จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 517 ซื่อจื่อ ให้รางวัลท่านนะ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 517 ซื่อจื่อ ให้รางวัลท่านนะ
เฟิ่งจาวหยีโกรธจนใบหน้าดำเมี่ยม “การแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรีที่ตระกูลหยุนของเจ้าไม่ต้องการ เหตุใดต้องมาให้ตระกูลเฟิ่งของข้าด้วย ตระกูลเฟิ่งของเรามิต้องการ!”
น้ำเสียงเหิมเกริม มิแยแสแต่อย่างใด
หยุนถิงกลัวแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรีจะเป็นผลร้ายต่อตระกูลหยุน แล้วตระกูลเฟิ่งของนางมิกลัวรึ คิดว่านางโง่หรือไง
ทุกคนพากันขมวดคิ้ว เฟิ่งจาวหยีผู้นี้กล้าเป็นศัตรูกับคุณหนูหยุนอย่างเปิดเผย คราวนี้ตระกูลเฟิ่งคงจบสิ้นกันแล้ว
สีหน้าจวินหย่วนโยวเย็นชาดุจน้ำแข็งพันปี ยิ้มมุมปาก “ฝ่าบาท กระหม่อมเองก็เห็นชอบว่าตระกูลเฟิ่งแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นเทียนจิ่วนั้นดียิ่ง!”
คำพูดเย็นชาแค่คำเดียว ทำเอาสีหน้าเฟิ่งจาวหยีซีดเผือดในพริบตา
เฟิ่งจาวหยีเคียดแค้นหยุนถิง ไม่หวาดเกรงหยุนถิง แต่นางไม่กล้าหาเรื่องจวินหย่วนโยว ตระกูลจวินช่างกล้าแกร่งนัก และยังเป็นผู้นำองครักษ์เงามังกร ต่อให้เป็นฮ่องเต้และไทเฮายังต้องยำเกรงจวินหย่วนโยวเสียสามส่วน นับประสาอะไรกับจาวหยีเล็กๆเช่นนาง
เพียงเห็นเฟิ่งจาวหยีไร้ซึ่งท่าทีเย่อหยิ่งจองหองเช่นเมื่อครู่ “ฝ่าบาท เฟิ่งหยวนยังเล็กนัก ท่านพ่อของหม่อมฉันมีลูกชายคนนี้เพียงคนเดียว อยากเลี้ยงเขาไว้ข้างกาย ขอฝ่าบาททรงพระกรุณาด้วย!”
“เฟิ่งหยวนเด็กแค่ไหน ก็โตกว่าหยุนเสี่ยวลิ่ว!” จวินหย่วนโยวย้อน
เฟิ่งจาวหยีเดือดดาลนัก แต่เผชิญหน้าจวินหย่วนโยว นางทำได้เพียงอดกลั้นไว้ “จวินซื่อจื่อล้อเล่นแล้ว เฟิ่งหยวนโตกว่าหยุนเสี่ยวลิ่วหลายปีก็จริง แต่ตระกูลหยุนมิได้มีเพียงหยุนเสี่ยวลิ่วเป็นลูกชายคนเดียวมิใช่รึ?”
“เท่าที่ข้ารู้ เจ้าห้าของตระกูลหยุนได้มีสัญญาหมั้นหมายแล้ว อีกฝ่ายเป็นสหายแต่วัยเด็กของเขา คาดว่าฝ่าบาทคงมิอยากพรากคู่รักจากกัน
เช่นนั้นก็เหลือแค่หยุนไห่เทียนกับหยุนเสี่ยวลิ่วแล้ว หยุนไห่เทียนเป็นแม่ทัพแห่งแคว้นต้าเยียนเรา ควบคุมกองทหารนับแสนนาย หากให้เขาแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรี อย่าว่าแต่ฝ่าบาทเลย ราษฎร์แคว้นต้าเยียนคงนอนหลับไม่สนิทกระมัง
หยุนเสี่ยวลิ่วเองก็ทำความดีความชอบในการออกทัพไปแคว้นเป่ยลี่ครั้งนี้เช่นกัน หากฝึกฝนเขานานเข้า บางทีก็จะกลายเป็นแม่ทัพหยุนอีกคนหนึ่ง ทหารดีเช่นนี้หรือว่าเฟิ่งจาวหยีรู้สึกว่าควรจะใส่พานถวายแคว้นเทียนจิ่ว?” น้ำเสียงเย็นเยียบของจวินหย่วนโยวแต่ละคำพูดแทงใจดำดังฉึก
เฟิ่งจาวหยีรู้สึกเหงื่อแตกซิกเต็มแผ่นหลัง คนโง่ยังรู้ว่าการจะฟูมฟักแม่ทัพคนหนึ่งต้องใช้เลือดเนื้อและผลตอบแทนมากมายเพียงใด หากนางกล้าพูดยกให้ ฝ่าบาทต้องปลดนางและส่งเข้าตำหนักเย็นแน่
“แน่นอนว่ายกให้ไม่ได้” เฟิ่งจาวหยีได้แต่หาทางรอดเอง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เทียบกับทหารดีของตระกูลหยุนแล้ว เฟิ่งหยวนที่มิมีพรสวรรค์ใดๆ อีกทั้งมิเคยทำความดีความชอบให้บ้านเมืองมาก่อนมิใช่ตัวเลือกคู่แต่งงานเจริญสัมพันธไมตรีที่ดีที่สุดรึ!” จวินหย่วนโยวย้อน
พอพูดจบ เฟิ่งจาวหยีนั่งไม่ติดแล้ว รีบคุกเข่าลงอ้อนวอนทันที “จวินซื่อจื่อ ขอท่านละเว้นตระกูลเฟิ่งของข้าเถอะ!”
“เฟิ่งจาวหยีพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าไปต่อกรกับตระกูลเฟิ่งของเจ้าเมื่อไหร่กัน?”
“จวินซื่อจื่อ ข้าผิดไปแล้ว เมื่อครู่ข้าปากมิมีหูรอด ไม่ควรหาเรื่องท่าน ขอท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!” เฟิ่งจาวหยีรีบขอร้องทันที
หากให้ท่านพ่อรู้ว่า เพราะความโกรธชั่วขณะของตน จะต้องส่งเฟิ่งหยวนออกไปแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรี ท่านพ่อต้องตีนางจนตายแน่
จาวหยีเช่นนางดูเหมือนมียศศักดิ์ แต่สิ่งที่ค้ำจุนนางไว้คือตระกูลเฟิ่ง หากไม่มีการสนับสนุนของตระกูลเฟิ่ง ฝ่าบาทคงมิโปรดปรานนางเฉกเช่นตอนนี้แน่
จวินหย่วนโยวเหล่มองอย่างเย็นชา “คนที่เจ้าหาเรื่องมิใช่ข้า แต่เป็นซื่อจื่อเฟยของข้า!”
คำพูดอหังการ์ ห้ามมิให้บิดพลิ้วเลย
ทุกคนล้วนมองไปยังหยุนถิงด้วยสายตาอิจฉา สามารถทำให้จวินซื่อจื่อปกป้องรักใคร่ได้เพียงนี้ ก็มีเพียงหยุนถิงเท่านั้นแล้ว
เฟิ่งจาวหยีทำหน้าราวกับกินแมลงวันเข้าไป บูดบึ้งน่าเกลียดนัก นางที่เมื่อครู่ยังเย่อหยิ่งเชิดคอกลับต้องมาขอโทษหยุนถิง ตีให้ตายนางก็ไม่อยาก
แต่พอคิดถึงจุดจบฮองเฮา ก็เป็นฝีมือของหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวมิใช่รึ
“จาวหยี ขอเพียงขุนเขายังอยู่ ไม่กลัวไร้ฟืนเผา รักษาคุณชายน้อยไว้ได้ก็คือรักษาตระกูลเฟิ่ง ถึงจะสามารถรักษาท่านไว้ได้นะ!” มามาข้างกายเอ่ยเตือนเสียงเบา
เฟิ่งจาวหยีย่อมรู้ดีถึงผลได้ผลเสีย ถึงจะไม่อยาก แต่ก็ยังคงยอมทำตาม “คุณหนูหยุน เมื่อครู่ข้าเสียมารยาทเอง”
หยุนถิงเหล่มองนาง “เฟิ่งจาวหยีเกรงใจไปแล้ว แต่งงานเจริญสัมพันธไมตรีหรือไม่ ให้ใครไปล้วนต้องให้ฝ่าบาทรงตัดสิน ฝ่าบาทเฉลียวฉลาดปรีชาสามารถ ย่อมทรงพิจารณาเอง!”
เฟิ่งจาวหยีมีหรือจะไม่รู้ รีบหันหาฝ่าบาท “ฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว หม่อมฉันปากมิมีหูรูดเอง ขอฝ่าบาทเห็นพระทัยท่านพ่อหม่อมฉันอายุมากร่างกายอ่อนแอ มีลูกชายคนนี้แค่คนเดียว อย่าให้เขาต้องเผชิญเหตุการณ์ว่าคนหัวหงอกส่งคนหัวดำเลย!”
ฮ่องเต้สีหน้าไม่พอใจ เฟิ่งจาวหยีปกติเย่อหยิ่งจองหองจนชินแล้ว วันนี้กลับตาบอดหาเรื่องจวินหย่วนโยวเสียนี่ พูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว หากเขาไม่แสดงท่าทีอะไร น่ากลัวจวินหย่วนโยวคงไม่ยอมเลิกราแน่
“เฟิ่งจาวหยีเจ้าพูดอะไรน่ะ คนหัวหงอกส่งคนหัวดำอะไร น้องชายเจ้าแค่ไปแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรี ไม่ได้ไปเข้าคุกเสียหน่อย?” เหมยเฟยแทรกขึ้นเสียงเรียบ
“แล้วมันต่างกับเข้าคุก ฝ่าบาท หม่อมฉันเองที่มิรู้มารยาท หม่อมฉันขอร้องฝ่าบาททรงพระกรุณาด้วย—-“ เฟิ่งจาวหยีในตอนนี้ไม่สนใจหน้าตาแล้ว ขอร้องอย่างหวาดหวั่น
“สมน้ำหน้า นี่เรียกว่าทำตนเองแท้ๆ!” หยุนหลีบอก
เมื่อครู่นางอยากพูด แต่โดนหยุนซูลากไว้ พอได้เห็นฝีมือในการย้อนคนของพี่หญิงใหญ่และพี่เขยซื่อจื่อแล้ว มีหรือจะต้องการนางอีก ดังนั้นหยุนหลีเลยนั่งกินเงียบๆ
หยุนถิงยิ้ม พลางยื่นมือไปเด็ดองุ่นเม็ดหนึ่งป้อนเข้าปากจวินหย่วนโยว “ซื่อจื่อ ให้รางวัลท่านนะ ทำได้ดีมาก!”
จวินหย่วนโยหวันมองหยุนถิง ไม่มีท่าทางเย็นชากระหายเลือดเช่นเมื่อครู่ หว่างคิ้วกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ และกินองุ่นจากมือหยุนถิงเลย
“ถิงเอ๋อร์ปอกให้ หวานจริง!”
โม่เหลิ่งเหยียนที่อยู่ข้างๆมองมาเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
“ข้าว่านะ คนแคว้นต้าเยียนอย่างพวกเจ้านี่น่าขันนัก ข้ายังไม่ได้ตกลงเลย พวกเจ้าแต่ละคนกลับทำท่าราวกับตกลงเรียบร้อยแล้ว ทำเกินไปแล้วนะ!
ถึงข้าจะเป็นสตรี อย่างไรก็เป็นแม่ทัพคนหนึ่ง ถูกพวกเจ้าทำราวกับว่าข้าเป็นพืชผัก เสือกไสไล่ส่งไปมา ข้าไม่ยอมหรอก
คนที่ข้าจะแต่งงานด้วย ต้องเป็นชายชาติทหาร อกผายไหล่ผึ่ง สง่าผ่าเผย ที่สำคัญคือต้องเอาชนะข้าได้ มิใช่หมาแมวที่ไหนจะสามารถเอามายัดเยียดได้ดอก!” จี้อวี๋พูดอย่างเดือดดาล
แม่ทัพหญิงเช่นนางกลับถูกคนรังเกียจถึงขั้นนี้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงโดนหัวเราะจนฟันร่วงเป็นแน่
เฟิ่งจาวหยีแอบถอนหายใจโล่งอก หากเป็นปกติมีใครมาเหยียดหยามน้องชายตนเช่นนี้ เฟิ่งจาวหยีไม่ยอมรามือแน่ แต่ตอนนี้เฟิ่งจาวหยีแค่รู้สึกว่าก้อนหินที่หนักอึ้งในอกนั้นพลันร่วงหล่นลงไปแล้ว
เฟิ่งหยวนถูกเลี้ยงดูมาอย่างสุขสบายแต่เล็ก รู้สึกว่าฝึกยุทธ์แล้วเหนื่อย เลยไม่ยอมฝึกยุทธ์เลย เขาสู้จี้อวี๋ไม่ได้แน่นอน ตอนนี้เฟิ่งจาวหยีรู้สึกขอบคุณในความขี้เกียจตัวเป็นขนของน้องชายยิ่งนัก
“แม่ทัพจี้เป็นยอดหญิง สามีในอนาคตย่อมต้องคัดเลือกให้ดีอยู่แล้ว ข้าได้จัดรายการพิเศษไว้ให้ทุกคน คนมา เริ่มเถอะ!” หลิ่วเฟยบอก
ด้านนอกพลันมีนางรำเข้ามากลุ่มหนึ่ง เสียงพิณดังขึ้น พวกเขาร่ายรำระบำนกยูงของแคว้นเทียนจิ่ว ดูเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก
ส่วนมากพึ่งเคยเห็นระบำนกยูงนี่เป็นครั้งแรก แต่ก็โดนดึงดูดสายตาไป ฉากละครหนึ่งเลยจบลงอย่างนี้
เฟิ่งจาวหยีมีหรือจะมีหน้าอยู่ในงานต่อ นางบอกกับฮ่องเต้ว่าไม่ค่อยสบายและขอตัวกลับก่อน
หยุนถิงมองนางรำนั้น เพียงแต่เธอพลันพบว่า สตรีผู้นำกลุ่มนั้นมักจะคอยมองซวนอ๋องเป็นระยะ มันทำให้เธออดประหลาดใจไม่ได้
การร่ายรำเพลงหนึ่งจบลง คนอื่นพากันถอยออกไป มีเพียงสตรีคนนำนั้นยังเหลืออยู่บนเวทีต่อ นางเดินเข้าหาโม่เหลิ่งเหยียน
“ซวนอ๋อง ไม่เจอกันนานนะ!”