จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 431 ล่อเสือออกจากถ้ำ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 431 ล่อเสือออกจากถ้ำ
“เรียนคุณหนูหยุน ปกติชางไท่จื่ออ่านหนังสือ เขียนอักษร ดูแลพวกต้นไม้ดอกไม้ในสวน ไม่มีอะไรพิเศษ ตอนนี้เรื่องการทำความสะอาดกับเก็บกวาดของเป็นหน้าที่ของพวกเราสองคน” ขันทีตอบอย่างนอบน้อม
หยุนถิงเปิดพลิกดูหนังสือ ดูพู่กัน ไม่มีอะไรพิเศษ ไปวนดูในสวนต่อ
ดอกไม้พวกนั้นปกติชางหลันเย่เป็นคนดูแล ก่อนหน้านี้หยุนถิงเองก็เคยเห็นหลายครั้ง ชางหลันเย่โดนพิษได้อย่างไรกัน?
ตามหลักแล้วชางหลันเย่มีองครักษ์ของตนเอง หากมีใครเข้าใกล้เรือนหรือลงมือกับข้าวของของเขา ย่อมต้องโดนจับได้แน่
“สีดินในกระถางดอกไม้นี้ไม่ถูก!” จวินหย่วนโยวที่อยู่ข้างๆพลันบอก
หยุนถิงถึงได้สังเกตกระถางดอกไม้ที่ซ่อนอยู่ในดงดอกไม้ ดินในนั้นดันเป็นสีดำ สีเข้มกว่าดินในกระถางอื่นหน่อย
“ซื่อจื่อท่านตาดีนัก” หยุนถิงอุทานอย่างดีใจ จะยื่นมือไปหยิบ
“ระวัง ใช้สิ่งนี้” จวินหย่วนโยวยื่นพลั่วข้างๆไปให้
“ขอบคุณซื่อจื่อ” หยุนถิงรับมา ใช้พลั่วสะกิดดินขึ้นมาดมๆดู และมองดูอีก สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“คุณหนูหยุน พิษถูกใส่ไว้ในดินรึ?” โม่ฉีเฟิงสอบถามคนอื่นเรียบร้อยแล้ว เดินเข้ามาถามดู
หยุนถิงพยักหน้าเบาๆ “ใช่ นี่เป็นพิษงูไฟที่ร้ายที่สุด หลังจากเทลงบนดอกไม้ใบหญ้า พอแห้งแล้วจะไร้สีและกลิ่น แต่ขอเพียงรดน้ำ พิษงูไฟก็จะเจือจางลงทันที จากนั้นจะกระจายในอากาศ คนที่รดน้ำก็จะดมพิษเข้าไป”
โม่ฉีเฟิงอดเลื่อมใสไม่ได้ “สมเป็นคุณหนูหยุน วิธีการวางยาพิษที่เร้นลับเช่นนี้ คนธรรมดายากจะสืบได้นัก”
“คนวางยาวางเสียเร้นลับเช่นนี้ น่ากลัวจะซ่อนอยู่ลึกมาก หลบซ่อนตัวอยู่หลายปี” หยุนถิงสีหน้าตึงเครียดนัก
“ขอคุณหนูหยุนชี้แนะด้วย!” โม่ฉีเฟิงพูดอย่างนอบน้อม
“ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก ข้าขอไปดูซากศพของชางหลันเย่ก่อนแล้วกัน”
“ตกลง คุณหนูหยุนเชิญ!”
หยุนถิงพึ่งเข้าไปในห้อง คนของห้องเครื่องก็ส่งอาหารมาให้ จวินหย่วนโยวให้พวกเขาวางบนโต๊ะหินในสวน
“ถิงเอ๋อร์ กินข้าวก่อน” จวินหย่วนโยวยังให้คนไปเอาที่รองนั่งจากในห้องมาอย่างเอาใจใส่
หยุนถิงนั่งลง จวินหย่วนโยวกินเป็นเพื่อนนาง
โม่ฉีเฟิงที่อยู่ข้างๆเห็นจวินหย่วนโยวโหมอ่อนโยนเอาใจใส่เช่นนี้ ก็เชื่อในข่าวลือทันที เมื่อก่อนแค่เคยได้ยิน ตอนนี้มาเห็นกับตาตนเอง จวินซื่อจื่อนี่รักใคร่ภรรยาอย่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
แต่โม่ฉีเฟิงไม่ได้เร่งเร้า เขายังคงไปตรวจสอบคนรับใช้คนอื่น
หยุนถิงกินอาหารเช้าเสร็จ จวินหย่วนโยวหยิบผ้ามาเช็ดมุมปากให้นางทันที ความเอาใจใส่นั่นทำเอาคนอื่นอิจฉาไปตามๆกัน
“ซื่อจื่อ ข้าคิดวิธีออกแล้ว” หยุนถิงยิ้มทะเล้น
“อ๋อ?”
“อีกครู่ท่านรอดูอะไรสนุกๆก็พอ”
“ตกลง”
เห็นเพียงหยุนถิงลุกขึ้นเดินไปในห้อง พูดอะไรบางอย่างกับโม่ฉีเฟิง โม่ฉีเฟิงสีหน้าตึงเครียดขึ้นหลายส่วน ไม่ได้พูดอะไร
จากนั้นหยุนถิงเดินไปหาชางหลันเย่ ช่วยเขาจับชีพจร ตรวจสอบสภาพคร่าวๆ จากนั้นหยิบเข็มเงินออกมาแทงลงไปในจุดบางจุดของเขา
ชางหลันเย่ที่เดิมนอนนิ่งไม่ขยับ พลันลุกขึ้นนั่งทันที
ทำเอาโม่ฉีเฟิงและขันทีสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆตกใจงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย
“ชางไท่จื่อตายแล้วมิใช่รึ?” โม่ฉีเฟิงถามอย่างตกตะลึง
“ผีหลอก!” ขันทีสองคนตกใจร้องเสียงดัง
หยุนถิงถลึงตามองมา “ห้ามพูดซี้ซั้ว ชางไท่จื่อไม่ได้ตายเสียหน่อย เขาเพียงแค่หยุดหายใจไปชั่วคราวเท่านั้นเอง สำนักหมอหลวงน่ะมีแต่หมอเก๊ แค่ตายแล้วฟื้นแค่นี้ก็ไม่เป็น!”
ขันทีมองชางไท่จื่ออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เห็นเขาลุกขึ้นนั่งจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนไปอีก
“คุณหนูหยุน นี่มัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
“ชางไท่จื่อโดนพิษหนักนัก ต่อให้เป็นข้าก็ทำได้เพียงระงับพิษในกายเขาชั่วคราว ตอนนี้เขาสลบอยู่ คาดว่าพรุ่งนี้ถึงจะฟื้นคืนสติขึ้นมา!” หยุนถิงอธิบาย
“ดียิ่งนัก ข้าจะรีบส่งคนไปกราบทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้” โม่ฉีเฟิงเรียกองครักษ์มาผู้หนึ่ง ให้เขาไปกราบทูลฝ่าบาท
หยุนถิงลงเข็มให้ชางหลันเย่ต่อไป คนอื่นมัวแต่ตะลึงกับข่าวที่มาอย่างกะทันหันนี่ ขันทีหนึ่งในนั้นอาศัยตอนไม่มีใครสังเกตเขา ถอยออกไปอย่างระมัดระวังจากนั้นก็วิ่งจากไป
อันที่จริงในวินาทีที่เขาออกจากเรือน โม่ฉีเฟิงก็สังเกตเห็นแล้ว เมื่อครู่หยุนถิงให้เขาคอยจับสังเกตว่ามีใครออกไปจากเรือนบ้าง และให้แอบตามไปลับๆ
นั่นไง ขันทีผู้นี้มีปัญหา
หยุนถิงส่งสายตาให้โม่ฉีเฟิง โม่ฉีเฟิงรีบให้คนสนิทของตนตามไป
ฮ่องเต้ได้ยินว่าชางหลันเย่ไม่ได้ตาย ก็ดีใจนัก ระหว่างพูด ฮ่องเต้ไปเรือนของชางหลันเย่อีก
“ข้าได้ยินว่าชางหลันเย่ไม่ได้ตาย เจ้าทำให้เขาตายแล้วฟื้น!” ฮ่องเต้บอกอย่างดีใจ
“กราบทูลฝ่าบาท เพคะ” หยุนถิงตอบ
“สมเป็นดาวนำโชคของข้า ขอเพียงเจ้าช่วยชางหลันเย่ได้ ข้าจะประทานรางวัลให้อย่างงามแน่!” ฮ่องเต้ดีใจเป็นอย่างมาก
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิต้องการรางวัล หากต่อไปหม่อมฉันทำผิดสิ่งใด ขอฝ่าบาทไม่ลงโทษก็พอ!”
“มิเป็นไร เจ้าช่วยแก้ปัญหาและความยุ่งยากให้ข้ามากมายนัก ข้ายังไม่ทันดีใจเลย จะลงโทษเจ้าได้อย่างไร!” ฮ่องเต้ประทานรางวัลให้หยุนถิงมากมายเลยทีเดียว
ข่าวเรื่องชางหลันเย่ตายแล้วฟื้นกระจายไปทั่วพระราชวัง ทุกคนต่างตกตะลึงไปตามๆกัน
“พวกเจ้าได้ยินข่าวแล้วหรือไม่ คุณหนูหยุนช่วยชางไท่จื่อให้ฟื้นได้ หมอหลวงหลิวยังบอกเลยว่าชางไท่จื่อตายแล้ว ฝีมือการแพทย์ของคุณหนูหยุนนี่ช่างดีเลิศจริงๆ” สนมนางหนึ่งชื่นชม
“นั่นสิ หลิ่วเฟยร่างกายไม่สบายมาหลายปี หลายเดือนมานี้เองที่ให้คุณหนูหยุนรักษา ดีขึ้นมากนัก ครั้งนี้คือตายแล้วฟื้นจริงๆ”
“คราวนี้ฝ่าบาทคงถอนหายใจโล่งอกได้แล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นชางไท่จื่อเกิดเรื่อง ต้าเยียนและชางไท่จื่อคงต้องมีศึกต่อกันแน่”
“ไอ้ย๊ะ ฮว๋าเหม่ยเหรินเจ้ารินชาเป็นหรือไม่เนี่ย น้ำชาสาดออกมาแล้วนะ?” เสียงผินบอกอย่างรังเกียจ
ฮว๋าเหม่ยเหรินถึงได้สติกลับมา รีบวางกาน้ำชาลง “ให้พี่สาวทั้งหลายตลกแล้ว ข้าจะเช็ดเดี๋ยวนี้”
“เจ้านี่น้า วันๆทำตัวหยั่งกับท่อนไม้ ทำอะไรก็ไม่ระวัง มิน่าฝ่าบาทถึงไม่ใคร่จะอยากพบเจ้า”
“พอได้แล้วน้องเสียงผิน ต่างเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น ฮว๋าเหม่ยเหรินเองก็มิได้ตั้งใจ เจ้าอย่าพูดอีกเลย” จ้าวหรงฮว๋าออกมาไกล่เกลี่ย
“ท่านพี่หญิงจ้าวพูดถูกแล้ว เห็นแก่หน้าท่านข้าไม่ถือสานางแล้วก็ได้”
“ขอบคุณพี่สาวทั้งหลายที่ไม่รังเกียจ ข้าพลันนึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระ ขอตัวก่อน” ฮว๋าเหม่ยเหรินคารวะให้สนมคนอื่น หมุนตัวจากไป
ไม่มีผู้ใดเห็นเลยว่า ฮว๋าเหม่ยเหรินที่เดิมจืดชืดพอหมุนตัวไปนั้น กลับมีแววตาอำมหิตโหดเหี้ยมวาบขึ้นมา
เหตุใดชางหลันเย่จึงไม่ตาย นางวางพิษงูไฟไปแล้วแท้ๆ และแน่ใจว่าเขาถูกพิษแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้หมอหลวงหลิวก็วินิจฉัยแล้วว่าชางหลันเย่ตายแล้ว
หยุนถิงมีฝีมือเช่นนี้ได้อย่างไร หรือนางจงใจกันแน่?
แต่ฝ่าบาทยังไปดูแล้ว ทั่วทั้งวังต่างเล่าลือกัน และฝีมือการแพทย์ของหยุนถิงก็ดีเลิศจริงๆ บางทีนางอาจจะมีหนทางจริงๆก็ได้
พอคิดถึงตรงนี้ มือที่ซ่อนในแขนเสื้อของฮว๋าเหม่ยเหรินกำหมัดแน่น นางจะไม่ยอมให้ชางหลันเย่รอดเด็ดขาด ไม่มีทาง