จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 484 ทำไมเจ้าต้องให้คนวางยาพิษข้าด้วย
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 484 ทำไมเจ้าต้องให้คนวางยาพิษข้าด้วย
“ท่านพ่อ ข้าเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของท่านหรือเปล่า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าออกไปสู้รบนะ ท่านไม่เป็นห่วงข้าก็ช่างเถอะ ทำไมต้องมาพูดคำพูดสลดแบบนี้ด้วย
ครั้งนี้ที่ไปออกรบ ข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด สู้กับใครก็ชนะ รบที่ไหนก็ชนะ และได้รับชัยชนะกลับมา เมื่อกี้ฝ่าบาทเพิ่งแต่งตั้งให้ข้าเป็นแม่ทัพหญิง แถมยังมอบกระบี่เหล็กนิลให้ข้าด้วย!” โม่หลานชูดาบในมือขึ้นมาอย่างได้ใจ
แม่ทัพโม่ตัวแข็งทื่อไป “นี่เป็นดาบที่ฝ่าบาทมอบให้เจ้าจริง ๆ หรือ เจ้าคงไม่ได้ไปขโมยมาหรอกใช่ไหม?”
กระบี่เหล็กนิลเป็นของล้ำค่ามาก ฮ่องเต้รักมากมาตลอด นี่คือกระบี่เหล็กนิลที่ฮูหยินเฒ่าฟู่เคยใช้มาในอดีต ต่อมาฮูหยินเฒ่าฟู่กลับไปใช้ชีวิตแก่ชราที่ต่างเมืองแล้ว ก็ตั้งใจเอาดาบอันนี้มอบไว้ให้ฝ่าบาทโดยเฉพาะ
โม่หลานมองตาขาวขึ้นมาทีหนึ่ง “ข้าใจกล้าก็จริง แต่ข้าไม่ได้โง่นะ ไปขโมยดาบรักของฮ่องเต้ นั่นมันรนหาที่ตายเองแล้ว”
โม่ฉีเฟิงที่เพิ่งไปลาดตระเวนกลับมา มาได้ยินสองพ่อลูกคุยกัน ก็ยิ้มแล้วเดินเข้ามา “น้องหญิง ท่านพ่อเป็นห่วงเจ้ามากจริง ๆ นะ ช่วงที่ผ่านมานี้ท่านพ่อถามข้าทุกวัน แถมยังไปที่จวนซื่อจื่อมาตั้งหลายเที่ยว ไปถามข่าวเรื่องสถานการณ์ของเจ้าที่อยู่ในสนามรบ
ข้าว่าท่านพ่อนี่ก็จริง ๆ เลย กว่าน้องหญิงจะกลับมาได้ ท่านก็อะไรที่มันน่าฟังหน่อยก็ไม่ได้ ใครกันที่เป็นกังวลจนกินข้าวไม่ลง จนพยายามไปขอฝ่าบาทให้อนุญาตให้ไปสนามรบ ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาทเป็นอาการบาดเจ็บที่ขาท่านพ่อ เกรงว่าท่านพ่อคงจะไปรับเจ้าที่แคว้นเป่ยลี่แล้ว”
พอฟังถึงนี่ โม่หลานก็ซาบซึ้งจนขอบตาแดงขึ้นมาเลย “ตาแก่อย่างท่านนี่ขาก็เป๋ไปแล้ว ยังจะมาเป็นห่วงข้าอีกทำไม ข้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วนี่ ต่อไปข้าจะไม่พูดว่าเป็นลูกที่ท่านเก็บกลับมาอีกแล้ว!”
แม่ทัพโม่จ้องมองไปที่ลูกชายตัวเองอย่างโกรธเคือง “ใครใช้ให้เจ้าพูดมาก เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ”
“ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านพ่อกับน้องหญิงเข้าใจกันผิดเท่านั้น น้องหญิง ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าคือความภาคภูมิใจของพี่ใหญ่เลย!” โม่ฉีเฟิงพูดชื่นชมขึ้นมา
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นลูกสาวของตระกูลโม่นะ จะทำให้ตระกูลโม่ขายหน้าได้ยังไง ใช่ไหมท่านพ่อ” โม่หลานพูดขึ้นมาอย่างได้ใจ
แม่ทัพโม่มีสีหน้าภาคภูมิใจอยู่เต็มหน้า “เจ้ายังรู้ว่าตัวเองแซ่โม่ด้วยหรือ!”
“งั้นท่านพ่อ พวกเรากลับบ้านกันดีกว่า เดือนนี้ข้าผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมายเลย เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ท่านฟัง……”
“ใครจะไปอยากฟังเรื่องไร้สาระของเจ้า!” แม่ทัพโม่ปากก็พูดรังเกียจไป ในใจกลับรู้สึกโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
“ไม่ฟังก็ช่างเถอะ ข้าก็ไม่อยากพูดหรอกนะ” โม่หลานจะเดินไปเลย
“ยัยเด็กบ้า ข้าบอกว่าไม่ฟังเจ้าก็จะไม่พูดแล้วหรือไง รีบพูดมาให้ข้าฟังเลย” แม่ทัพโม่รีบติดตามไป
เห็นท่าทางสองพ่อลูกโต้เถียงกันแบบนี้ ดวงตาของโม่ฉีเฟิงก็มีแววขำขันขึ้นมา พอเห็นน้องหญิงกลับมาได้อย่างปลอดภัย เขาก็รู้สึกวางใจแล้วเหมือนกัน
……
ที่จวนซื่อจื่อ
พอหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวกลับมาแล้ว ก็ครุ่นคิดว่าพรุ่งนี้ถ้าเลี้ยงฉลองให้โม่หลาน จะทำอาหารอร่อย ๆ อะไรดี
จวินหย่วนโยว ยื่นมือไปรวบตัวหยุนถิงมากอดไว้ในอก “ก็แค่งานเลี้ยงฉลองงานหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมาเปลืองสมองขนาดนี้หรอก!”
“มันจะได้ยังไงกัน นี่เป็นการออกรบครั้งแรกของโม่หลานกับเสี่ยวลิ่ว และเสี่ยวอันจื่อนะ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปลอดภัยกลับมาได้ แต่ว่าทางนี้ก็มีอันตรายมากมาย ซึ่งก็ต้องลำบากเด็กสองคนนี้แล้ว” หยุนถิงพูดขึ้นมาอย่างปวดใจ
“เพราะว่าเจ้าสอนได้ดีทั้งนั้น ข้าจำได้ว่าร้านของหยุนซูกับหยุนหลีจะเปิดกิจการพรุ่งนี้ พอดีเลยจะได้ไปร้านปิ้งย่างของหยุนซู ถือว่าเป็นการสนับสนุนนางด้วย!” จวินหย่วนโยวเสนอความคิดเห็นขึ้นมา
เขาแค่ไม่อยากให้หยุนถิงเหน็ดเหนื่อยเกินไปเท่านั้น
“เอ่อใช่ซิ ทำไมข้าถึงลืมไปได้นะ งั้นเดี๋ยวข้าจะให้คนไปบอกซูเอ๋อร์สักหน่อย ว่าพรุ่งนี้ตอนเที่ยงให้เก็บห้องส่วนตัวห้องใหญ่ไว้ให้พวกเราด้วย!” หยุนถิงพูดขึ้นมา
“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องให้เจ้ามาเป็นกังวลหรอก เดี๋ยวข้าให้คนไปบอกเองก็พอแล้ว”
“ซื่อจื่อ ท่านนี้ช่างมีน้ำใจจริง ๆ”
“ข้าแค่ปฏิบัติแบบนี้ต่อเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
หยุนถิงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก “อ๋อใช่แล้ว ซื่อจื่อ มีเรื่องหนึ่งข้าอยากบอกกับท่านหน่อย เซียจิ่วเซียวถูกขังอยู่ในหลังสวนของจวนซื่อจื่อเรา ข้าป้อนยาพิษให้เขาไปหลายอย่าง ท่านจะไปดูเขาหน่อยไหม”
ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้พวกโม่หลานกลับมา หยุนถิงก็ลืมเรื่องคนคนนี้ไปเลย
พอได้ยินชื่อคนคนนี้ สีหน้าของจวินหย่วนโยวก็ขมขื่นและเยือกเย็นลงทันที ดวงตาดำเฉียบคมราวกับใบมีด บรรยากาศรอบตัวก็เย็นลงไปหลายองศา
“เขาเป็นลูกชายคนเดียวขององค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่วหรือ?” จวินหย่วนโยวถามขึ้นมา
“ใช่ พวกโม่หลานกับเสี่ยวลิ่วช่วยกันวางแผนจับตัวเขามาได้ จากนั้นก็ให้คนแอบส่งตัวเขากลับมาล่วงหน้า แล้ววันนี้พวกโม่หลานกลับมาแล้ว คาดว่างานเลี้ยงฉลองในพระราชวังตอนกลางคืน ฝ่าบาทจะต้องถามขึ้นมาแน่ ถ้าซื่อจื่ออยากจะจัดการเขาก็รีบลงมือเร็ว ๆ เถอะ!” หยุนถิงตอบกลับไป
“ได้ งั้นเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปดูสักหน่อย” จวินหย่วนโยวจูบลงตรงหน้าผากหยุนถิงทีหนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นและจากไป
จ้องมองแผ่นหลังของซื่อจื่อ หยุนถิงก็ยิ่งรู้สึกสงสารมากยิ่งขึ้น
องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่วเป็นตัวการหลักที่ทำให้พ่อแม่ของซื่อจื่อเสียชีวิตในตอนนั้น ดังนั้นนางจะต้องช่วยซื่อจื่อเอาคืนสักครั้ง สำหรับการแก้แค้นอย่างแท้จริงนั้น ก็ต้องให้ซื่อจื่อเป็นคนฆ่าศัตรูเองกับมือ เพราะว่าไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับศัตรูที่ฆ่าพ่อแม่ได้
เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่คนอื่นทำแทนไม่ได้
จวินหย่วนโยวพุ่งตรงไปที่หลังสวน พอพวกเจ้าหู่ได้ยินว่าพวกโม่หลานกลับเมืองหลวงมาแล้ว ก็ออกไปจากจวนซื่อจื่อเลย ตอนนี้พวกเขาสามารถออกไปเดินเล่นได้อย่างเปิดเผยแล้ว
“เซียจิ่วเซียวอยู่ที่ไหน?” จวินหย่วนโยวถามขึ้นมา
“ซื่อจื่อ เขาอยู่ที่คุกใต้ดินหลังสวนขอรับ” รั่วจิ่งตอบกลับมา
จวินหย่วนโยวยกเท้าแล้วก็ก้าวเดินไปเลย รั่วจิ่งรีบติดตามไปทันที
ในคุกใต้ดิน
เซียจิ่วเซียวไม่ใช่คนที่สูงส่งหยิ่งยโสอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว ตอนนี้ร่างกายเขานอนขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของคุกใต้ดิน ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยเลือด ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดไป
พอเห็นว่ามีคนมา เซียจิ่วเซียวก็รีบพุ่งทะยานมาหา “ช่วยข้าด้วย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย ขอแค่ท่านช่วยข้า เสด็จแม่ของข้าจะต้องตอบแทนท่านอย่างหนักแน่ ไม่ว่าท่านจะมีข้อเสนออะไร นางก็จะต้องตอบตกลงแน่นอน!”
สีหน้าของจวินหย่วนโยวเย็นชาจนถึงขีดสุด เรียวปากเม้มเข้าหากัน ดวงตาดำราวหินอัคนีเฉียบแหลมแต่โหดเหี้ยม บรรยากาศรอบตัวดูอันตรายถึงขีดสุด จ้องมองไปที่ตัวเซียจิ่วเซียวบนพื้นอย่างดูถูก “ถ้าข้าต้องการชีวิตขององค์หญิงใหญ่ล่ะ!”
น้ำเสียงเย็นชา แฝงความเฉียบขาดและโหดร้ายเอาไว้ พอคนได้ยินแล้วก็ขนหัวลุก
เซียจิ่วเซียวนิ่งอึ้งไปทันที แล้วถึงจะเงยหน้าขึ้นมามองไปที่คนตรงหน้า ตอนที่มองเห็นหน้าจวินหย่วนโยวชัดเจนนั้น เซียจิ่วเซียวก็มึนงงไปทั้งตัวเลย
“เจ้า เจ้าคือจวินหย่วนโยวหรือ?”
“ไม่งั้นล่ะ”
“ทำไมเจ้าต้องจับตัวข้ามาด้วย ข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความแค้นอะไรกับเจ้านี่ ทำไมเจ้าต้องให้คนมาวางยาพิษข้าด้วย?” เซียจิ่วเซียวถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ
ช่วงที่ผ่านมาเขาถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินที่มืดมนไร้แสงตะวัน ทุกวันต้องเจ็บปวดราวกับมีมดเป็นหมื่นตัวมากัดกินหัวใจ รู้สึกตายทั้งเป็น ในใจคิดแต่ว่าสักวันจะสามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้
แต่คิดไม่ถึงว่า คนที่จับตัวเขามาจะเป็นจวินหย่วนโยว เขาเป็นยมทูตที่ขึ้นชื่อของทั้งสี่แคว้น จิตใจมืดมน คราวนี้เซียจิ่วเซียวจบสิ้นแล้วจริง ๆ
“ทำไมงั้นหรือ งั้นก็ต้องไปถามองค์หญิงใหญ่แล้วล่ะ!” จวินหย่วนโยวพูดขึ้นมาอย่างดูถูก
“เสด็จแม่ของข้า ไม่มีทาง ตั้งแต่ที่เสด็จแม่ของข้าแต่งงานกับเสด็จพ่อแล้ว ก็ไม่เคยออกมาจากแคว้นเทียนจิ่วเลย นางจะมามีความแค้นกับท่านได้ยังไง ท่านต้องเข้าใจผิดไปแน่ ๆ!” เซียจิ่วเซียวโต้แย้งขึ้นมา
จวินหย่วนโยวจ้องมองไปที่เซียจิ่วเซียวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นจากที่สูงลงต่ำ รอบตัวแฝงไปด้วยกลิ่นอายสังหาร โหดเหี้ยมและอันตราย ราวกับเป็นผีร้ายที่มาจากนรก เขายกเท้าขึ้นมาเหยียบไปที่หัวเข่าของเซียจิ่วเซียว แล้วลงแรงอย่างหนักไปทีหนึ่ง
“แคร๊ก แคร๊ก!” เสียงกระดูกแตกหัก และตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของเซียจิ่วเซียว
สยดสยอง ทำให้คนได้ยินแล้วสั่นสะท้านไปทั้งตัว
รั่วจิ่งที่อยู่ด้านข้าง จ้องมองแล้ว ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเลย แต่กลับไม่มีความเห็นใจและความสงสารเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว