวกับตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง สะดุ้งพูดขึ้นว่า “แกเป็นรุ่นหลังของเผ่าเทวะเหล่านั้นหรือ?”
หลี่มู่ยกนิ้วขึ้น กระสุนไรเฟิลที่ถูกคีบไว้พุ่งกลับออกไปแทงทะลุ ศีรษะของมือสังหารที่ซุ่มอยู่
“ตอนนี้พูดได้แล้วสินะ หนึ่งคําถามหนึ่งชีวิต ถ้าตอบมาจนฉัน พอใจ วันนี้ก็สามารถกลับไปอย่างเป็นๆ ได้” หลี่มู่มองไปยังกลุ่มคน
ดาบบินข้างกายเขาเปล่งประกาย ลอยวาดเป็นเส้นโค้ง พุ่งตรงเข้า ฟาดฟันสังหารจางอวิ๋นเฟยที่กําลังดิ้นรน จากนั้นได้เปล่งประกายอีก
ครั้ง ชายหนุ่มผมสั้นที่เปิดปากเมื่อครู่ ได้เอามืออุดคอตนเองล้มลงไป อย่างไร้ซุ่มเสียง
ตอนนี้เอง คนทั้งหมดใจสั่นวาบ
เดิมทีเข้ามาเพื่อตกปลาแท้ๆ ใครจะไปคิดว่าจะตกได้ก๊อตซิลล่ามา ตัวหนึ่ง
“หนี” เงาร่างหนึ่งทะยานขึ้นฟ้าราวกับนกบิน พุ่งตรงไปยังป่าทึบ ด้านหลังวัดหรานเติง เป็นยอดฝีมือจากสํานักชมดารา และเป็นคนที่ แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนี้ อยู่ในระดับขั้นแปรเปลี่ยน ท่าร่างราวกับ สายฟ้า
แต่ทว่าหลี่มู่เพียงแค่ออกท่าหนึ่งกระบวน ร่างเงาที่บินออกไปราว สิบเมตร ก็เหมือนกับว่าวที่ถูกตัดสายป่าน ดิ้นรนสุดชีวิต แต่ก็ยังถูกลาก กลับเข้ามาอยู่ในมือของหลี่มู่
“ไม่ๆๆ ข้าเป็นคนของสํานักชมดารา หนึ่งในเจ็ดสํานักนะ แกจะ สังหารข้าไม่ได้ ไม่เช่นนั้น…” นี่เป็นสตรีอายุราวสี่สิบกว่า หน้าตาก็ดู สะสวยอยู่
หลี่มู่สีหน้าไร้อารมณ์ บีบข้อมือบิดคอของนางหักลงทันที โยนร่าง ลงไปกองอยู่กับศพจางอวิ๋นเฟยเหมือนทิ้งตุ๊กตาผ้าเก่าๆ
“ยิง รีบยิงเร็ว!” “รัวเข้าไปให้ตายเลย” มีคนตะโกนขึ้น ปังๆๆๆ!
เสียงปืนดังสะท้านขึ้นที่ประตูวัดหรานเติงเหมือนพลุแตก “น่าเสียดาย มีคนเลือกผิดอีกแล้ว” หลี่มู่สั่นศีรษะอย่างเสียดาย เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีความคิดที่จะหลบหนี
พริบตานั้นเอง ท่ามกลางปืนกว่าสิบกระบอกที่พ่นไฟแลบออกมา กระสุนที่ไหลทะลักตรงมา เมื่อมาถึงจุดที่ห่างจากหลี่มู่สามเมตร ก็ราว กับเข้าสู่บึงของหอยทากอย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆ หยุดลง และท้ายสุดก็ ค้างแข็งอยู่บนอากาศ หยุดนิ่งสนิทไม่ไหวติง
ฟิ้ วๆๆ!
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กระสุนบินกลับไป รวดเร็วเสียกว่าที่ยิง ออกมาจากปากกระบอก พุ่งทะลุแขนขาของเหล่าบอดี้การ์ดที่ยิงปืนมา เหล่านั้น แต่ไม่ได้ถึงกับช่วงชิงเอาชีวิตของพวกเขาไป
สําหรับคนธรรมดาเหล่านี้ หลี่มู่ก็ไม่ได้อยากจะสังหารให้มาก จนเกินไป
“แก…สัตว์ประหลาด” ขาขาวทั้งคู่ของสาวสวยปากแดงร้อนแรง อ่อนพับลงมา
………………………………………