ตอนที่ 2: เยว่ซิน
บทที่ 2 – เยว่ซิน
ในสำนักอันยิ่งใหญ่ห่างไกลจากสำนักเพลิงมรกตเป็นล้นพ้น.. ไม่มีใครสามารถระบุได้ชัดว่ามันห่างไกลเพียงไหน
นี่คือหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ที่ในอดีตกาลเคยเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพ.. และมีการก่อกบฏกันเกิดขึ้นจนทำให้สำนักแยกออกเป็นสี่สำนักใหญ่
และนี่คือหนึ่งในสี่สำนักดังกล่าว.. ในห้องพักผ่อนแห่งหนึ่งที่นอกหน้าต่างมีสระสวรรค์ที่มีกลิ่นอายความบริสุทธิ์ของปราณวิญญาณอย่างมาก
ภายใต้สระสวรรค์เหล่านี้มีสายแร่วิญญาณระดับสูงซึ่งไม่มีพิษร้ายเจอปนอยู่ ขอเพียงอยู่รอบๆ สระสวรรค์เหล่านี้ปราณสามารถไหลเวียนได้ราวกับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง..
ที่ริมหน้าต่างมีหญิงสาวนางหนึ่งสวมชุดสีขาวพราวเสน่ห์หา เพราะวันนี้ต้องไปเข้าร่วมงานทางการทูตบางอย่าง
ไหล่ทั้งสองข้างที่เปิดอยู่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมสีขาวสะอาดตา ผมสีฟ้ายาวสลวยของเธอถูกมัดรวบขึ้นเป็นทรงหางม้า
ดวงตาสีแดงของเธอสุกสกาวราวกับทับทิมราคาสูง.. หูสองข้างของเธอยาวกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปอยู่มาก
นางมีนามว่า ‘เยว่ซิน’
หนึ่งในศิษย์ผู้ที่สำคัญที่สุดในสำนักแห่งนี้..
ลืมบอกไปสินะ สำนักนี้มีชื่อว่าสำนัก ‘เทพฟ้าไพศาล’ เป็นสำนักหลักของสามสำนักที่เหลือเลยก็ว่าได้
จะพูดให้ถูกคือสำนักเทพฟ้าไพศาลในตอนที่สำนักใหญ่ยังไม่แยกออกเป็นสี่ส่วน.. สำนักนี้ก็เป็นเหมือนผู้นำสำนัก
ว่าง่ายๆ คือเป็นสำนักที่ขึ้นตรงกับชายผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพนั่นแหละ เพราะสามสำนักที่เหลือทรยศก่อกบฏต่อสำนักเทพฟ้าไพศาลนั่นเอง
และ.. เยว่ซิน คือบุตรสาวเพียงคนเดียวของผู้นำสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดหลังจากที่บิดาเธอหายตัวไป เธอก็เป็นเหมือนกับผู้นำสำนักไปแล้วครึ่งหนึ่ง
น่าเสียดายที่บิดานางรักนางมาก เขาไม่ต้องการให้บุตรสาวตนเองแข็งแกร่งหรือเป็นที่จับตามอง เขาปกปิดพรสวรรค์ของบุตรสาว
และไม่ให้เธอฝึกลมปราณเลยแม้แต่นิดเดียวนั่นเอง.. แต่เพราะมีการก่อกบฏเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนทำให้บิดาของเยว่ซินหายตัวไป
เธอจึงต้องถูกบังคับให้ฝึกปรือ.. แต่เสียงก็แตกออกเป็นสองส่วนภายในสำนักเทพฟ้าไพศาลว่า.. เยว่ซินไม่ควรฝึกตนตามที่บิดานางต้องการ
เพราะหากเขากลับมารู้ว่าบุตรสาวตนเองฝึกตน คงโกรธเป็นแน่..
แต่อีกฝ่ายก็บอกว่าเยว่ซินควรฝึก เพราะเธอต้องขึ้นเป็นผู้นำสำนักคนต่อไป หากคนอ่อนแอขึ้นเป็นผู้นำสำนักใครจะมาฟังกันล่ะ?
ภายใต้ความกดดันเช่นนั้นมาหลายปีพอ เยว่ซิน อายุครบสิบแปดปีหรือเมื่อสองปีก่อนเธอตัดสินใจที่จะฝึกปรือลมปราณ
แน่นอนทั้งมีทรัพยากรและการดูแลอย่างดิบดีพร้อมทั้งพรสวรรค์ทำให้ภายในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาเยว่ซินนั้นแข็งแกร่งราวกับคนละคน
ตอนนี้เธออายุยี่สิบปีแล้ว.. แต่เพราะเธอเริ่มฝึกลมปราณก็หมายความว่าถูกนับว่าเป็นภัยคุกคามต่อสำนักอื่นด้วย
หากบุตรสาวของชายคนนั้นขึ้นเป็นผู้นำสำนักเทพฟ้าไพศาลละก็ มีแต่เสียกับเสีย แม้จะไม่ทราบว่าใครเป็นคนออกคำสั่ง
แต่เมื่อหลายสิบวันก่อน เยว่ซิน ถูกลักพาตัวโดยกลุ่มคนชุดดำ ที่ไม่ทราบว่ามาจากไหนนั่นเอง การที่เธอต้องปรากฏตัวในงานทางการทูตครั้งนี้
เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าสามสำนักที่เหลือจะแสดงสีหน้าแบบไหน..เพราะยังไงซะเยว่ซินก็พึ่งถูกช่วยกลับมาไม่นานนี้
คนที่ถูกใช้ให้ไปลักพาตัวตายจนหมด ข่าวไม่มีทางส่งกลับมาถึงทันแน่..เพราะจากคำบอกเล่าของเยว่ซินเธอถูกลักพาตัวไปยังสถานที่ที่ไกลมากๆ
แม้แต่เธอก็ไม่รู้จัก หากไม่เพราะมีของวิเศษที่ใช้เคลื่อนย้ายข้ามมิติกลับมายังสำนักที่บิดาเคยมอบให้เธอก็คงกลับมาไม่ถูก
แถมหากไม่ใช่เพราะมีคนโผล่มาช่วย.. แม้เหล่าผู้อาวุโสจะสงสัยว่าคนที่โผล่มาช่วยคือใครก็ตาม แต่ก่อนอื่นพวกเขาต้องหาตัวคนร้ายก่อน
เยว่ซินที่คิดถึงเรื่องของผู้อาวุโสพูดเธอก็ถอนหายใจออกมา พร้อมกับบ่นเบาๆ
“สิ่งที่ควรทำก่อนคือการตามหาผู้มีพระคุณไม่ใช่หรือไง?”
เธอกล่าวพลางมองอุปกรณ์บางอย่างในมือ… ในมือของเธอมีของอยู่สองชิ้น ชิ้นแรกเป็นอุปกรณ์แปลกประหลาดลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ
ทำจากแร่พิเศษที่ไม่ได้แข็งแกร่งทนทานขนาดนั้น รอบๆ อุปกรณ์ชิ้นนี้แปะติดไว้ด้วยลวดลายแปลกประหลาดดูเป็นอุปกรณ์ล้ำสมัยไม่น้อยเลย
“เจ้านี่มันอะไรกันนะ.. ข้ายังไม่ได้ถามเขาเลย..”
เธอพึมพำเบาๆ .. ดวงตาเผยการย้อนอดีต.. ตอนที่เธอถูกลักพาตัวไปเธอพยายามจะใช้ศิลาเคลื่อนย้ายแต่ก็ถูกหยุดไว้
แต่คนที่มาช่วยเธอเอาไว้คือชายคนหนึ่งไม่ทราบนาม.. เขาโจมตีใส่บุคคลที่แข็งแกร่งอย่างง่ายดาย.. เหมือนไม่ตั้งใจจะฆ่าถึงตาย
แต่ถึงแบบนั้นคนที่ลักพาตัวเธอก็สิ้นใจในการโจมตีเพียงหนึ่งครั้ง..ตอนนั้นเพราะความกลัวต่อฉากตรงหน้าจนเผลอใช้งานศิลาเคลื่อนย้ายข้ามมิติมา
แม้ก่อนที่จะข้ามมิติมายังพอมีเวลาพูดคุย เขาคนนั้นเหมือนจะรู้ว่าเธอกำลังจะหายไป เขาเลยยื่นของชิ้นนี้มาใส่มือเธอให้พร้อมกับพูดว่า
“ไม่ต้องแปลกใจแม่นาง.. สาเหตุที่เจ้าพวกนี้กลายเป็นแบบนี้เพราะไม่มีของเหล่านี้เหมือนข้านั่นแหล—”
ก่อนที่ทันได้ถามชื่อเธอก็หายไปก่อน.. พร้อมกับอุปกรณ์สองชิ้น.. ชิ้นแรกพึ่งกล่าวไป ชิ้นที่สองคือตะเกียบคู่หนึ่ง..
“แต่นี่ดูยังไงก็เป็นตะเกียบไม่ใช่เหรอ..?”
เยว่ซินกล่าวพลางเอียงคอด้วยความสับสนเล็กน้อย.. แต่ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงกล่าวขึ้นจากด้านนอกประตูอย่างนอบน้อม
“ผู้นำเยว่.. ถึงเวลาแล้วค่ะ”
เยว่ซินที่โดนเรียกว่าผู้นำก็ตงิดใจเล็กน้อย เธอเก็บตะเกียบกับอุปกรณ์ประหลาดบางอย่างไว้ใต้โต๊ะทำงานแล้วก็สวมสร้อยคอบางอย่าง
หูที่ยาวของเธอก็หายไปกลายเป็นหูที่สั้นเหมือนคนธรรมดา.. เธอก้าวเท้าเดินออกไปนอกห้องมีคนรับใช้ยืนก้มหัวนอบน้อมเยว่ซินอยู่สี่ห้าคน
“งดงามมากค่ะ ผู้นำเยว่”
หัวหน้าคนรับใช้ที่เป็นคนเรียกเยว่ซินเมื่อสักครู่กล่าวชม เยว่ซินพยักหน้าให้เธอ.. หัวหน้าคนรับใช้นางนี้ก็สวยมากคนหนึ่ง
แม้จะไม่อาจเทียบเคียงเยว่ซิน แต่หากไปอยู่ในเมืองไหนสักเมืองเธอคงกลายเป็นสตรีที่งดงามที่สุดไปโดยปริยาย
เธอคือพี่เลี้ยงของเยว่ซิน มีนามว่า หลิงอี้.. สำหรับเยว่ซินกับหลิงอี้แล้ว เยว่ซินนับถือเธอเหมือนมารดา
แต่เยว่ซินรู้ว่าตัวเองในยามนี้มีศักดิ์ฐานะเป็นอะไร หากแสดงความสนิมชิดเชื้อมากจนเกินไปจะทำให้หลิงอี้ตกที่นั่งลำบากเสียเปล่า
“เยว่ซิน.. เจ้างดงามมากเลย”
ในตอนที่กำลังเดินไปเข้าร่วมงานเลี้ยงนั้นเอง ก็ดันไปเจอกับผู้เฒ่าคนหนึ่งพอเขามองเห็นเยว่ซินเขาก็ยิ้มอ่อนโยนออกมาพร้อมกับทักด้วยรอยยิ้ม
“ท่านปู่ไห่! ท่านเองก็ดูหนุ่มมาก!”
สำหรับผู้อาวุโสตรงหน้า เยว่ซินไม่ได้สำรวมอะไรขนาดนั้นเธอวิ่งไปกอดเขาอย่างอ่อนโยน ผู้อาวุโสท่านนี้มีชื่อว่า
จางไห่ เป็นเหมือนปู่แท้ๆ ของเยว่ซินแถมยังมีศักดิ์ฐานะเป็นผู้อาวุโสสูงสุด ว่าง่ายๆ เขาก็คือคนที่มีฐานะสูงสุดในสำนักยามนี้เพราะยังไม่มีผู้นำนั่นแหละ
กล่าวคือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวว่าจะทำให้จางไห่ตกที่นั่งลำบาก กลับกันมันจะทำให้เธอดูไม่ดีเองซะมากกว่า
แต่เยว่ซินไยจะสนเรื่องพรรค์นั้นกันล่ะ.. จางไห่เคาะหัวเยว่ซินเบาๆ
“เดี๋ยวเถอะ ข้าบอกให้เจ้าเรียกว่าผู้อาวุโสจางต่อหน้าคนอื่นไม่ใช่หรือไง”
“อ่า ข้าเจ็บนะ!”
เยว่ซินผละออกมาจากจางไห่พร้อมกับหน้าดูแย่เล็กน้อย พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเดินไปด้วยกัน จางไห่ไล่คนรับใช้กลับไปทำงาน
เพราะเขาจะเดินไปพร้อมกับเยว่ซินเอง พอเหลือแค่สองต่อสองเยว่ซินชิงพูดขึ้นมาทันที..
“ท่านปู่ ท่านเจอคนที่ช่วยข้าไว้แล้วหรือยัง?”
จางไห่รู้สิ่งที่เยว่ซินต้องการ เขาส่ายหน้าตอบเยว่ซินพร้อมกับกล่าว
“ไม่เลย.. จากคำบอกเล่าของเจ้าตบะของพวกมันน่าจะอยู่ระดับย่างเทพกันทุกคน เพราะสามารถลักลอบเข้ามาในสำนักเราตอนเผลอแบบนี้ได้”
“และถ้าหากเป็นแบบนั้นคนที่ช่วยเจ้า อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับกำเนิดเซียนไปแล้วนะ.. ซึ่งคนแบบนั้นในยุทธภพนี้มีไม่กี่คนหรอก”
“แต่ถึงแบบนั้นก็หาเขาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย..”
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ตาฝาดไปเองว่ามีคนมาช่วย จริงๆ เจ้าแค่ใช้ศิลาเคลื่อนย้ายหนีได้ทันเองต่างหาก”
จางไห่กล่าวแบบนั้น เยว่ซินก็ตอบกลับด้วยความโมโห
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะ!ถ้าท่านว่ามาเป็นความจริงเจ้าพวกย่างเทพนั่นมันฆ่าข้าได้เป็นหมื่นรอบในพริบตา ข้าจะหนีมาได้ไงถ้าไม่มีคนช่วย!”
ใช่.. ตามที่เยว่ซินกล่าวมา.. เป็นเช่นนั้นเลยแต่ตัวตนที่แข็งแกร่งระดับกำเนิดเซียนจะมีใครเพิ่มขึ้นมาอีก?
ในยุคแบบนี้น่ะนะ? เป็นไปไม่ได้หรอก..
“อีกอย่าง…”
เยว่ซินกำลังจะพูดว่าตัวเองได้ของมาจากคนคนนั้นด้วยก็รีบเอามือปิดปาก.. หากพูดออกไปมีหวังโดนยึดแน่ จางไห่หันมาหาเยว่ซินเพื่อถามคำถาม
“อีกอย่างอะไร?”
เยว่ซินส่ายหน้าตอบ
“เปล่า! ไม่มีอะไร รีบไปเถอะ!”
จางไห่มองหน้าเยว่ซินที่ดูร้อนรนเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้ถามต่อ เขาแค่พยักหน้าและพาเยว่ซินเข้าไปร่วมงานต่อ…
Chapters
Comments
- ตอนที่ บทนำ มีนาคม 29, 2022
- ตอนที่ 3: ศึกกระชับมิตรมรกต เมษายน 1, 2022
- ตอนที่ 2: เยว่ซิน มีนาคม 30, 2022
- ตอนที่ 1: ป๋ายเฉิน มีนาคม 29, 2022
MANGA DISCUSSION