จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 408 มีเจ้า ช่างดีจริงๆ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 408 มีเจ้า ช่างดีจริงๆ
หยุนถิงมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ซื่อจื่อยังมีเชื้อไฟอื่นๆอีกหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้ารอชมการแสดงก็พอแล้ว” จวินหย่วนโยวตอบ
“ตกลง”
จากนั้นก็เห็นหลิงเฟิงปล่อยสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับดอกไม้ไฟระเบิดเสียงดังกลางอากาศ
ทันทีที่สัญญาณออกมา จู่ๆทั่วทั้งแคว้นเป่ยลี่ก็มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายมากมายบุกเข้าไปในจวนขุนนางหรือไม่ก็ค่ายทหาร เห็นคนก็ทุบตี และสังหาร และยังจุดไฟเผาทำลายยุ้งฉางในแต่ละพื้นที่อีก——
เป่ยหมิงฉี่ได้รับข่าว ได้ยินว่ายุ้งฉางของท้องพระคลังถูกเผาทำลาย ก็เดือดพล่านเป็นไฟ รีบนำกำลังคนไปช่วยเหลือทันที
เพียงแต่ว่าในตอนที่เขาเร่งไปถึง ยุ้งฉางก็ถูกเผาไปหมดแล้ว เปลวไฟที่โหมกระหน่ำอยากจะช่วยแต่ก็หมดหนทาง ย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงไปครึ่งหนึ่ง ควันหนาทึบลอยเข้าสู่อากาศ เป่ยหมิงฉี่มองด้วยดวงตาที่เบิกโพลง
ความโหดเหี้ยมรอบตัวของเขาแผ่ซ่านออกมาในชั่วพริบตา แฝงไปด้วยความโกรธและเกลียดชังที่ทำลายล้างทุกสิ่ง สายตาเย็นชาดุร้าย
“ขอไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยโปรดลงโทษด้วย ถึงแม้ข้าน้อยจะนำกำลังคนพยายามดับไฟอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเตรียมการมาล่วงหน้าแล้ว ข้าน้อยไม่สามารถหยุดเอาไว้ได้ ข้าน้อยไร้ความสามารถเอง!” แม่ทัพผู้ปกป้องเมืองออกตัวยอมรับผิดทันที
“ลุกขึ้นมาเถอะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า!” เป่ยหมิงฉี่กล่าวด้วยความโกรธ
เขารู้ว่า จวินหย่วนโยวเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ตอนนี้ทำเช่นนี้มันก็โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยแล้ว
คนทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนพากันตื่นตระหนก รวมไปถึงขุนนางราชสำนักพวกนั้น เดิมทียังคาดหวังจะใช้ยุ้งฉางจากท้องพระคลังมาช่วยเหลือ ตอนนี้ยุ้งฉางถูกเผาทำลายไปหมดแล้ว และคนที่ส่งออกไปก็ล้วนถูกฆ่าไปหมด เห็นได้ชัดว่าจะให้พวกเขาอดตาย นี่คือต้องการจะสังหารหมู่หรือ
บรรดาขุนนางล้วนตื่นตระหนก “ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยนี่ต้องทำอย่างไรดี หากไม่มีอาหารอีก เกรงว่าบ้านเมืองจะเกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั่วทั้งแคว้น?”
สีหน้าของเป่ยหมิงฉี่เคร่งขรึม เขาคิดไม่ถึงว่าจวินหย่วนโยวกับซวนอ๋องจะร่วมมือกัน สองคนนี้ประสานงานกันจากภายในภายนอก นี่คือต้องการจะบีบคั้นเขาให้ตาย
“ทุกคนอย่าตื่นตระหนกไป กลับไปดูว่าแต่ละครอบครัวยังมีอะไรกินกันก่อน ลดการปันส่วนรับมือกันไปก่อน ข้าจะคิดหาวิธีเอง” เป่ยหมิงฉี่กล่าวออกมา
“พ่ะย่ะค่ะ!” บรรดาขุนนางกลับกันไปหมดแล้ว เวลานี้พวกเขาย่อมเป็นห่วงว่าในบ้านของตัวเองมีอาหารเท่าไหร่
เป่ยหมิงฉี่โกรธจนลนลาน ดูท่าออกจากเมืองอย่างเปิดเผยไม่ได้แล้ว คงได้แต่ใช้องครักษ์ลับแล้ว
อย่างไรเสียเขาก็เป็นไท่จื่อของแคว้นเป่ยลี่ วางแผนมาหลายปี เดิมทีไม่อยากจะเปิดเผยความสามารถของตัวเองเร็วขนาดนี้ แต่ตอนนี้แคว้นเป่ยลี่เกิดความวุ่นวายภายใน หากไม่ลงมืออีกเกรงว่าทั่วทั้งแคว้นคงจะถึงจุดจบแล้ว
เป่ยหมิงฉี่กลับไปถึงจวนไท่จื่อ ก็ให้องครักษ์ลับส่งอาหารเข้ามาทางช่องทางของตัวเองทันที แจ้งไปยังคนอื่นๆให้ซื้ออาหารจากสามแคว้นและส่งเข้ามา
ทางด้านนี้ ลานของจวินหย่วนโยว
หยุนถิงเห็นองครักษ์เข้ามารายงาน บอกว่ายุ้งฉางของแคว้นเป่ยลี่ถูกเผาทำลาย ยังอดที่จะนับถืออย่างยิ่งไม่ได้ “ซื่อจื่อ ท่านช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”
“ไม่ได้ทำลายล้างแคว้นเป่ยลี่ทันที ถือเป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว” จวินหย่วนโยวกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“ซื่อจื่อกล่าวถูกแล้ว”
องครักษ์คนหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย เป่ยจิ่วฉิงกับซ่างกวนหรูทนไม่ไหวหมดสติไปแล้ว”
“โยนพวกเขาทิ้งไปในถ้ำใต้หน้าผา ไม่ต้องให้อาหาร ข้าจะให้พวกเขาตายทั้งเป็น!” จวินหย่วนโยวกล่าวอย่างแข็งกร้าว
“ขอรับ!”
หยุนถิงถึงได้รู้สึกถึงวิธีการทรมานผู้คนมากมายของซื่อจื่อ ถ้ำใต้หน้าผาย่อมไม่ใช่สถานที่ที่คนจะเข้าถึงได้อยู่แล้ว ไม่มีทางขอความช่วยเหลือ และไม่มีอาหาร คนเราหากหิวโหยสุดขีดแล้วเรื่องอะไรก็สามารถทำได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะสองคนที่แทบอยากจะให้อีกฝ่ายตาย ผลลัพธ์สามารถจินตนาการได้เลย
“คิดว่าข้าโหดร้ายมากเลยใช่ไหม?” จวินหย่วนโยวถาม
หยุนถิงส่ายหน้าเบาๆ “เปล่าหรอก การกระทำของซื่อจื่อข้าสามารถเข้าใจได้ ความแค้นของพ่อแม่ไม่อาจอยู่ใต้แผ่นฟ้าเดียวกันได้ หากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าก็จะไม่ปรานีเช่นกัน”
จวินหย่วนโยวยื่นมือเข้ามา ดึงหยุนถิงเข้าไปในอ้อมแขนของตัวเอง “มีเจ้า ช่างดีจริงๆ”
ดวงตาคู่สวยของหยุนถิงมีความสุกสกาวเล็กน้อยแว๊บผ่านไป “ซื่อจื่อ ในเมื่อท่านปลุกระดมความวุ่นวายภายในขึ้นมาแล้ว หากขายอาหารในเวลานี้ ต้องเป็นราคาสูงเสียดฟ้าแน่นอน ยังสามารถทำเงินได้มากมายอีกด้วย”
“เจ้าอยากหาเงิน?”
“ข้าจะหาเงินให้ซื่อจื่อ อย่างไรเสียพวกเขาล้วนต้องรอความตายอยู่แล้ว สามารถหาเงินได้บ้างก็ดี อย่างไรเสียโอกาสนี้ก็หาได้ยากจริงๆ เกรงว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” หยุนถิงหัวเราะแฮะๆ
“เจ้าอยากทำก็ไปทำเถอะ แต่ว่าต้องระวังตัว เป่ยหมิงฉี่ในเวลานี้ก็เหมือนกับสุนัขบ้า เห็นคนก็กัดไปเรื่อย” จวินหย่วนโยวกำชับ
อย่างไรเสียไท่จื่อแห่งแคว้นถูกบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาสมควรต้องตอบโต้กลับจริงๆ
“วางใจเถอะ รับรองว่าจะไม่ก่อให้เกิดความสงสัยแน่” หยุนถิงยิ้มอย่างได้ใจ
นางให้ซูหลินติดต่อคนทางฝั่งแคว้นเป่ยลี่ทันที ติดสินบนฮูหยินของพ่อบ้านคนหนึ่ง ให้นางเป็นคนขายออกไป บอกว่าขายย่อมไม่ใช่ขายอย่างโจ่งแจ้งอยู่แล้ว แต่ขายให้กับฮูหยินของขุนนางพวกนั้น
ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนไม่มีอาหาร ยุ้งฉางของท้องพระคลังก็ถูกเผาทำลายอีก จู่ๆมีคนบอกว่ามีอาหาร ฮูหยินสูงศักดิ์ในราชสำนักพวกนั้นย่อมยินดีอย่างยิ่งอยู่แล้ว พากันนำของมีค่าในบ้านไปซื้อ
“จ้าวฮูหยิน ข้าวสารของท่านจะแพงเกินไปหน่อยแล้วกระมัง หนึ่งร้อยตำลึงห้าร้อยกรัม” สตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“หลิวฮูหยิน ทุกวันนี้ข้าวสารก็คือชีวิต ยุ้งฉางของท้องพระคลังก็ถูกทำลายไปแล้ว หากท่านยังไม่ซื้ออีก พรุ่งนี้ข้าก็จะขึ้นราคาเป็นสองร้อยตำลึงต่อห้าร้อยกรัมแล้ว นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะ เพราะข้ากับท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันถึงได้ถึงนึกท่าน ท่านไม่ซื้อมีคนรอจะซื้ออีกมาก” ฮูหยินจ้าวกล่าวด้วยความไม่พอใจ
ผู้สูงศักดิ์ได้ยินก็ตื่นตระหนกทันที “ข้าไม่ได้พูดว่าจะไม่ซื้อ อาหารในบ้านของข้าก็พอแค่สองวันเท่านั้น เจ้ามีเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก คนหนึ่งจำกัดแค่หนึ่งถุง หนึ่งถุงมีสิบโล เจ้าเอาไปกินก่อน คนอื่นๆก็ต้องการเหมือนกัน” ฮูหยินจ้าวอธิบาย
“ถูกต้อง หลิวฮูหยินท่านจะสนใจแต่ตัวเองไม่สนความเป็นความตายของคนอื่นไม่ได้นะ หาได้ยากที่ฮูหยินจ้าวจะคิดถึงพวกเรา ให้ข้าหนึ่งถุง” ฮูหยินสูงศักดิ์กล่าว
คนอื่นๆพากันเห็นด้วยอย่างยิ่ง รีบควักเงินทันที คนที่ไม่มีเงินก็นำของมีค่าในบ้านมาจำนองโดยตรง
ภายในเวลาไม่นาน ข้าวสารหนึ่งร้อยถุงก็ถูกแย่งซื้อไปจนหมด ยังมีคนมากมายที่ซื้อไม่ได้ ผิดหวังกลับไป
คนที่ซื้อข้าวสารได้รู้สึกยินดีและดีใจอย่างยิ่ง รีบกลับไปทันที คนที่ซื้อไม่ได้ก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันถัดไป นี่เป็นเรื่องดีที่ช่วยชีวิต ย่อมไม่มีคนออกไปพูดข้างนอกอยู่แล้ว นอกเสียจากว่าตัวเองก็ไม่อยากมีชีวิตรอดแล้ว
แต่แล้ววันรุ่งขึ้นพวกเขาไปหาฮูหยินจ้าวอีก กลับได้รับการแจ้งว่าข้าวสารห้าร้อยตำลึงต่อห้าร้อยกรัม ทุกคนไม่พอใจในทันที แต่กลับซื้ออีกครั้ง อย่างไรเสียตอนนี้อาหารประเภทข้าวสารและแป้งขาดแคลน สามารถซื้อได้ก็ไม่เลวแล้ว ใครยังจะสนใจเงินเล็กน้อยนี่อีก
วันที่สาม หนึ่งพันตำลึงต่อข้าวสารห้าร้อยกรัม
วันที่สี่ สองพันตำลึงต่อข้าวสารห้าร้อยกรัม
วันที่ห้า ก็ได้ยินว่าไท่จื่อสั่งให้คนส่งอาหารเข้ามาแล้ว มีหลายร้อยโล แต่เมืองหลวงมีชาวบ้านและขุนนางมากมาย แจกจ่ายให้ทุกครัวเรือนยังไม่ถึงห้าโล นี่ทำให้การค้าของฮูหยินจ้าวรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น
และหยุนถิงมองดูตั๋วเงิน และของมีค่าที่กองอยู่ในลาน ดีใจจนปากฉีกไปถึงรูหู
“ซื่อจื่อ นี่ช่างเป็นวันที่นับเงินจนมือเป็นตะคริวจริงๆ ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“เจ้านี่นะ เห็นเงินแล้วมีความสุขกว่าเห็นข้าเสียอีก” จวินหย่วนโยวบ่น
หยุนถิงเดินเข้ามา และนั่งอยู่บนตักของจวินหย่วนโยวโดยตรง “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในสายตาของข้าซื่อจื่อสำคัญที่สุดแล้ว” ขณะที่กล่าวไปก็เงยหน้าไปจูบจวินหย่วนโยว
จวินหย่วนโยวตัวแข็งทื่อ จากนั้นนัยน์ตาก็แผ่ซ่านไปด้วยรอยยิ้ม
หาได้ยากที่นังหนูคนนี้จะริเริ่มเช่นนี้ มือใหญ่ของจวินหย่วนโยวคว้าหยุนถิงมากอดเอาไว้ เปลี่ยนจากฝ่ายรับมาเป็นฝ่ายรุกประทับจูบนี้ให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น