จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 489 ขุดถ่านหิน
ซินแสเฒ่ามีที่มาอย่างไร หลี่มู่ก็ยังไม่ชัดเจน แต่ว่าไม่เล็กอย่าง แน่นอน ยืนยันไปได้หลายครั้งแล้ว
ปริศนากําลังจะถูกไขกระจ่าง
หลี่มู่เดินผ่านประตูโค้ง ‘จารีตแห่งเซ่าจู่’ มาถึงยังประตูใหญ่วัด หรานเติง
ทั้งหมดยังคงเหมือนเดิม
แต่หลี่มู่สีหน้าเปลี่ยนไป ในใจจู่ๆ เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้น
เพราะรอบๆ ประตูใหญ่วันหรานเติง วัชพืชรกครึ้ม ทางเดินเล็กๆ ที่เกิดจากรอยเหยียบเมื่อห้าปีก่อนหน้าได้ถูกต้นหญ้าปกคลุมขึ้นอีกครั้ง
ประตูใหญ่เปิดแง้มไว้ กรอบประตูด้านบนมีหยากไย่ขึ้น
ผลักประตูใหญ่เข้าไป ในตัวเรือนมีหญ้าขึ้นรก ห้องโอสถด้านข้างก็ อยู่ในสภาพพังไปเสียครึ่ง ห้องทําสมาธิหลายห้องก่อนหน้าที่เอาไว้วาง สิ่งของ ประตูหน้าต่างล้วนผุพัง ผ่านลมผ่านฝนจนเก่าแก่ทรุดโทรม
เสียงจากการที่ประตูถูกหลี่มู่ผลัก ทําเอานกป่าตกใจจนบินหนีหาย ออกไปในท้องฟ้ายามค�าคืน
ในเรือนหลัง ป่าเล็กๆ ที่หลี่มู่มักจะมาฝึก ‘วิชาก่อนกําเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ตอนนี้ได้ทรุดโทรมลงอย่างมาก วัชพืชสูงเท่าเอวคน ขึ้นมาอย่างแน่นขนัด คันดินแปลงผักข้างๆ ก็ไม่เหลือเค้าเดิมไปนาน แล้ว
ห้องครัวที่หลี่มู่มักจะมาทํากับข้าวพังทลายไม่มีชิ้นดี บ่อน�าที่ประตู ก็แห้งขอด
ลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีลอยขึ้นมาในใจ
หลี่มู่ค้นหารอบวัดหรานเติงทั้งหมดอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง แต่ทว่า ก็ไม่เจอร่องรอยของซินแสเฒ่าเลย
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ซินแสเฒ่าจากไปแล้วหรือ?
หลี่มู่ลองค้นหาอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็ยังไม่พบกับร่องรอยใดๆ
เขากระทั่งใช้เนตรสวรรค์ส่องดูรอบด้านสี่ทิศ ก็ยังไม่พบกับ เบาะแสใดๆ ใช้ ‘คาถาเพรียกหา’ เพื่อค้นหาสัมผัสถึงร่องรอยของ ซินแสเฒ่า แต่ว่าก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลย
แปลกมาก ราวกับว่าชายชราถ่อยๆ ในความคิดของหลี่มู่คนนั้น เป็นเพียงแค่ความทรงจําแต่ไม่มีตัวตนจริงๆ
นี่ทําเอาหลี่มู่ผิดหวังอย่างมาก เวลาเดียวกันก็รู้สึกกังวลไปด้วย
ซินแสเฒ่าคงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ?
หลี่มู่กังวลจนพะว้าพะวัง เพียงครู่เดียวก็กระวนกระวายขึ้นมา
ตลอดมา ซินแสเฒ่าเป็นเหมือนเสาเอกในใจของหลี่มู่ ถึงแม้จะไม่ ค่อยได้เรื่องได้ราวและยังทําตัวถ่อยๆ แต่สําหรับหลี่มู่แล้ว เขาก็เป็น เหมือน ‘อาจารย์แห่งการใช้ชีวิต’ อย่างไรอย่างนั้น
หลี่มู่ที่ไม่ยอมเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ในแผ่นดินใหญ่เสินโจว เข้าไป แย่งตําแหน่งผู้นํากับพวกผู้บําเพ็ญนอกพิภพในทางช้างเผือก ไม่ได้ พัฒนาพลังของตนเองให้มากขึ้น ก็เพราะว่า อยากจะกลับมาที่ดาวโลก มาหาซินแสเฒ่าเพื่อแก้ไขปริศนามากมาย
แต่ว่าตอนนี้ วัดหรานเติงกลายเป็นพื้นที่รกร้าง ซินแสเฒ่าก็หายไป ไร้ร่องรอย
หลี่มู่เกิดความรู้สึกเหมือนสูญเสียเสาเอกไปในทันที
มองจากเค้าลางในตัววัดที่รกร้าง เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนมาดูแลที่นี่ อย่างน้อยสองถึงสามปีแล้ว หรือก็คือ สองถึงสามปีก่อนหน้า ซินแสเฒ่า ก็ได้จากที่นี่ไป
หลี่มู่นั่งอยู่ที่ประตูห้องทําสมาธิของซินแสเฒ่าในอดีต อดเหม่อ ลอยขึ้นมาไม่ได้
เขากําลังคิด ว่าซินแสเฒ่าออกจากวัดหรานเติงเพื่อไปยังสถานที่ ไหน หรือว่าได้ออกไปจากโลกใบนี้แล้วกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ถ้าว่ากันตามหลักการ หาก ซินแสเฒ่าจะจากไป ก็ควรจะทิ้งสิ่งของที่จะเป็นเบาะแสการชี้แนะไว้ บ้าง มิเช่นนั้นถ้าตนเองกลับมาหลังจากผ่านไปยี่สิบปี จะไปหาตัวเขาได้ จากที่ไหน?
พูดอีกด้าน ด้วยพลังบําเพ็ญของหลี่มู่ในตอนนี้ ขอแค่บนโลกมีคน เช่นนี้อยู่สักคนหนึ่ง ด้วยวิชา ‘คาถาเพรียกหา’ หรือวิชาหวนอดีต ก็ สามารถที่จะค้นหาร่องรอยเพื่อสืบเสาะไปได้แน่นอน
แต่ทว่า เมื่อไม่มีร่องรอยทิ้งไว้ หลี่มู่ก็ไม่สามารถหาร่องรอยเพื่อ สืบเสาะใดๆ ได้เลย
ราวกับว่ามีผู้ใช้อภินิหาร ใช้วิชาลึกลับที่สูงส่งปิดบังร่องรอย ทั้งหมดเอาไว้
นี่มันยิ่งเหลวไหลไปอีก
หลี่มู่ไม่คิดว่า บนโลกใบนี้จะมีการคงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่าผุ้ใช้ อภินิหารที่แข็งแกร่งกว่าตัวเขาเองอยู่อีก
เขานั่งอยู่ที่ประตูห้องทําสมาธิ ครุ่นคิดถึงหนึ่งคืนเต็ม
เช้าวันใหม่มาถึง แสงตะวันยามเช้าสาดส่องวัดหรานเติง
ในหมู่บ้านด้านล่าง เสียงไก่เสียงสุนัขเริ่มดังขึ้น ช่วงเวลาฤดูใบไม้ ร่วงเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว ในเวลานี้ ถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งของทั้งปีที่ ในหมู่บ้านจะยุ่งมากที่สุด
หลี่มู่เดินออกมาจากในวัด
บนถนนในหมู่บ้าน มีชาวนามากมายที่กําลังเร่งรีบออกไปยังไร่นา เพื่อทําการเก็บเกี่ยว
“ท่านอาจางซาน อาสะใภ้ พวกท่านสองคนยังดูสุขภาพแข็งแรง อยู่เลย” หลี่มู่มองคนคุ้นเคยเหมือนห้าปีก่อน หัวเราะและทักทายขึ้น
“หนุ่มน้อย เธอคือ…เอ๋ หน้าตาคล้ายเสี่ยวมู่เลย คงไม่ใช่เสี่ยวมู่ตัว จริงหรอกนะ?” อาจางซานมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุด ระหว่างคิ้วก็นึกขึ้นออก เด็กหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าคนนี้ ก็ คือหลี่มู่คนนั้นเมื่อห้าปีก่อน
อาจางซานเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวมู่ เธอหนีออกมาจาก ในเขาลึกได้แล้วหรือ?”
“อะไรนะ?” หลี่มู่งงไปทันที
อะไรคือหนีออกมาจากเขาลึก?
อาสะใภ้บอกต่อ “ห้าปีก่อน เธอหายตัวไป อาจารย์หลี่บอกว่าถูก พวกพ่อค้าลวงไปขายเป็นคนขุดถ่านหินในภูเขาไปแล้ว…”
หลี่มู่ “…”
ซินแสเฒ่านี่สมแล้วที่เป็นพวกประสาท กระทั่งคําโกหกแบบนี้ก็ยัง พูดออกมาได้
“จริงๆ แล้วผมแค่ถูกปู่ส่งไปเรียนที่ด้านนอกเท่านั้น ปีนี้พึ่งจะจบ การศึกษา ดังนั้นจึงรีบกลับมา” หลี่มู่ทําได้เพียงกลบเกลื่อนคําโกหกไป “เป็นโรงเรียนทหารแห่งหนึ่ง อยู่ในระบบปิดทั้งหมด ไม่ให้พก โทรศัพท์มือถือกับเขียนจดหมาย ดังนั้นห้าปีมานี้จึงไม่ได้กลับมาเลย”
“อย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นก็ดีแล้ว ตอนนั้นพวกเราได้ยินอาจารย์หลี่ บอกว่าเธอถูกหลอกไปขายก็กังวลกันเป็นอย่างมาก ยังรวมตัวกันไป แจ้งความด้วย แต่สุดท้ายก็ตรวจสอบอะไรไม่ได้ ต่อมาอาจารย์หลี่ก็หาย
ตัวไปอีก พวกเราคิดว่าเขาออกเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อหาตัวเธอเสีย แล้ว” อาจางซานถอนใจโล่งออกมา
ตอนนี้เอง ชาวนาที่สัญจรไปมาเริ่มมากขึ้น และล้วนจําหลี่มู่ได้ ทั้งหมด
“เสี่ยวมู่ ในที่สุดเธอก็หนีออกมาได้แล้ว”
“ถูกหลอกขายไปขุดถ่านหินที่ภูเขาไหนกันล่ะ?”
“หนีออกมาอย่างไรกัน?”
“อาจารย์หลี่ไปพบตัวเธอเข้าหรือ?”
เหล่าชาวนาในหมู่บ้านที่ซื่อสัตย์จิตใจดี กังวลต่อหลี่มู่อย่างมาก ทยอยกันเข้ามาสอบถามให้วุ่นวาย
“ต้องแจ้งตํารวจ จับเจ้าพวกพ่อค้าพวกนั้นเอาไปประหารเสีย”
“ใช่ๆ กฎหมายบ้านเมืองตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว ค้ามนุษย์กับค้ายา เหมือนกัน จับได้คือโทษประหาร”
ลุงป้าหลายคนเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์เดือดดาลแห่งความยุติธรรม
หลี่มู่จึงทําได้เพียงอธิบายออกไปอย่างเสียมิได้อีกรอบหนึ่ง ผู้คนจึง ค่อยๆ กระจ่างขึ้นมา
“นี่ก็ดูสอดคล้องกับลักษณะเอาชีวิตมาเล่นเป็นเกมของอาจารย์หลี่ อยู่นะ เขามักจะทําตัวเกินคาดการณ์เสมอ” คนที่พูดขึ้นมาคือคุณปู่จาง ชายชราคนหนึ่งในหมู่บ้าน พยักหน้าเอ่ยต่อ “เป็นลักษณะของเทพ เซียนจากนอกโลกจริงๆ”
หลี่มู่พูดไม่ออกไปเลย
สถานการณ์อะไรกันนี่ พูดโกหกจนหลอกคนไปแจ้งความแล้ว แต่ผู้ เฒ่าคนนี้ยังใช้คําว่า ‘ลักษณะของเทพเซียนจากนอกโลก’ ออกมาอีก หรือ สมองกลวงจนคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย
“ถ้าเป็นตามนี้ ปู่ของผมออกไปจากวัดหรานเติงด้วยตนเองหรือ?” หลี่มู่ถามขึ้นมาอีก
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้น บรรดาคนจากบ้านใกล้เรือนเคียงเมื่อ เห็นหลี่มู่ ก็รีบร้อนเข้ามาหาด้วยความรักใคร่สนิทสนม นั่งลงข้างถนน เพื่อพูดคุยกับหลี่มู่
“มีช่วงหนึ่ง อาจารย์หลี่เข้ามาบอกว่าจะออกไปอยู่บ่อยครั้ง โลก กว้างใหญ่เสียขนาดนี้ เขาอยากจะออกไปดู พร�ารําพันอยู่พักหนึ่ง ยิ่งไป กว่านั้นยังดูเหมือนมีเรื่องหนักหนาในใจ ข้าจําได้ว่าหลังจากที่ทํา พิธีกรรมให้กับหลิวเหล่าเอ้อร์ วันต่อมาเขาก็หายไป” คุณปู่จางสมอง กลวงจําได้ขึ้นมา
“หายไป? ไม่มีใครเห็นเขาออกไปหรือ?” หลี่มู่ถามขึ้น
คุณปู่อีกคนหนึ่งเอ่ยต่อ “ใช่ วันต่อมาอาจารย์หลี่ก็หายไป ข้าจําได้ แม่นเลย วันนั้น ‘แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรบุญวาสนา’ ทางเหนือยังส่ง คนมาเชิญอาจารย์หลี่ให้ไปเป็นพิธีกรเปิดกิจการอยู่เลย นัดแนะกันไว้ ดิบดี คืนก่อนถึงวันงานยังโทรศัพท์เข้ามาหา แต่พอไปถึงในวัด อาจารย์หลี่ก็หายไปเสียแล้ว”
“เฮ้อ นี่ถือเป็นความเสียหายใหญ่หลวงของหมู่บ้านวัดหลานเติง ของพวกเราเลย ช่วงปีที่อาจารย์หลี่ยังอยู่นั้น การงานในหมู่บ้านก็ ราบรื่นไปเสียหมด คงเป็นเพราะอาจารย์หลี่ใช้พิธีกรรมปกป้องพวกเรา ไว้” คุณปู่จางสมองกลวงเอ่ยขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ
“เช่นนั้น…หลังจากที่ปู่ของผมออกไป ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยหรือ? มีใครเคยได้ยินว่าเขาไปปรากฏตัวที่ไหนบ้างไหม?” หลี่มู่ยังคงถาม อย่างไม่ปล่อยวาง
“ไม่เห็นอีกเลย” ชาวบ้านคนหนึ่งเสริมขึ้นมา “ตอนแรก พวกเรา คิดว่าอาจารย์จะออกไปเดินเล่นแล้วก็กลับมา ยังมีกําหนดเวรส่งคนเข้า ไปทําความสะอาดด้านในวัดหรานเติงด้วย แบกน�ากวาดพื้นอะไรพวกนี้ ทว่าต่อมาในวัดกลับมีผีอาละวาด เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น ติดต่อกัน จนทุกคนกลัวไม่กล้าเข้าไปแล้ว วัดจึงได้รกร้างเช่นนี้”
“ผีอาละวาด?” หลี่มู่ตกตะลึง เริ่มทําการคาดเดา
“ใช่แล้ว มีคนเข้าไปทําความสะอาด มองเห็นเงาผีหลายตนแวบไป มา แล้วยังมาหายใจเย็นรดต้นคออีกด้วย พึมพําภาษาผี พอกลับมาก็ ป่วยหนักเลย และยังมีคนถูกงูพิษด้านในนั้นกัดจนแทบจะเอาชีวิตไม่ รอด มีคนเห็นว่าตอนกลางคืนมีผู้หญิงชุดแดงลอยไปมาในวัดอีกด้วย ไม่มีเท้า….”
“ข้าเห็นผีทะเลาะกันในนั้นกับตา บนพื้นดินมีรอยเลือดกองใหญ่ ปรากฏขึ้น นกป่าด้านในตายเรียบหมดเลย ร่วงกองกันอยู่บนพื้น”
“จางต้าเซียนจากหมู่บ้านข้างๆ เข้ามาดู ก็บอกว่าด้านในวัดหราน เติงมีผีสางอาละวาด ก่อนหน้านี้ที่อาจารย์หลี่ยังอยู่สามารถสะกดเอาไว้ ได้ พอหลังจากอาจารย์หลี่ออกไป จึงสะกดต่อไปไม่ได้…”
“สองปีก่อนที่อาจารย์หลี่เพิ่งออกไป ได้มีพวกบริษัทใหญ่นอก พื้นที่ เถ้าแก่ใหญ่ที่ร�ารวย ขับรถหรูพาบอดี้การ์ดใส่แว่นดําสูทดําเข้ามา จุดธูปบูชาในวัดหรานเติง และยังมาหาข้อมูลของอาจารย์หลี่จากใน หมู่บ้านอีกด้วย ต่อมาก็ค่อยๆ หายไป”
เหล่าชาวบ้านต่างคนต่างแสดงความเห็น
หลี่มู่ฟังๆ แล้ว ก็ค่อยๆ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
ซินแสเฒ่าเหมือนกับออกจากวัดหรานเติงด้วยตนเอง กําลัง หลีกเลี่ยงอะไรบางอย่าง แล้วสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่าผี ก็น่าจะเป็นคน จากยุทธจักร หรืออาจจะมีคนจงใจแกล้งหลอกเป็นผี…ถึงอย่างไรวัด หรานเติงเหมือนจะถูกคนบางกลุ่มให้ความสนใจอยู่
การคาดเดาเช่นนี้ ทําให้หลี่มู่สงบใจลงได้บ้าง
ซินแสเฒ่าถึงแม้จะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว แต่ว่ากลับหวงแหนชีวิต อย่างมาก กะล่อนปลิ้นปล้อน คนปกติทั่วไปทําอะไรเขาไม่ได้ ยิ่งไปกว่า นั้นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อมา คนที่มาไล่หาตัวเขาก็ดูเหมือนจะหาตัวเขาไม่ เจอเหมือนกัน
“เสี่ยวมู่ เธอเรียนอยู่ที่โรงเรียน ไม่ได้ติดต่อกับคุณปู่เลยหรือ?” คุณปู่จางสมองกลวงถามขึ้น
หลี่มู่ทําได้เพียงกลบเกลื่อนต่อไป สั่นศีรษะ “ค่าเล่าเรียนทุกปีล้วน โอนเข้าไปในบัตร ผมก็ไม่ได้พบคุณปู่มาตลอดเหมือนกัน ปีนี้พึ่งจะ เรียนจบจึงกลับมาหาเขา ยังเข้าใจว่าเขายังอยู่ในวันหรานเติงนี้”
คุณปู่จางเอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนเหลือคนา “อาจารย์หลี่เป็นเซียน จริงๆ ล่ะนะ เทพมังกรที่เห็นแต่ศีรษะไม่เห็นหาง ผู้ที่เอาชีวิตมาเล่นเป็น เกม ผู้ที่ไม่จริงจังต่อเรื่องราวใดๆ….หวังว่าในชีวิตนี้ข้าจะยังมีโอกาสได้ เจอเขาอีก”
“เสี่ยวมู่ แล้วเธอวางแผนจะทําอย่างไรต่อไป?” อาจางซานถาม ขึ้น
หลี่มู่คิดอยู่ครู่ ตอบมาว่า “ผมจะพักอยู่ที่วัดหรานเติงชั่วคราว เก็บ กวาดเสียหน่อย รอคุณปู่กลับมา จะออกไปตะลอนข้างนอกไม่ได้แล้ว เผื่อคุณปู่กลับมาแล้วไม่เจอผมจะทําอย่างไร?”
“แต่ว่าในวัดนี้มีผีนะ ไม่สะอาดด้วย” อาสะใภ้เอ่ยขึ้นอย่างกังวล “เอาเป็นว่าเสี่ยวมู่มานอนที่บ้านอาดีไหม?”
หลี่มู่ยิ้มตอบเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร ท่านอา ตอนนั้นผมได้เรียนวิธีจับผี จากคุณปู่มาบางส่วน ไม่ต้องกลัว ต่อให้จับไม่ได้ วิธีป้องกันก็ยังมี ไม่เกิด เรื่องแน่นอน แต่ว่าคุณลุงคุณป้าคุณปู่คุณย่าทั้งหลาย ผมมีเรื่องจะ รบกวนให้ช่วยสักหนึ่งเรื่อง”
“ว่ามาสิ เสี่ยวมู่ คนกันเองทั้งนั้น”
“ใช่ๆ ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราคนบ้านเดียวกัน”
“เธอตอนนั้นที่ยังอยู่ในหมู่บ้าน ก็ช่วยเหลือพวกเราไว้ตั้งเยอะ หน้า หนาวทุกปียังช่วยเชือดหมูให้ฟรีๆ อยู่เลย….”
ทุกคนล้วนมีมิตรไมตรี
หลี่มู่ยิ้มตอบว่า “รบกวนทุกท่านช่วยผมประกาศออกไปยังคนบ้าน ใกล้เรือนเคียงในรัศมีสิบลี้นี้ บอกว่าหลานของอาจารย์หลี่กลับมาแล้ว คิดจะเริ่มต้นอาชีพเก่าอีกครั้ง และต้องการจะประคองป้ายของ อาจารย์หลี่เอาไว้ต่อ หากต้องการทําพิธีกรรมหรือจับผีอะไรก็แล้วแต่ สามารถมาหาผมได้ นับตั้งแต่วันนี้ผมจะอยู่ในวัดหรานเติงแห่งนี้”
“อะไรนะ? เธอจะจับผี?”
“เรื่องนี้มันไม่ง่ายเลยนะ”
“งานนี้ไม่เหมาะกับคนหนุ่มสาวเลย”
ผู้คนเตือนหลี่มู่ขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าหลี่มู่ตัดสินใจแล้วจึงไม่พูดอะไร ต่ออีก
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน กลุ่มคนแข็งแรงในหมู่บ้านมายังวัดหรานเติง ด้วยความกล้าภายใต้การนําของคนชรา เพื่อช่วยหลี่มู่ซ่อมแซมห้องหับ อาคารที่ผุพัง ขุดบ่อน�าขึ้นใหม่ และได้ส่งฟืนไฟกับเครื่องนอนบางส่วน มาให้ ช่วยเหลือหลี่มู่เก็บกวาดสถานที่
“ขอบคุณทุกท่านมาก” หลี่มู่ซาบซึ้งจากใจจริง
ห้าปีผ่านไปแล้ว เพื่อนบ้านเหล่านี้ยังคงซื่อสัตย์มีน�าใจ ยังจําเขาได้ ทําเอาเขารู้สึกถึงการได้กลับมาอยู่ที่บ้าน
……………………………………