จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 935 เจ้ากลัวจะแพ้ข้าใช่ไหม
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 935 เจ้ากลัวจะแพ้ข้าใช่ไหม
“อย่าพูดเหลวไหล ลูกชายของโม่ฉือหานไม่สบายมาหาข้า ข้าช่วยรักษาลูกชายของเขาและให้ยาไป นี่คือค่ารักษาที่เขาให้มา” หยุนถิงอธิบายทันที
หยุนเสี่ยวลิ่วถึงได้วางใจลง “ถือว่าเขายังรู้จักส่งเงินมา ถ้าหากไม่ให้ ข้าตามไปที่จวนหลีอ๋องก็ต้องขอกลับมาให้ได้”
นิสัยของหยุนเสี่ยวลิ่วทุกคนต่างก็รู้กันดี เรื่องแบบนี้เขาสามารถทำมันได้จริงๆ
“วันนี้ หลีอ๋องขอโทษข้าแล้ว” หยุนถิงคิดทบทวน สุดท้ายก็พูดมันออกมา
“ขอโทษ ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม สมองของเขาถูกลาถีบจนโง่แล้วหรือ?” หยุนเสี่ยวลิ่วถามด้วยความตกตะลึง
“เขาขอโทษพี่หญิงใหญ่ของเจ้าจริงๆ ข้าได้ยินแล้ว” จวินหย่วนโยวกล่าวอย่างราบเรียบ
มือที่ถือตะเกียบของโม่เหลิ่งเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กินเนื้อต่อไป
“เพราะอะไร?” หยุนเสี่ยวลิ่วคิดไม่ตกจริงๆ
“รู้สึกเสียใจภายหลังแน่นอน เห็นพี่หญิงใหญ่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ พี่เขยซื่อจื่อโปรดปรานพี่หญิงใหญ่ขนาดนี้ โม่ฉือหานอิจฉาริษยาแล้ว” หยุนหลีกล่าวออกมาโดยสัญชาตญาณ
เสวี่ยเชียนโฉวหยิบตะเกียบขึ้นมา พุ่งความสนใจไปที่การคีบอาหารให้หยุนหลีเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรเลย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของคนอื่น
“บางทีอาจเป็นเพราะมีลูกแล้ว ดังนั้นนิสัยของโม่ฉือหานก็เลยเปลี่ยนไปเล็กน้อย” ซูชิงโยวเอ่ยปาก หลังจากที่มีลูกแล้วนางมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
“ลูกชายคนหนึ่งก็สามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป ถ้าหากมีลูกหลายๆคน จะไม่กลายเป็นไอ้ขี้ขลาดหรอกหรือ” หยุนเสี่ยวลิ่วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ทุกคนรู้สึกขบขันไปกับเขาทันที เจ้าหมอนี่ช่างพูดจาไม่ละเว้นใครจริงๆ
“ในเมื่อโม่ฉือหานขอโทษถิงเอ๋อร์แล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ต่อไปก็ไม่ต้องเอ่ยถึงมันอีก ถิงเอ๋อร์โชคดีที่ได้พบกับจวินซื่อจื่อ วันหน้าทั้งครอบครัวอยู่กันอย่างปรองดองและสวยงามมีความสุข ดีจริงๆ!” หยุนเฉิงเซี่ยงทอดถอนใจ
“ท่านพ่อกล่าวถูกต้องแล้ว จวินซื่อจื่อกับถิงเอ๋อร์เป็นคู่ที่สวรรค์สรรค์สร้าง นี่ต่างหากที่เป็นครอบครัวของเรา!” หยุนไห่เทียนกล่าวด้วยความปลื้มใจ
ทั้งครอบครัวกิน ดื่ม พูดคุย หัวเราะกันรอบโต๊ะใหญ่ อบอุ่นอย่างยิ่ง
หลังมื้ออาหาร หยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่ออยู่ที่จวนซื่อจื่อต่อ หาได้ยากที่จะได้พบกับพี่หญิงใหญ่ หยุนเฉิงเซี่ยงย่อมเห็นด้วยอยู่แล้ว
“พี่หญิงใหญ่ ช่วงนี้เราเพิ่งจะเรียนวิชาหมัดชุดใหม่ แสดงให้ท่านดู” หยุนเสี่ยวลิ่วกล่าวขึ้นมาทันที
“ให้ข้าดูสิว่าความสามารถของพวกเจ้าพัฒนาขึ้นหรือไม่” หยุนถิงตอบด้วยรอยยิ้ม
จวินหย่วนโยวหยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้กับหยุนถิงอย่างเอาใจใส่ “ดึกแล้ว ระวังเป็นหวัด”
“ขอบคุณท่านพี่”
จากนั้นหยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่อก็เริ่มทำท่าทำทางขึ้นมา จวินเสี่ยวเทียนกับจวินเสี่ยวเหยียนอยู่ด้านข้างมองด้วยความดีใจอย่างยิ่ง เด็กน้อยสองคนปรบมือกันตลอด “น้าเล็กเก่งมาก น้าชายทั้งสองเก่งทั้งคู่เลย”
เสี่ยวอันจื่อกับหยุนเสี่ยวลิ่วอายุไล่เลี่ยกัน ทั้งสองคนตัวติดกันเป็นเงาตามตัว พวกเด็กๆย่อมเรียกเสี่ยวอันจื่อว่าน้าชายเป็นธรรมดา
“ไม่เลว ก้าวหน้ากว่าเมื่อก่อนมากนัก กระบวนท่าดุดัน แรงกำลังก็ใช้ได้ พวกเจ้าสองคนทำให้ข้ารู้สึกภาคภูมิใจมาก” หยุนถิงกล่าวด้วยความปลื้มใจ
หยุนเสี่ยวลิ่วที่ได้รับคำชมได้ใจอย่างมาก “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
“ท่านพ่อข้าง่วงแล้ว” จวินเสี่ยวเหยียนกล่าวพร้อมกับหาวขึ้นมา
เดิมทีเด็กสองคนก็เล่นกันตลอดบ่าย เวลานี้ย่อมต้องเหนื่อยและง่วงเป็นธรรมดา
“เช่นนั้นวันนี้ก็พักผ่อนเร็วหน่อย พรุ่งนี้ข้าค่อยตรวจการบ้านของพวกเจ้า” หยุนถิงพูดจบ ก็พาลูกทั้งสองคนเข้านอน
หลายวันต่อจากนั้น หยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่ออยู่ในจวนซื่อจื่อตลอด ติดตามหยุนถิงเรียนรู้ยุทธศาสตร์การทำสงครามและทักษะการเอาชีวิตรอด สิ่งเหล่านี้สามารถใช้งานได้จริงมากกว่าที่เรียนรู้ในค่ายทหาร
พริบตาเดียวก็ถึงวันของการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง ฮ่องเต้ส่งคนมาแจ้งข่าวล่วงหน้าสามวัน ให้จวินหย่วนโยวกับหยุนถิงพาลูกๆเข้าร่วมการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง
ในตอนเช้าตรู่ หยุนถิงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เบาสบายให้กับเด็กน้อยทั้งสอง พาพวกเขาออกเดินทาง หยุนเสี่ยวลิ่วและคนอื่นๆก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน
พื้นที่ล่าสัตว์
เจ้าขุนมูลนายของเมืองหลวง ตลอดจนคุณชายคุณหนูเยาว์วัยล้วนรีบเดินทางมา อย่างไรเสียนี่ก็เป็นวันที่ยิ่งใหญ่แห่งการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงของแคว้นต้าเยียน หากชนะได้รางวัลที่หนึ่งจะได้รับรางวัลจากฝ่าบาท โอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ทุกคนย่อมไม่พลาดกันอยู่แล้ว
ทั่วทั้งพื้นที่ล่าสัตว์ครึกครื้นไม่ธรรมดา ทุกคนพากันเลือกคันธนูกับลูกธนูและม้า
หยุนถิงและคนอื่นๆลงจากรถม้า เมื่อเด็กน้อยสองคนเห็นคนมากมายขนาดนี้ ก็ดีใจอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ ข้าก็จะล่าสัตว์ด้วย!” จวินเสี่ยวเทียนเอ่ยปากด้วยความดีใจ
“ข้าต้องได้ที่หนึ่ง!” จวินเสี่ยวเหยียนคล้อยตาม
“ปณิธานไม่น้อยเลยนี่ สามารถลองดูได้!” เสียงที่คุ้นเคยดังมา โม่เหลิ่งเหยียนเดินเข้ามาจากไม่ไกลออกไป
“ท่านอาซวนอ๋อง” ขาสั้นๆของจวินเสี่ยวเหยียนวิ่งเข้ามากอดโม่เหลิ่งเหยียนเอาไว้ทันที
โม่เหลิ่งเหยียนอุ้มนางขึ้นมา “เสี่ยวเหยียนอยากได้ที่หนึ่งต้องพยายามให้มากๆเลยนะ วันนี้คนที่มาเข้าร่วมมีเยอะมาก เพราะเจ้ายังเด็กเกินไปเรามุ่งเน้นไปที่การเข้าร่วม รออีกหน่อยเมื่อเจ้าเติบโตแล้วต้องคว้าอันดับหนึ่งมาได้อย่างแน่นอน”
“ท่านอาซวนอ๋องกล่าวถูกต้องแล้ว ไม่ได้ที่หนึ่งข้าก็ไม่ร้องไห้” จวินเสี่ยวเหยียนถาม
“ดีมาก!” โม่เหลิ่งเหยียนกล่าวชม
“เสี่ยวเหยียน เสี่ยวเทียน” หยวนเป่าติดตามหลู่อ๋องกับหลู่หวางเฟยเร่งเดินทางมา ทันทีที่เห็นเด็กน้อยสองคน หยวนเป่าก็วิ่งเข้ามาทันที
“พี่หยวนเป่าท่านก็มาหรือ เราไปเล่นกันเถอะ” จวินเสี่ยวเหยียนเสนอแนะ
“ได้เลย” พวกเด็กๆวิ่งไปเล่นด้านข้างทันที
ฮ่องเต้พาเหล่าขุนนางเดินเข้ามาพอดี ได้ยินเสียงหัวเราะมีความสุขของพวกเด็กๆ รู้สึกพอพระทัยอย่างยิ่ง “อีกหน่อยเมื่อพวกเขาโตขึ้นมาแล้ว ต้องเป็นคนโดดเด่นท่ามกลางผู้คน สามารถรับผิดชอบงานสำคัญตามลำพังอย่างแน่นอน”
“คำนับฝ่าบาท!” หยุนถิงและคนอื่นๆคำนับทันที
“ไม่ต้องมากพิธี!” ฮ่องเต้เดินขึ้นไปบนแท่นสูง
ทุกคนต่างก็รีบเข้าคำนับด้วยความเคารพนบนอบทันที “คำนับฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงจงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นๆปี!”
“เอาล่ะ ลุกขึ้นมาเถอะ การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีผู้ที่ล่าเหยื่อได้มากที่สุดจะได้เป็นผู้ชนะ ซึ่งมันค่อนข้างน่าเบื่อจริงๆ หยุนถิงปีนี้เจ้ามีขอเสนอแนะอะไรดีๆหรือไม่” ฮ่องเต้มองไปทางหยุนถิง
หยุนถิงชำเลืองมองไปที่ชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกลอกหมุนมีความคิดขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท ข้าคิดวิธีเล่นสนุกออกหนึ่งวิธีจริงๆ ถ้าอย่างไรแบ่งคนพวกนี้ออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มลงคะแนนเสียงเลือกหัวหน้ากลุ่มย่อยออกมาคนหนึ่ง
จากนั้นก็แข่งขันกันเองระหว่างกลุ่ม กำหนดระยะเวลาสามวัน ให้สิ่งของและเสบียงที่เพียงพอสำหรับทุกคน กลุ่มที่อยู่รอดจนถึงกลุ่มสุดท้ายเป็นผู้ชนะ เช่นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ทุกคนได้สัมผัสกับการทำงานเป็นกลุ่ม แต่ยังช่วยยกระดับความสัมพันธ์ ไม่แน่ว่าอาจจะสร้างบุพเพสันนิวาสให้กับหลายๆคู่อีกด้วย”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีวิธีเล่นแบบนี้มาก่อน มันดูแปลกใหม่จริงๆ
“ถ้าหากทำร้ายคนเข้าจะทำอย่างไร อย่างไรเสียหลังฟ้ามืดก็มองเห็นไม่ชัดเจนแล้ว?” จี้อวี๋เอ่ยถาม
“ย่อมไม่สามารถใช้ธนูจริงพวกนี้อยู่แล้ว ใช้ลูกธนูไร้หัว หัวธนูทาสีเอาไว้ สีที่ใช้ในแต่ละกลุ่มจะไม่เหมือนกัน ใช้สำหรับแยกแยะ ทันทีที่สีของลูกธนูยิงถูกร่างกาย ก็คือตกรอบ” หยุนถิงตอบ
“อันนี้ดี ทั้งตื่นเต้นแถมยังไม่ทำให้ใครเจ็บด้วย” จี้อวี๋เห็นด้วยทันที
คนอื่นๆก็พากันรู้สึกว่าข้อเสนอแนะของหยุนถิงดี พากันเห็นด้วยทุกคน
“เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกคนก็แบ่งกันเป็นกลุ่มละห้าคนเถอะ เลือกหัวหน้ากลุ่มกันเอง ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าอีกสามวันให้หลังใครจะอยู่รอดจนถึงสุดท้าย!” ฮ่องเต้กล่าวอย่างตั้งตารอ
เหล่าองครักษ์ไปเปลี่ยนลูกธนูไร้หัวมาทันที ทาสีน้ำมันไว้ด้านบน คนอื่นๆรีบแบ่งออกเป็นกลุ่มและเลือกหัวหน้ากลุ่มทันที
“แม่ทัพโม่ถ้าอย่างไรเราสองคนก็เข้าร่วมการแข่งขันเป็นเช่นไร ข้ามาที่แคว้นต้าเยียนนานขนาดนี้ยังไม่เคยประลองกับท่านอย่างจริงจังมาก่อนเลย?” จี้อวี๋กล่าวพร้อมมองไปทางโม่ฉีเฟิง
“ความปลอดภัยของฝ่าบาทอยู่เหนือทุกสิ่ง ข้ารับผิดชอบความปลอดภัยของพื้นที่ล่าสัตว์ในครั้งนี้ย่อมจะไม่ปล่อยให้เกิดความผิดพลาดอยู่แล้ว เจ้าไปเล่นเองเถอะ” โม่ฉีเฟิงปฏิเสธโดยตรง
จี้อวี๋เลิกคิ้วมองมา “ท่านใช้ฝ่าบาทเป็นข้ออ้างมากกว่ากระมัง หรือว่าท่านไม่กล้าแข่งกับข้า กลัวพ่ายแพ้ข้าหรือ?”