จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 677 ชอบแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 677 ชอบแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
“มิเป็นไร ข้าชอบเสี่ยวเหยียนมาก นางชอบข้าแสดงว่าตานางมีแววแล้ว เก่งกว่าพ่อนางมากนัก” โม่เหลิ่งเหยียนแสร้งค่อนแคะ ยื่นมือไปรับจวินเสี่ยวเหยียนมาอุ้ม
จวินหย่วนโยวถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล “ชอบแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ นั่นน่ะลูกสาวข้า”
“นางเป็นลูกสาวของเจ้าจริงมิผิด แต่ชอบข้ามากกว่า” โม่เหลิ่งเหยียนพูดอย่างได้ใจ
สีหน้าจวินหย่วนโยวยิ่งบูดบึ้งหนักขึ้น ต่างว่ากันว่า ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วเสมือนเป็นน้ำที่สาดออกไป นังหนูนี่พึ่งจะขวบเดียวกลับเข้าข้างคนนอกเสียนี่ เขาล่ะเสียใจจริงๆ
แต่แพ้ให้โม่เหลิ่งเหยียนแบบนี้ จวินหย่วนโยวต้องไม่ยอมอยู่แล้ว
“เสี่ยวเหยียน มาหาพ่อดีหรือไม่ พ่ออุ้มนะ?” จวินหย่วนโยวลองถาม
กลับเห็นจวินเสี่ยวเหยียนหันหน้าไปอีกทาง “ไม่เอา จะเอาท่านอา!”
“ฮะฮะ!” โม่เหลิ่งเหยียนหัวเราะเสียงดัง เห็นท่าทางบูดบึ้งของจวินหย่วนโยวแล้วสะใจยิ่งนัก
หยุนถิงส่ายหัวอย่างหน่ายใจ เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเสี่ยวเหยียนถึงชอบโม่เหลิ่งเหยียนเป็นพิเศษ พวกเขาพบกันไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง
“ท่านพ่อ ข้าหิว กิน!” จวินเสี่ยวเทียนเอ่ยขึ้น
พอจวินหย่วนโยวได้ยินลูกชายบอกว่าหิว ไหนเลยจะมีแก่ใจทะเลาะกับโม่เหลิ่งเหยียนอีก รีบหยิบตะเกียบคีบอาหารให้ลูกชายทันที “พ่อคีบให้นะ อยากกินอันไหนก็บอกพ่อ”
จวินเสี่ยวเทียนชี้ไปที่อาหารพวกนั้น จวินหย่วนโยวคีบมาให้ทันที
“ท่านอา กิน!” จวินเสี่ยวเหยียนก็ยกนิ้วชี้เหมือนกัน
“ได้ อาคีบอาหารให้เสี่ยวเหยียนนะ อาหารบ้านอาก็อร่อยมากเหมือนกัน ไว้วันหลังกลับต้าเยียนแล้ว เจ้าไปกินอาหารบ้านอาดีหรือไม่?” โม่เหลิ่งเหยียนแกล้งถาม
“ดี!” จวินเสี่ยวเหยียนพยักหน้าอย่างแรงหลายที
“อย่าคิดลักพาตัวลูกสาวข้า!” จวินหย่วนดยวส่งสายตาคมปลาบมาให้
“ยังต้องลักพาตัวอีกรึ เสี่ยวเหยียนมาเองแล้วนี่” โม่เหลิ่งเหยียนหัวเราะขบขัน
“ไป ท่านพ่อไป”
จวินหย่วนโยวแทบลมจับ ไหนว่าลูกสาวเป็นดวงใจของพ่อไง ทำไมเขารู้สึกว่ายัยหนูนี่เหมือนเป็นดวงใจของโม่เหลิ่งเหยียนมากกว่าล่ะ
“ข้าคิดว่าซื่อจื่อสามารถอยู่กับซวนอ๋องได้แล้วล่ะ” หยุนถิงเบ้ปากบอก
ผู้ชายตัวใหญ่สองคน คนหนึ่งอุ้มลูกชาย อีกคนอุ้มลูกสาว ไม่มีใครถามเธอเลย หยุนถิงพลันรู้สึกว่า แม่อย่างตนนี่ไม่เป็นที่ต้องการแล้ว
จวินหย่วนโยวตะลึง พลางส่งสายตารังเกียจให้โม่เหลิ่งเหยียน “ฝันไปเถอะ”
“ข้าก็ไม่อยากอยู่กับเจ้าเหมือนกัน”
เมื่อก่อนทั้งคู่ทะเลาะกัน หยุนถิงยังคอยปราม ตอนนี้มีเด็กสองคนอยู่ด้วย เธอขี้เกียจพูดอะไร ต่อหน้าเด็กๆอย่างมากพวกเขาก็ทำได้แค่ถกเถียงกัน
หยุนถิงกินอาหารเช้า จากนั้นก็ไปหาท่านยายขุย
ในห้อง
ท่านยายขุยใช้มีดสั้นกรีดแขนหมอตี๋ ใช้ชามใหญ่ชามหนึ่งมารองเลือดเขาไว้ จากนั้นก็พันแผลให้เขานิดหน่อย เริ่มต้นค้นคว้าต่อ
“ท่านยาย เป็นอย่างไรบ้างรึ?” หยุนถิงเดินเข้ามาถาม
พอหมอตี๋เห็นหยุนถิง ก็ถลึงตาใส่อย่างโกรธขึ้ง เป็นเพราะสตรีน่าตายผู้นี้ทำกรามตนค้าง ตอนนี้สองแขนเขายังโดนหักอีก และยังโดนจี้จุด อยากตายก็ตายไม่ได้ น่าแค้นใจนัก
ท่านยายขุยสีหน้าเคร่งขรึม “ในตัวเขามีหนอนกู่จริงๆ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นหนอนกู่ผีเสื้อโลหิตหรือไม่ ข้าต้องใช้เวลา”
“ได้ ท่านยายอยากได้อะไรบอกมาได้เลย ข้าจะให้ความร่วมมือเต็มที่เลย” หยุนถิงบอก
“ข้าอายุมากแล้ว สายตาไม่ค่อยดี ถ้าสามารถมองเห็นเลือดชัดเจนก็ดีแล้ว” ท่านยายขุยพูดไปอย่างนั้น
“ท่านยายรอประเดี๋ยวก่อน”
หยุนถิงรีบเข้าไปในห้องข้างๆ พอประตูปิด เธอก็หยิบอุปกรณ์การแพทย์จากในมิติออกมาชุดใหญ่
พอทำทุกอย่างหมดแล้ว เธอก็ไปห้องข้างๆต่อ ซัดฝ่ามือใส่หมอตี๋ที่เบิกตาโพลงมองตนจนสลบไป จากนั้นยกเลือดชามนั้น พาท่านยายขุยออกไป
พอของที่วางอยู่บนโต๊ะ ท่านยายขุยตะลึงอึ้ง “ถิงเอ๋อร์ ของพวกนี้คือ?”
“ของพวกนี้ล้วนเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นของที่ข้ากับหมอยมบาลคิดค้นขึ้นมาด้วยกัน นี่คือกล้องจุลทรรศน์ สามารถมองเห็นของในเลือดได้อย่างชัดเจนเลย” หยุนถิงบอกวิธีใช้ออกมาง่ายๆ
หากบอกว่าของพวกนี้เป็นของตน เธอกลัวจะทำท่านยายขุยตกใจ รวมหมอยมบาลเข้ามาด้วยกันก็น่าเชื่อถือมากขึ้น
ท่านยายขุยตื่นเต้นยิ่งนัก รีบพุ่งเข้ามาดูทันที พอดูก็เห็นว่าในเลือดสดของเยียนหงต้งมีสิ่งเล็กๆมากมายกำลังเคลื่อนไหว และยังมีพวกหนอน
“นี่มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ เป็นของดีนะ ข้าไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย สมเป็นหมอยมบาลจริงๆ ร้ายกาจ” ท่านยายขุยชื่นชมยิ่งนัก รีบค้นคว้าขึ้นมาทันที
หยุนถิงคอยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ รับหน้าที่อธิบายวิธีใช้
ใช้เวลาไปหนึ่งวันเต็ม
จนฟ้ามืด หยุนถิงถึงออกมาจากในห้อง
“ถิงเอ๋อร์หิวแล้วกระมัง ข้าให้คนอุ่นอาหารไว้แล้ว ซูหลินเจ้ารีบให้คนยกเข้ามาเลย” จวินหย่วนโยวสงสารนัก รีบเข้ามาช่วยนวดหลังและไหล่ให้หยุนถิงทันที
เขาเคยเห็นเวลาหยุนถิงค้นคว้าและปรุงยาแล้ว รู้ว่านางต้องก้มหน้ารวบรวมสมาธิค้นคว้า เหนื่อยมากเหมือนกัน
หยุนถิงซาบซึ้งใจนัก ท่านพี่เห็นตนเอง คำแรกไม่ได้ถามว่าเป็นยังไงบ้าง แต่กลับเป็นห่วงตนเอง เธอมองคนไม่ผิดจริงๆ
โม่เหลิ่งเหยียนเห็นท่าทาเอาอกเอาใจของจวินหย่วนโยว อดดูถูกไม่ได้ “หยุนถิง จวินเสี่ยวเทียนกับจวินเสี่ยวเหยียนกินอิ่มแล้ว พวกนางออกไปเล่นกับเยว่เอ๋อร์และหลิงเฟิงแล้วล่ะ”
“ขอบคุณมาก ลำบากแล้ว ท่านยายขุยแน่ใจแล้วว่า ในเลือดของคนผู้นั้นมีหนอนกู่ผีเสื้อโลหิตจริงๆ ท่านยายกำลังเตรียมของที่จำเป็นในการถอนกู่อยู่” หยุนถิงเอ่ยขึ้น
มือขงอจวินหย่วนโยวพลันบีบแน่น เจ็บจนหยุนถิงขมวดคิ้ว ครางเสียงต่ำออกมา
“จวินหย่วนโยว เจ้าทำหยุนถิงเจ็บแล้ว!” โม่เหลิ่งเหยียนถลึงตาใส่อย่างเดือดดาลฉับพลัน
จวินหย่วนโยวถึงรู้สึกตัว รีบดึงมือกลับทันที “ถิงเอ๋อร์ ข้าขอโทษ ข้าตื่นเต้นเกินไป ลืมตัวไป”
“ไม่เป็นไร”
หลายคนกำลังพูดกัน กู้จิ่วเยวียนและเริ่นเซวียนเอ๋อร์เดินเข้ามาจากด้านนอก ด้านหลังมีองครักษ์คนหนึ่งแบกของถุงใหญ่ตามมาด้วย
“หยุนถิง ของที่ท่านยายบอกข้าหามาครบหมดแล้ว เสด็จอาเก้าก็รบกวนเจ้ากับท่านยายแล้วล่ะ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
กู้จิ่วเยวียนคารวะหยุนถิงทันที “รบกวนซื่อจื่อเฟยด้วย”
หยุนถิงเลิกคิ้วมองเขา “ข้าถอนพิษไม่ง่ายหรอก ยิ่งไปกว่านั้นในตัวท่านคือพิษกู่ ท่านยายอายุมากแล้วเกิดเหนื่อยสลบไปจะทำอย่างไร?”
“ซื่อจื่อเฟยต้องการสิ่งใดบอกมาได้เลย ขอเพียงข้าทำได้!” กู้จิ่วเยวียนเองก็เข้าใจการถอนกู่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีเงื่อนไขก็ปกติมาก
“หยุนถิง หลายปีมานี้เสด็จอาเก้าพักรักษาตัวอยู่ในเรือนมาตลอด กินยามานานหลายปี จนมาก เขาไม่มีเงินเลย” เริ่นเซวียนเอ๋อร์เบ้ปากบอก
หยุนถิงมองค้อนนาง “ข้าไม่ต้องการเงิน ขอเพียงท่านรับปากว่าจะปกป้องคุ้มครองเริ่นเซวียนเอ๋อร์ให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิตก็พอ”
กู้จิ่วเยวียนตะลึง เขาคิดว่าหยุนถิงจะต้องการเพชรนิลจินดาหรือไม่ก็สมบัติล้ำค่า แต่ไม่คิดว่านางจะเรียกร้องเช่นนี้ “ได้ ข้ารับปาก”
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ซาบซึ้งจนตาแดง “หยุนถิง เจ้าดีกับข้ายิ่งนัก เจ้าช่วยอาจารย์ไว้ ตอนนี้ยังมาช่วยเสด็จอาเก้าอีก ข้าทำบุญมาแต่ชาติปางไหนเจ้าถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้”
“หากจะขอบคุณข้า ก็มอบตนเป็นการตอบแทนแล้วกัน” หยุนถิงแสร้งเย้าเล่น
เริ่นเซวียนเอ๋อร์โดนนางเย้าจนขำ “หากข้ามอบตนเป็นการตอบแทนจริง จวินซื่อจื่อต้องระเบิดหึงโหดแน่ เจ้าอย่าหาเรื่องตายสิ”
“เย้าเจ้าเล่นน่ะ ข้ามีแค่สามีข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
อีกสามวันต่อมา กู้จิ่วเยวียนอยู่แต่ในแปรพระราชฐานตลอด จวบจนวันที่สี่ถึงจากไป โดนคนหามออกไป
ชาวบ้านที่ผ่านไปมาพากันมองตาค้าง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น