จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 373 ขอแค่หยุนถิงชอบกิน สนใจฐานะทำไมกัน
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 373 ขอแค่หยุนถิงชอบกิน สนใจฐานะทำไมกัน
“จ้าวเคอท่านเขียนโคลงกลอนไว้มากมิใช่รึ เอาออกมาให้ทุกคนชื่นชมเสนอความคิดเห็นสิ ให้คนยกโต๊ะออกมา แบบนี้ทุกคนก็สามารถท่องโคลงเขียนอักษรได้เองด้วย!” ฉินจิ้งอี๋เสนอ
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” จ้าวเคอที่กำลังปวดหัวไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี รีบทำตามทันที
ในสวน หยุนถิงกับโม่หลานประลองกันเย พวกหยุนเฉิงเซี่ยงกับซวนอ๋องยืนดูอยู่ข้างๆ องค์ชายสี่เปิดรับพนันทันที ให้ทุกคนลงเงินตามสะดวก พนันว่าใครชนะ
คนที่มาร่วมเป็นคนที่สนิทสนมกับหยุนถิง ทุกคนเลยไม่เกรงใจละ
พอโม่หลานได้ยินว่ามีแค่ซูชิงโยวที่พนันว่านางจะชนะ สีหน้าดำทะมึนทันที “พวกเจ้านี่จะไว้หน้าข้าหน่อยมิได้รึ ไม่เชื่อในฝีมือข้าเช่นนี้ ชิงโยวดีกว่าใครเลย”
ซูชิงโยวยิ้มเก้อเขิน “ข้าเห็นว่าไม่มีใครลงข้างเจ้าเลย กลัวเจ้าเสียหน้า เลยลงน่ะ”
คำพูดเดียวทำเอาโม่หลานแทบอยากตาย “พูดความจริงอะไรน่ะ จะเล่นให้สนุกได้ไหม”
ฉินจิ้งอี๋ให้จ้าวเคอพาตนไปดูที่ห้องครัวหน่อย จะได้ไปช่วยเหลือ สุดท้ายเห็นขบวนคนของหอใต้หล้ายกอาหารเข้ามา
ฉินจิ้งอี๋รู้ว่านี่เป็นความคิดของหยุนถิง ก็รีบให้คนจัดแจงโต๊ะ
ท่านแม่จ้าวเคอซาบซึ้งใจนัก สมเป็นคุณหนูตระกูลสูง ทำงานขึ้นมาเป็นระเบียบเรียบร้อย ดียิ่งนัก
ซูชิงโยวกำลัวงดูหยุนถิงทะเลาะกับโม่หลาน โม่หลานพลันถอยหลังจนเกือบโดนซูชิงโยว ซูชิงโยวหลบทันที แต่ไม่รู้ว่าสะดุดขาใคร จะล้มลงพื้น
หยุนไห่เทียนที่อยู่ข้างๆเห็นดังนั้น รีบพยุงนางไว้ ซูชิงโยวเลยสะดุดเข้าไปในอ้อมแขนเขา
พอเงยหน้ามาก็สบตาเข้ากับดวงตาดำขลับลุ่มลึกดุจทะเลของหยุนไห่เทียน ซูชิงโยวบื้อไปเลย
“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?” หยุนไห่เทียนถามพลางพยุงนางให้ยืนตรง
ซูชิงโยวถึงได้สติกลับมา ใบหน้าแดงเรื่ออย่างกระดากอาย “ข้ามิเป็นไร ขอบคุณท่านแม่ทัพมาก”
“มิเป็นไร คราวหน้าระวังหน่อย” หยุนไห่เทียนเตือน
“เจ้าค่ะ”
“ไอ้หยา หยุนถิงเจ้าลอบกัดข้า นี่ไม่นับ!” โม่หลานแผดเสียงบอก
ตอนนี้นางโดนหยุนถิงล็อคแขนไว้ด้านหลัง ขยับตัวไม่ได้เลย และสลัดไม่หลุดด้วย ทำเอาโม่หลานโกรธจนเตะไปหาหยุนถิงที่อยู่ข้างๆ
สุดท้ายโดนหยุนถิงจี้สกัดจุดไว้จนขยับตัวไม่ได้เลย ทำเอานางโกรธกัดฟันกรอด
“หากข้าเป็นศัตรูของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะให้โอกาสเจ้าเอาคืนรึ!” หยุนถิงแค่นเสียงเรียบ
โม่หลานสีหน้าทะมึน ปวดแขนนัก มาประลองกันอีกครั้ง”
“เจ้าเป็นสตรีวันๆเอาแต่ฆ่าฟันไปมาทำอะไร มิสู้เรียนรู้เรื่องทำมาค้าขายกับหยุนถิงดีกว่า หาเงินสะสมเป็นทรัพย์สินเจ้าสาวให้ตนมากหน่อยไง” องค์ชายสี่
“เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เจ้าก้อนเงิน” โม่หลานบ่น
“นังหนูน่าตายนี่ เจ้าบอกว่าใครเป็นเจ้าก้อนเงินกัน ข้าอาศัยฝีมือตนเองหาเงิน ไม่ได้ขโมยหรือแย่งชิงมา เจ้าน่ะอิจฉาริษยาข้า” องค์ชายสี่ถลึงตาใส่นาง
“ใครสนใจกัน ทั้งตัวมีแต่กลิ่นเงิน”
เห็นทั้งสองทะเลาะต่อปากต่อคำกัน หยุนถิงรีบปราม “อย่ามัวทะเลาะกันเลย วันนี้เป็นงานขึ้นบ้านใหม่ของจ้าวเคอ พวกเจ้าสองคนอย่ามาทำลายบรรยากาศสิ”
“รู้แล้ว”
“คุณหนูหยุน ทุกคนเชิญเข้าด้านในเถอะ อาหารเตรียมไว้พร้อมแล้ว” จ้าวเคอเอ่ยขึ้น
ทุกคนเลยพากันเข้าไปข้างใน โต๊ะใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมสี่โต๊ะจัดวางเข้าด้วยกัน บนนั้นเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสมากมาย ทุกคนพากันเข้านั่งประจำที่
จ้าวเคอบอกอย่างเก้อเขินว่า “วันนี้ขอบคุณทุกท่านมากที่มาร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ของบ้านข้า อาหารมื้อนี้คุณหนูหยุนล้วนให้ทางหอใต้หล้าส่งมาให้ บ้านข้าเตรียมไว้ไม่มากนัก ขอทุกท่านโปรดอภัยด้วย”
“มิเป็นไร คนกันเองทั้งนั้น เรียกท่านแม่เจ้ามากินด้วยกันเถอะ” หยุนถิงบอก
จ้าวเคออยากจะบอกว่าไม่ต้องหรอก ฉินจิ้งอี๋ก็พาท่านแม่จ้าวเคอเข้ามา ท่านแม่จ้าวเคอพอเห็นหยุนถิง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คุกเข่าลง พลางพูดซาบซึ้งมากมาย
ทำเอาหยุนถิงกระดากนัก รีบพยุงนางขึ้นมานั่ง
ทุกคนหิวกันหมดแล้ว เลยเริ่มกิน
หยุนถิงคีบอาหารให้หยุนเฉิงเซี่ยง หยุนเฉิงเซี่ยงพอใจมาก “ลูกสาวนี่ดีนะ รู้จักเอาใจท่านพ่อ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ลูกสาวน่ะเป็นยอดดวงใจของท่านพ่ออยู่แล้ว” หยุนถิงเย้าหยอก หันไปคีบกุ้งตัวหนึ่ง ทันใดนั้นมีตะเกียบอีกคู่มาคีบกุ้งตัวนั้นด้วย
หยุนถิงมองฝั่งตรงข้าม ตะลึงเล็กน้อย “โม่ฉือหาน เจ้ามาได้อย่างไรกัน?”
เธอจำไม่ได้ว่าให้คนขับรถม้าไปบอกหลีอ๋องนี่นา
โม่ฉือหานสีหน้าเย็นชาทันที นางผู้นี้ตาบอดรึ จนถึงตอนนี้ถึงสังเกตเห็นตน จึงบอกอย่างหงุดหงิดว่า “วันนี้เป็นงานขึ้นบ้านใหม่ของนายสนองจ้าว ข้าย่อมเป็นตัวแทนฝ่าบาทมาร่วมงานอยู่แล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” หยุนถิงหันตะเกียบไปคีบอาหารอย่างอื่น
กุ้งตัวนั้นที่โม่ฉือหานคีบก็มาวางอยู่ในจานตนเอง อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจว่ากุ้งอะไร เพียงแต่คิดว่าหยุนถิงก็ชอบกินเหมือนกัน เป็นสิ่งที่มีร่วมกันเพียงสิ่งเดียวของเขากับหยุนถิง เลยคีบกลับมา
ซวนอ๋องเห็นอย่างนั้น ก็ลุกขึ้นยืน ไปยกกุ้งจานนั้นมาวางไว้หน้าหยุนถิงเลย “ชอบกิน ก็กินให้มากหน่อย”
โม่ฉือหานถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล “ซวนอ๋อง เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?”
“ข้าเห็นหยุนถิงชอบกินกุ้ง เลยยกมาให้ หรือว่าหลีอ๋องไม่เคยเห็นกุ้งรึ?” โม่เหลิ่งเหยียนย้อนถาม
“ใครบอกว่าข้าไม่เคยเห็นกัน ซวนอ๋องทำเช่นนี้คู่ควรกับฐานะรึ?”
“ขอเพียงหยุนถิงชอบกิน สนใจฐานะทำไมกัน”
คนอื่นพากันตะลึง ซวนอ๋องผู้นี้ปกป้องหยุนถิงมากไปหน่อยกระมัง นี่ยังเป็นซวนอ๋องที่เย็นชาไร้หัวใจ โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่มีความเห็นใจที่พวกเขารู้จักอยู่รึ ทุกคนพากันสงสัยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นตัวปลอม
หยุนเฉิงเซี่ยงที่อยู่ข้างๆเห็นแล้วพอใจนัก ต่างว่ากันว่าซวนอ๋องนั้นเย็นชาไร้หัวใจ แต่กลับเอาใจใส่หยุนถิงถึงเพียงนี้ หากเขาเป็นลูกเขยตนก็ไม่เลวเลยนะ
ไอ้หยา เขาคิดอะไรอยู่นี่ จวินซื่อจื่อดีที่สุด หยุนเฉิงเซี่ยงรีบฆ่าความคิดนี้ทิ้งไปเร็ว
“กุ้งจานเดียวต้องขนาดนี้ไหม หากอยากกิน ก็ไปหากินที่หอใต้หล้าสิ” โม่หลานเสนอ
“พูดถูกต้องแล้ว ข้ามีเรื่องจะบอกทุกคนพอดี ข้ามีหนทางหาเงินทางหนึ่ง เดิมคิดจะรวยคนเดียว เห็นพวกเจ้าร่วมมือดีเช่นนี้ ข้าแบ่งปันให้พวกเจ้าละกัน” หยุนถิงพูดเรื่องเก็บเกี่ยวผลผลิตออกมาคร่าวๆ
ทุกคนพากันชมเชยไม่ขาดปาก ปรบมือร้องดี ทุกคนเห็นด้วยที่จะเข้าร่วม ขนาดท่านแม่จ้าวเคอเองยังทนไม่ไหว
“คุณหนูหยุน ข้าขอเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่ ให้ข้าทำอะไรก็ได้ วันๆข้าว่างมิมีอะไรทำ หากทำให้ที่บ้านมีรายได้บ้างก็ดี” ท่านแม่จ้าวเคอบอก
“ท่านแม่ ร่างกายท่านยังไม่หายดีเลย อีกอย่างเก็บเกี่ยวน่ะทำที่เรือนนอกของซื่อจื่อ ไปกลับต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามนะ” จ้าวเคอเป็นห่วง
“มีอะไรล่ะ ถึงเวลานั้นข้านั่งรถวัวลากไปทุกวันก็ได้แล้ว นั่งรถมิเหนื่อยสักหน่อย”
“แน่นอนว่าได้ ในเมื่อท่านป้าอยากจะเข้าร่วมก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ทุกบ้านส่งตัวแทนมาหนึ่งคน จากนั้นตามไปร้านของย่างเสียบไม้ขององค์ชายสี่เรียนสักหลายวัน รออีกหลายวันเริ่มงานแล้วพวกเราก็เริ่มหาเงินได้เลย” หยุนถิงตอบ
“ไม่ต้องการเงิน และไม่ต้องการเงินค่าเช่า หยุนถิงนี่ดูไม่เหมือนเจ้าเลยนะ?” องค์ชายสี่สงสัย