จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 483 เขารังแกข้า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 483 เขารังแกข้า
ขุนนางใหญ่คนนั้นสีหน้ามืดมนราวกับก้นหม้อไปทันที แต่กลับไม่มีคำโต้แย้ง เพราะว่าเรื่องที่โม่หลานพูดมานั้นเป็นความจริง
“หลีอ๋องถูกขนานนามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามของแคว้นต้าเยียน แต่ก็ยังถูกเป่ยหมิงฉี่วางกับดักใส่อยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะพี่โม่หลาน หลีอ๋องไม่มีทางได้กลับมาแน่ ขนาดเทพเจ้าแห่งสงครามที่พวกท่านเรียก มันก็แค่เท่านั้น!” หยุนเสี่ยวลิ่วพูดขึ้นมาอย่างดูถูก
คำพูดประโยคเดียว ทำให้สีหน้าของโม่ฉือหานที่อยู่ในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นถึงขีดสุด เส้นเอ็นบนหน้าผากของเขาปูดโปนขึ้นมา “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเป่ยหมิงฉี่นัดข้าไปเจรจาอย่างสันติ ข้าจะไปตกหลุมพรางของเขาได้อย่างไรกัน!”
“นั่นก็เพราะว่าตัวท่านโง่เขลาเอง ข้าเป็นเด็กคนหนึ่งยังรู้เลยว่าเบื้องหลังแคว้นเป่ยลี่นั้นถูกศัตรูดักหลังอยู่ ใกล้จะจบสิ้นลงเดี๋ยวนี้แล้ว เขามีสิทธิ์อะไรจะมาเจรจาอย่างสันติ แต่ท่านกลับไปเชื่อคำพูดมั่ว ๆ ของเป่ยหมิงฉี่ สมน้ำหน้าที่ไปตกหลุมพรางแล้ว!” หยุนเสี่ยวลิ่วประชดประชันออกไป
“เจ้า เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเจ้ารนหาที่ตายหรือ!” โม่ฉือหานโกรธแค้นถึงขีดสุด แล้วพูดขึ้นมาอย่างโกรธเกลียด
“ปัดโธ่เอ๊ย ข้ากลัวมากเลย ฝ่าบาทท่านเห็นหรือยัง หลีอ๋องไปสู้รบก็ไม่ได้เรื่อง ต่อกรกับเป่ยหมิงฉี่ก็ไม่ได้เรื่อง ดีแต่เก่งอยู่ในบ้าน มีปัญญามารังแกเด็กอย่างข้า ฮือ ฮือ ท่านพ่อ เขารังแกข้า!” หยุนเสี่ยวลิ่วร้องไห้ไปหาหยุนเฉิงเซี่ยงเลย
“โอ๋เด็กดีอย่าร้องนะ มีพ่ออยู่ พ่อจะไม่มีทางยอมให้คนอื่นมารังแกเจ้าแน่ ฝ่าบาทช่วยให้ความเป็นธรรมต่อลูกหม่อมฉันด้วย หลีอ๋องไม่มีปัญญาเองจนไปตกหลุมพรางของเป่ยหมิงฉี่ แล้วมาใส่อารมณ์กับลูกชายหม่อมฉัน มันถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามอะไร ช่างอับอายขายหน้าผู้คนจริง ๆ!” หยุนเฉิงเซี่ยงพูดขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
พอได้รับรายงานจากหยุนถิง บอกว่าพวกเสี่ยวลิ่วจะกลับเมืองหลวงมาในวันนี้ ดังนั้นหยุนเฉิงเซี่ยงก็เลยเข้าวังมาตั้งแต่เช้า เพื่อจะมารอพบหน้าลูกชาย
ตอนนี้มาเห็นสภาพลูกชายร้องไห้น่าสงสารแบบนี้ หยุนเฉิงเซี่ยงก็ต้องปวดใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
นี่เป็นลูกชายที่เขาเพิ่งมามีตอนแก่นะ แล้วออกรบครั้งแรก ช่วงที่ผ่านมานี้หยุนเฉิงเซี่ยงจิตใจกระวนกระวายอยู่ทุกวัน ยังดีที่หยุนถิงจะคอยให้คนไปส่งข่าวให้อยู่ตลอด ไปรายงานสถานการณ์การสู้รบให้ ไม่งั้นหยุนเฉิงเซี่ยงจะต้องเป็นกังวลตายแน่
โม่ฉือหานมีสีหน้าเยือกเย็นและโกรธแค้น ถลึงตามองไปที่หยุนเฉิงเซี่ยง และยังอยากพูดอะไรอีก แต่ถูกฮ่องเต้ขัดจังหวะไป
“พอได้แล้ว เลิกเถียงกันได้แล้ว ครั้งนี้โม่หลานได้รับชัยชนะกลับมา มีผลงานอย่างเด่นชัด ถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพหญิงโดยเฉพาะ ต่อไปให้ดูแลกองทัพพร้อมกับหยุนไห่เทียน
ทหาร ไปเอากระบี่เหล็กนิลเล่มนั้นของข้ามามอบให้โม่หลาน หวังว่าต่อไปเจ้าจะเป็นอย่างฮูหยินเฒ่าฟู่ในอดีต ที่สามารถขจัดความวุ่นวายให้กับข้า และเป็นที่เกรงขามของทั้งสี่แคว้น!
อย่างอื่นก็ให้รางวัลทองคำหมื่นตำลึงกับโม่หลาน และที่ดินอุดมสมบูรณ์พันตารางวา อาวุธสิบกล่อง ผ้าไหมและผ้าแพรร้อยผืน!” ฮ่องเต้พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม
ซูกงกงเป็นคนไปเอากระบี่เหล็กนิลมาด้วยตัวเอง สองมือประคองฝักดาบเอาไว้ แล้วยื่นส่งไปอย่างนอบน้อม
“ขอบพระทัยฝ่าบาท โม่หลานจะต้องทำเผื่อฝ่าบาทให้ดีที่สุด จนกว่าชีวิตจะหาไม่” โม่หลานรีบรับเอาไป และชื่นชอบเป็นอย่างมาก
“หยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่อออกไปรบในครั้งนี้ทำได้ไม่เลว ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าสองคน คนหนึ่งสามารถควบคุมนกอินทรีทองได้ คนหนึ่งสามารถควบคุมงูพิษได้ มันมีเรื่องแบบนี้หรือเปล่า?” ฮ่องเต้ยักคิ้วแล้วถามขึ้นมา
หยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่อทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่พี่ใหญ่เราสอนพวกเรามาทั้งนั้น บอกว่าจะให้พวกเรามีความสามารถเอาไว้ป้องกันตัวสักหน่อย เพราะว่าพวกเรายังเด็กเกินไป ในสนามรบก็มีแต่ดาบกับหอก แต่คิดไม่ถึงว่าจะสามารถช่วยชีวิตหลีอ๋องเอาไว้ได้!”
ตอนที่หยุนเสี่ยวลิ่วพูดคำพูดพวกนี้ ตั้งใจเหล่มองไปที่หลีอ๋องทีหนึ่ง
หลีอ๋องโกรธแทบตาย แต่ติดที่ว่าเสด็จพี่อยู่ที่นี่ด้วย จึงได้แต่อดทนเอาไว้ สภาพที่อดกลั้นแบบนั้น หยุนเสี่ยวลิ่วเห็นแล้วก็รู้สึกหายโกรธเลย
ดวงตาของฮ่องเต้มืดมนอย่างลึกซึ้ง คิดไม่ถึงเลยว่าหยุนถิงจะมีความสามารถแบบนี้ด้วย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เอาความสามารถนี้มาสอนให้กับพวกทหารของข้าซิ” ฮ่องเต้ถามขึ้นมา
ก็เห็นหยุนเสี่ยวลิ่วทำความเคารพอย่างนอบน้อม จากนั้นก็เปิดปากพูดขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันก็อยากสอน แต่พี่สาวหม่อมฉันพูดไว้ว่า สอนให้ลูกศิษย์รู้เรื่องแล้ว อาจารย์ก็จะอดตายเอาได้พ่ะย่ะค่ะ
ถ้าเกิดใคร ๆ ก็รู้จักความสามารถนี้ แล้วเกิดมีลูกศิษย์ทรยศหรือหน่วยสอดแนมเข้ามา แล้วเอาไปสอนให้กับคนสามแคว้นอื่น ๆ พอถึงตอนนั้นจะไม่เท่ากับว่าสร้างศัตรูให้กับแคว้นต้าเยียนของเราหรือ
ถ้าฝ่าบาทต้องการใช้ ก็สามารถเรียกหม่อมฉันกับเสี่ยวอันจื่อมาเข้าเฝ้าได้ตลอดเวลา รับรองว่าพวกเราสองคนจะมาทุกเมื่อ จะมาช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
ไม่ขัดขืนไม่ต่อต้าน ไม่เกรงกลัวไม่หวาดกลัว คำพูดชัดถ้อยชัดคำ เหมือนกับล้อเล่น แต่ก็แสดงออกถึงความจงรักภักดี ทำให้ฮ่องเต้อยากจะโกรธก็ทำไม่ได้
“ฮา ฮา เด็กอย่างเจ้านี่ไม่เลวจริง ๆ มีความกล้าหาญมากจริง ๆ กล้าปฏิเสธข้าซึ่ง ๆ หน้าด้วย หยุนเฉิงเซี่ยง ลูกชายคนนี้ของเจ้ามีความกล้าหาญมากจริง ๆ!” ฮ่องเต้พูดชื่นชมขึ้นมา
หยุนเฉิงเซี่ยงมีสีหน้าอึดอัดใจ รีบอธิบายขึ้นว่า “ฝ่าบาทให้อภัยด้วย เด็กคนนี้เป็นลูกที่หม่อมฉันได้มาตอนอายุมากแล้ว ก็เลยถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กเกินไปหน่อย จนไม่รู้จักหนักเบา ขอฝ่าบาทลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้พูดผิดสักหน่อย ฝ่าบาทไม่ใช่คนใจแคบ ท่านพี่บอกว่าฝ่าบาทเป็นคนฉลาดหลักแหลมและใจกว้าง จะต้องไม่มีทางโกรธข้าแน่นอน” หยุนเสี่ยวลิ่วโต้แย้งขึ้นมา
คำพูดนี้พูดจน ทำให้ฮ่องเต้ต้องเห็นด้วยจนได้ จะมาพูดว่าตัวเองใจแคบต่อหน้าขุนนางทั้งบุ๋นและบู้ได้ยังไงกัน
“ฮา ฮา เจ้าเด็กนี่มีความสง่างามของหยุนเฉิงเซี่ยงอยู่จริง ๆ ไม่เลวเลย ตกรางวัล!” ฮ่องเต้รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
พอฮ่องเต้ตกรางวัลผู้คนเสร็จแล้ว จากนั้นก็เลิกประชุม แล้วผู้คนก็จากไป เหลือไว้แต่เพียงโม่ฉือหาน
“พูดมาซิ ตกลงมันเรื่องอะไรกัน?” ฮ่องเต้ถามขึ้นมา
โม่ฉือหานสีหน้าดำคล้ำ ยืนแทบไม่ไหวแล้ว ซูกงกงรีบให้คนยกเก้าอี้มาให้เขานั่งลง
“เสด็จพี่ เป็นเพราะเจ้าชั่วเป่ยหมิงฉี่คนนั้นทั้งนั้น เขานัดข้าไปคุย แต่ปรากฏว่ากลับมาวางอุบายใส่ข้า แต่สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือ เขากับพวกโม่หลานสมรู้ร่วมคิดกัน มาวางอุบายใส่ข้าด้วยกัน เสด็จพี่ช่วยตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” โม่ฉือหานกัดฟันพูดขึ้นมา
ฮ่องเต้สีหน้าเย็นชา “เจ้าว่า เป่ยหมิงฉี่กับโม่หลานสมรู้ร่วมคิดกันหรือ?”
“ใช่ถูกต้อง ตอนนั้นโม่หลานถูกคนของเป่ยหมิงฉี่จับตัวไว้ ตอนแรกข้าอยากจะช่วยพวกเขาออกมาผ่านการเจรจาโดยสันติ แต่ปรากฏว่าต่อมาข้าถูกวางอุบายใส่ แล้วพวกโม่หลานก็กลับมาถึงค่ายทหารอย่างปลอดภัย แถมยังตั้งใจถ่วงเวลาที่จะไปช่วยข้า สมควรตายมากจริง ๆ!” โม่ฉือหานบอกเล่าสถานการณ์โดยประมาณในตอนนั้นออกไปอย่างละเอียด
ฮ่องเต้ฟังจนขมวดคิ้วขึ้นมาเป็นปม “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอกจริง ๆ ข้าจะต้องตรวจสอบให้ดีแน่นอน ไม่มีทางย่อหย่อนแน่นอน ครั้งนี้เจ้าเองก็ลำบากมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนให้ดี ๆ เถอะ เดี๋ยวข้าจะส่งหมอหลวงหลิวไปตรวจร่างกายให้เจ้า!”
“ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่เห็นอกเห็นใจ!”
“ทหาร ส่งตัวหลีอ๋องกลับไป!” ฮ่องเต้พูดขึ้นมา
ทหารองครักษ์สองนายรีบวิ่งเข้ามา แล้วประคองหลีอ๋องจากไป
“ฝ่าบาท ที่หลีอ๋องพูดมานี้มีความแตกต่างกับที่คุณหนูโม่รายงานมาเป็นอย่างมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ?” ซูกงกงที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นมา
ห่างกันสองสามวันโม่หลานก็จะเขียนเรื่องสถานการณ์ในกองทัพมาเป็นจดหมาย แล้วให้คนส่งมาที่แคว้นต้าเยียนด้วยม้าเร็ว ดังนั้นฮ่องเต้จึงรู้เรื่องสถานการณ์ในกองทัพเป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีองครักษ์ลับของฮ่องเต้คอยติดตามอยู่ ถึงแม้โม่หลานจะพูดจาเกินจริงไปบ้าง แต่องครักษ์ลับก็รายงานเรื่องราวมาอย่างละเอียด แน่นอนฮ่องเต้จึงรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไง
ดวงตาดำสนิทของฮ่องเต้เฉียบแหลม “หลีอ๋องเป็นคนหยิ่งยโสทะนงตัว แปดขวบก็อ่านหนังสือการทหารได้คล่องแล้ว สิบขวบได้เข้าไปต่อสู้ในสนามรบ สิบสองขวบถูกขนานมานว่าเทพเจ้าแห่งสงคราม เป็นคนทะนงตัวมาตลอด และหยิ่งยโสเกินไป
มาวันนี้พอถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง กับเด็กสองคนวางอุบายใส่และกีดกันจนมีสภาพอนาถเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาต้องแบกรับไม่ไหวแน่ ดังนั้นก็เป็นแบบนี้ ข้าแค่ถามไถ่พอเป็นพิธีก็พอแล้ว
แต่พวกโม่หลาน กับหยุนเสี่ยวลิ่วเนี่ยซิที่ทำให้ข้าต้องอ้าปากค้าง ไปบอกกับหยุนไห่เทียนว่าสามารถรับหยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่อเข้าไปในกองทหารเด็กได้แล้ว และฝึกฝนให้ดี ๆ วันข้างหน้าจะต้องกลายเป็นมือซ้ายมือขวาของข้าแน่ ๆ!”
“ฝ่าบาทชาญฉลาดยิ่งนัก!”
อีกด้านหนึ่ง พอพวกโม่หลานออกมาจากพระราชวัง แม่ทัพโม่ก็ได้มารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านมาทำไมหรือ?” โม่หลานถามออกมา
“ยัยเด็กบ้า ข้าก็มาหาเจ้านะซิ ออกไปรบตั้งนานขนาดนี้ ไม่รู้จักส่งข่าวมาให้ที่บ้านบ้าง จนทำให้ข้าคิดว่าเจ้าตายไปในสนามรบซะแล้ว” แม่ทัพโม่พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเย็นชา