จอมนางข้ามพิภพ - บทที่859 เจ้าอย่ามองข้า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่859 เจ้าอย่ามองข้า
“อยู่จวนซื่อจื่อเหนื่อยมาก ต้องฝึกฝนทุกวัน ห้ามขี้เกียจ ทั้งไม้มีดดาบล้วนต้องเป็นหมด ยังต้องฝึกฝนสมรรถภาพทางกายด้วย การอ่านและเขียนก็จะไม่เป็นไม่ได้ และยิ่งต้องเรียนรู้ทักษะการเอาชีวิตรอดในป่า!” จวินหย่วนโยวพูดอย่างมีความอดทน
ทำเอาหลู่อ๋องตกตะลึง “จวินซื่อจื่อ พวกเขาเล็กแค่นี้จำเป็นต้องฝึกเยอะขนาดนี้ด้วยหรือ?”
“ใช่ซื่อจื่อเฟย ก็แค่เด็กอายุไม่กี่ขวบเอง ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนี้สินะ?” หลู่หวางเฟยรู้สึกสงสารทันที
หยุนถิงหันมองพวกเขา “ทนในสิ่งที่คนอื่นทนไม่ได้ ถึงจะเป็นคนที่เหนือคนอื่น เจ้ารู้สึกลำบากและเหนื่อยหน่าย แต่ลูกของคนที่ยากจนวัยเช่นนี้ต่างก็ซักผ้าและทำกับข้าวเองแล้ว หากไม่สามารถพึ่งพาตัวเอง ปกป้องตัวเองได้ เช่นนั้นในอนาคตหากเจ้าเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าก็มีแต่จะถูกผู้อื่นรังแกเอา”
“พูดได้สมเหตุสมผล แต่ก่อนหน้านี้หยวนเป่าของข้าไม่เคยฝึกสิ่งเหล่านี้มา ข้ากลัวเขาจะทนไม่ไหว?” หลู่อ๋องขมวดคิ้ว
“ทั้งสองไม่ต้องกังวล คนของซื่อจื่อมมีความพอประมาณดี จะฝึกฝนตามสถานการณ์ของเด็กแต่ละคน ก่อนหน้านี้หยวนเป่าไม่เคยฝึกแบบนี้มาก่อน ต้องเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เสี่ยวเหยียนกับเสี่ยวเทียนล้วนผ่านมาเช่นนี้เหมือนกัน
เจ้าสามารถให้หยวนเป่าฝึกกับเสี่ยวเหยียนและเสี่ยวเทียนสองสามวันดูก่อน หากเขาปรับตัวไม่ได้ ทนรับไม่ไหวจริง ก็ค่อยพาเขากลับไป” หยุนถิงปลอบโยน
“ท่านอ๋อง มิสู้ให้หยวนเป่าของพวกข้าลองดู?” หลู่หวางเฟยหันมองไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสิ” หลู่อ๋องพยักหน้า
แต่ปรากฏว่าวันหนึ่งก็ทนไม่ได้ หยวนเป่าฝึกไปเพียงครึ่งวัน ก็บ่นว่าเหนื่อยและเจ็บ ทนไม่ไหวแล้ว
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ข้าจะไม่อยู่ในจวนซื่อจื่อต่อแล้ว ข้าจะกลับบ้าน!” หยวนเป่าร้องไห้
หลู่อ๋องกับหลู่หวางเฟยสงสารยิ่งนัก กำลังจะไปปลอบโยนลูกชาย ก็เห็นจวินเสี่ยวเหยียนเดินมา
“พี่หยวนเป่า อดทนเอาไว้ เมื่อก่อนข้าก็เจ็บมาก สู้ๆ!” จวินเสี่ยวเหยียนให้กำลังใจ
เมื่อมองดูใบหน้าที่น่ารักของนาง เต็มไปด้วยความคาดหวังและความเป็นห่วง หยวนเป่าก็ปาดน้ำตาบนใบหน้า “งั้นข้าก็อดทนอีกแป๊บนึง แค่แป๊บนึงนะ”
“พี่หยวนเป่า เจ้าทำได้!” จวินเสี่ยวเทียนก็พูดตาม
“อืม ข้าต้องทำได้แน่” หยวนเป่าพยายามต่อไป
หลู่อ๋องกับหลู่หวางเฟยทั้งสองก็ร้องไห้ แน่นอนว่าก็ต้องหาสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่ เห็นลูกชายที่เป็นเช่นนี้ทั้งรู้สึกสงสารและปลื้มใจมาก
ฝึกมาทั้งวัน หยวนเป่าก็เหนื่อยจนหมดแรง กลางคืนกลับไปยังเป็นหลู่อ๋องที่ให้คนยกกลับไป เขาเดินไม่ไหวแล้ว
แม้ว่าการฝึกที่องครักษ์ให้หยวนเป่าฝึกนั้นจะง่ายที่สุด แต่หยวนเป่าอ้วน ปกติก็ไม่ค่อยออกกำลังกาย ดังนั้นพอออกกำลังกายสักหน่อยก็ทนไม่ไหว
“ท่านพี่ ข้าเห็นหลู่อ๋องกับหลู่หวางเฟยสงสารหยวนเป่ายิ่งนัก พวกเขาคงไม่โทษพวกข้าสินะ?” หยุนถิงถาม
“พวกเขายังไม่ถึงขั้นสับสนเยี่ยงนี้ ส่งลูกมาเอง โทษพวกข้าไม่ได้” จวินหย่วนโยวพูดปลอบโยน
“ก็จริง”
…………………
เขตทะเลนิรนาม
เมื่อวี่รั่วยีตื่นขึ้นมา ร่างกายของนางเจ็บปวดมากจนแทบไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป อยากลุกขึ้นแต่กลับพบว่ามือและเท้าไม่ขยับ
จึงค่อยนึกเรื่องที่ก่อนหน้านี้หยุนถิงวางยาพิษคิดร้ายตัวเอง นางรีบมองดูมือและเท้าตัวเอง และสายตาก็เหลือบไปเห็นบาดแผลที่ข้อมือและข้อเท้า วี่รั่วยีก็โกรธทันที
ไอ้หยุนถิงบ้านี้ กล้าหักเอ็นมือและเท้าของตัวเองทิ้ง ซึ่งสำหรับคุณหนูใหญ่แห่งเกาะเทียนหลงเช่นนางนี้แล้ว การกลายเป็นคนไร้ประโยชน์นั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าฆ่านางทิ้งสักอีก
“หยุนถิงทั้งชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป!” วี่รั่วยีพูดด้วยความโกรธ
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงของตัวเอง วี่รั่วยีรู้สึกดีใจยิ่งนัก ตอนนั้นนางกินของที่หยุนถิงส่งมาพูดไม่ออก นึกว่าตัวเองถูกวางยาพิษให้เป็นใบ้ไปแล้ว
ขณะที่วี่รั่วยีกำลังจะตะโกน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหน้าของนางเจ็บยิ่งนัก มือของนางขยับไม่ได้และสัมผัสไม่โดน แต่ความเจ็บปวดบนหน้านั้นกลับทำให้นางตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไม่ ข้าจะเสียโฉมไม่ได้ หยุนถิงไอ้สารเลวสมควรตาย กล้าเอามีดมากรีดหน้าข้า ใจดำอำมหิตยิ่งนัก โหดเหี้ยมยิ่งนัก ต่อให้ตายข้าก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วย!” วี่รั่วยีคร่ำครวญอย่างน่าสังเวช
นางเหมือนบ้าคลั่งไปหน่อย ในชีวิตนี้สิ่งที่นางภูมิใจมากที่สุดก็คือฐานะของคุณหนูใหญ่ และใบหน้านี้ ตอนนี้นางเสียโฉมไป และถูกขังไว้ที่หลังเขา ซึ่งทำให้นางตายทั้งเป็นยิ่งนัก
เดิมทีนางที่อยากขอความช่วยเหลือ จะกล้าตะโกนอีกสักที่ไหนกัน นางจะไม่ยอมให้ใครมาเห็นสภาพนางในตอนนี้เด็ดขาด
นางที่เจ็บปวดและเคียดแค้นมาก ไม่ทันสังเกตเสียงเท้าที่ดังมาจากข้างหลังด้วยซ้ำ
จั๋วยีเดินมา เขารู้ว่าคุณหนูใหญ่ถูกฮูหยินลงโทษให้มาอยู่ในหลังเขา และในที่สุดวันนี้เขาก็สามารถมาดูนางได้สักที
แต่เมื่อเห็นวี่รั่วยีที่นอนจมอยู่ในกองเลือด จั๋วยีก็ตัวแข็งทื่อ และกล่องอาหารในมือก็ร่วงลงกับพื้น
วี่รั่วยีในขณะนี้ตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด และบาดแผลบนใบหน้าก็ตกสะเก็ดหมดแล้ว เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก และคราบเลือดใต้กายของนางก็เป็นสีแดงเข้มหมดแล้ว
หัวทั้งดวงของจั๋วยีเป็นทุกข์ยิ่งนัก และเจ็บปวดยิ่งนัก มือที่ห้อยอยู่ข้างๆก็กำแน่น กระดูกก็ส่งเสียงดังกร๊อบกร๊อบ
“คุณหนูใหญ่ ใครทำให้เจ้ากลายเป็นเยี่ยงนี้ ข้าจะถลอกหนังเขาทิ้งเลย!”
จั๋วยียื่นมือออกไปประคองวี่รั่วยีลุกขึ้น แต่เขาไม่กล้าแตะต้องนาง เหมือนร่างกายของนางจะไม่มีที่ไหนที่ดีเลย แตะตรงไหนจั๋วยีก็กลัวจะทำให้นางเจ็บ
“เจ้าอย่ามองข้า ไปให้พ้น เจ้าไปสิ สภาพที่คนไม่เหมือนคนผีไม่เหมือนผีนี้ของข้า เจ้าอย่ามองข้า” วี่รั่วยีหันหน้าหนีและหลับตาโดยไม่รู้ตัว
การที่คนอื่นมาเห็นนางในสภาพที่น่าสังเวชเช่นนี้นั้น เจ็บปวดยิ่งกว่าฆ่าวี่รั่วยีทิ้งซะอีก
นางอยากหลบหนีหรือปกปิด แต่ขยับไม่ได้เลย ทำได้เพียงทนต่อสายตาของจั๋วยี
เมื่อเห็นท่าทางที่เจ็บปวดของวี่รั่วยี และน้ำตาที่มุมตา จั๋วยีก็รู้สึกเป็นทุกข์มากยิ่งขึ้น
“คุณหนูใหญ่ ข้าจะพาท่านออกไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะหาสมุนไพรที่ดีที่สุดมารักษาให้ท่าน จะไม่ให้ท่านเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน!” จั๋วยีพูด เอื้อมมือไปอุ้มวี่รั่วยี
เดิมทีวี่รั่วยีที่อยากปฏิเสธ แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ หน้าสำคัญหรือว่าชีวิตสำคัญ นางจะรอตายอยู่ในนี้จริงหรือ
จากนั้นวี่รั่วยีก็ลืมตาขึ้น และน้ำตาก็ไหลออกมารัวๆ “จั๋วยี ขอบคุณเจ้านะ ขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าไว้!”
“คุณหนูใหญ่ ข้าขอโทษ ข้ามาช้าไป เป็นเพราะข้าเองที่ปกป้องท่านไม่ดี ใครกันแน่ที่ทำร้ายท่าน?” จั๋วยีพูดและรีบลงจากเขา
หลังเขามีการคุ้มกันไว้อย่างเข้มงวด และยิ่งเป็นที่ต้องห้าม ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่มา
ดวงตาแสนสวยของวี่รั่วยีฉายแววความแค้นและความโหดร้าย “หยุนถิง เป็นซื่อจื่อเฟยของจวินหย่วนโยว นางกับจวินหย่วนโยวแสร้งปลอมตัวเป็นลูกศิษย์แล้วแอบลักลอบเข้าเกาะเทียนหลง จิ่วฟ่างในก่อนหน้านี้ก็คือจวินหย่วนโยวปลอมตัว
แต่ไม่มีใครเชื่อข้า ข้าเคยเห็นใบหน้าใต้หน้ากากหนังมนุษย์นั้นของเขาแท้ๆ ต้องเป็นเล่ห์เหลี่ยมของหยุนถิงแน่ๆ ทักษะทางการแพทย์ของนางนั้นยอดเยี่ยม วิชาแปลงโฉมนั้นก็ต้องเก่งมากเหมือนกันแน่”
เส้นเลือดปูดออกมาที่หน้าผากของจั๋วยี ออร่ารอบตัวเย็นชาและอันตราย “คุณหนูใหญ่ไว้ใจ ต่อให้ตายข้าก็จะแก้แค้นให้ท่านอย่างแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือท่านต้องพักฟื้นร่างกายให้หายดีก่อน”