จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 316 กล้าลวนลามฮูหยินของข้า หาเรื่องตาย
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 316 กล้าลวนลามฮูหยินของข้า หาเรื่องตาย
“เจ้าว่าคุณหนูหยุนโง่หรือไม่ จะให้คนขายหวีกับพระ ความคิดนี้มันช่างเหลือเชื่อเสียจริง”
“ช่างปวดหัวเสียจริงนะ ใครไม่รู้กันบ้างว่าพระไม่มีผม ไม่จำเป็นต้องใช้หวีเลย”
“ข้าว่า เพราะคนมากมายต่างอิจฉาความสามารถของคุณหนูหยุน อยากจะติดตามนาง แต่คุณหนูหยุนเองก็มิใช่คนโง่ ต้องดูออกถึงความคิดไม่ดีของคนพวกนั้นแน่ ดังนั้นเลยจงใจให้โจทย์ยากเช่นนี้ ให้พวกเขายอมล่าถอยไปเอง”
“หากใครสามารถขายหวีหนึ่งร้อยอันให้พระได้จริงๆ ข้าจะคุกเข่าให้เขาเลย”
ประชาชนในท้องถนนแตกฮือไปตามๆกัน เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องพูดคุยระหว่างทานน้ำชาและหลังอาหารของทุกคนไป ทุกคนต่างพากันสงสัยว่าอีกสามวันให้หลังจะมีคนทำได้จริงหรือไม่
ซวนอ๋องย่อมได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน เขาเลิกคิ้ว รีบให้คนเตรียมรถม้ามุ่งตรงไปยังวัดชิงหยุนทันที
ข่าวนี้ลือเข้าไปในวังเช่นกัน พอฮ่องเต้ได้ยินก็หัวเราะร่วนออกมา “หยุนถิงผู้นี้พูดทีก็ทำคนตกใจทีเดียว นางดันคิดออกมาได้ นังหนูนี่น่าตีจริงเชียว”
หลังจากหัวเราะแล้ว ฮ่องเต้รีบให้องครักษ์ไปจับตาดูทันที เขาเองก็อยากรู้ผลในอีกสามวันให้หลัง
คนอื่นเองก็ได้ยินเช่นกัน คนมากมายพากันเร่งรีบไปที่วัดชิงหยุน บ้างไปดูเรื่องสนุก บางอยากอาศัยโอกาสนี้แสดงสติปัญญาให้ดี จะได้คอยติดตามหยุนถิง
ดังนั้นเพราะคำพูดเดียวของหยุนถิง วัดชิงหยุนจึงได้ต้อนรับแขกเหรื่อมากมายอย่างไม่มีเคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ผู้คนมากันอย่างล้นหลาม
ส่วนหยุนถิงตั้งใจไปหาเจ้าอาวาส เพื่อพูดเรื่องนี้กับเขา เจ้าอาวาสเองก็สงสัยเช่นกัน ย่อมรับปากอยู่แล้ว จัดแจงให้พระหลายคนในวัดรับผิดชอบแจกจ่ายหวี
โรงเจด้านหลังวัด
หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวกำลังทานข้าว มองดูอาหารเจเต็มโต๊ะ อย่างเช่น ผักกาดขาว เต้าหู้ ถั่วลันเตา วุ้นเส้นเป็นต้น หยุนถิงพลันนึกถึงสตูว์สุ่มของยุคปัจจุบันขึ้นมาได้
“ซื่อจื่อ อาหารเจนี่รสชาติอ่อนดีนะ” หยุนถิงเอ่ย
“หากเจ้าอยากกินเนื้อ พรุ่งนี้กลับไปกินนะ” จวินหย่วนโยวตอบ
“ไม่ต้องหรอก เพียงแต่ผักเต้าหูมากมายเช่นนี้ เอามาผัดกินเช่นนี้ไม่มีรสชาติเลย พรุ่งนี้ข้าแสดงฝีมือให้ท่านดูดีกว่า” หยุนถิงยิ้มเจ้าเล่ห์ดุจหมาจิ้งจอก
“ตกลง”
สำหรับฝีมือการทำอาหารของหยุนถิงนั้น จวินหย่วนโยวไม่เคยสงสัยเลย
กินอิ่มนอนหลับ หยุนถิงก็อยากไปห้องน้ำ เดิมจวินหย่วนโยวจะไปด้วย แต่หยุนถิงไม่ยอม
คนที่มาไหว้พระในวัดมีมากขนาดนี้ หากให้ทุกคนเห็นซื่อจื่อยืนรออยู่ข้างห้องสุขาหญิง มันไม่เหมาะสมเลย
ถามพระทางวัด หยุนถิงเห็นห้องสุขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เลยไปเอง หลงเอ้อร์แอบตามคุ้มครอง จวินหย่วนโยวเลยไม่เป็นห่วง
หยุนถิงมุ่งไปห้องสุขา เสร็จธุระก็ออกมา เธอเห็นต้นดอกท้อเต็มเรือนด้านหลังกำลังบาน ตอนนี้เป็นต้นฤดูร้อนแล้ว กลีบดอกท้อหล่นร่วงกราวเต็มพื้น ก็เป็นทิวทัศน์อย่างหนึ่ง
“แม่นาง มาคนเดียวรึ มาอยู่รวมกับพวกพี่ชายดีหรือไม่?” เสียงนักเลงหนึ่งดังขึ้น
หยุนถิงเงยหน้ามอง เห็นคุณชายหน้าตาลับๆล่อๆ หน้าตานักเลงในชุดคุณชายคนหนึ่งกำลังมองตนด้วยสายตาโลมเลีย
“ขอเพียงเจ้าปรนนิบัติพวกเราสองคนให้ดี รับรองว่าต่อไปเจ้าจะอยู่สุขสบาย เต็มไปด้วยลาภสมบัติ ใช้ไม่หมดไม่สิ้นเลยทีเดียว” หมูอ้วนที่รูปร่างท้วมอีกคนบอก
หยุนถิงมองพวกเขาสองคนแล้วขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร
“คงมิใช่หญิงใบ้หรอกนะ หน้าตางดงามเพียงนี้น่าเสียดายนัก แต่เอาแค่หน้าตานี้ ขอเพียงเจ้ายอมข้า ข้าก็จะดีกับเจ้าแน่นอน” คุณชายท่าทางลับๆล่อๆบอก
“แม่นางอย่ากลัวไปเลย ข้าน่ะอ่อนโยนมากนะ” หมูอ้วนยื่นมือเข้ามา
ไม่คิดว่ามาวัดชิงหยุนก็สามารถได้เจอสตรีงามหยดย้อยเยี่ยงนี้ เป็นใบก็ดี นางจะได้ไม่อาจส่งเสียงร้องได้
ดวงตาหยุนถิงวาบแววเย็นชาและไม่แคร์ผ่าน ในตอนที่มือหมูอ้วนกำลังจะโดนตัวเธอ หยุนถิงก็คว้าหมับข้อมือเขา และบิดอย่างรวดเร็วแรงเต็มเหนี่ยว
“พลั่ก!”
“อ๊า! เจ็บนัก มือข้า นังหญิงน่าตายนี่ กล้าหักมือของข้า หาเรื่องตาย ซูเหล่าซานช่วยข้าสั่งสอนนาง!” หมูอ้วนร้องโหยหวน
ซูเหล่าซานเองก็ตกใจมาก เมื่อครู่เขาคงตาฝาดไป หญิงผู้นี้ร่างอ่อนแอบอบบาง จะหักมืออีกฝ่ายง่ายๆได้อย่างไร เขาต้องเห็นภาพลวงตาแน่
“แม่นาง เจ้าโทษพวกเราสองคนไม่ได้แล้วนะ เจ้าลงมือก่อนนะ!” ซูเหล่าซานบอก และพุ่งโจมตีหยุนถิงทันที
“อ๊าก!” เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้น ตัวซูเหล่าซานลอยกระเด็นออกไปเจ็ดแปดเมตร กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ถลึงตามองใส่คนข้างหลังอย่างเดือดดาล
พอเห็นชัดว่าคนผู้นั้นคือใคร ซูเหล่าซานก็ตกใจจนใบหน้าซีดเผือด
“จวิน จวินซื่อจื่อ!”
โจวเทียนหู่ที่เจ็บจนกัดฟันกรอดก็ตกใจอึ้งไปเลย เขามองคนที่มาอย่างตะลึงไม่เชื่อสายตาตนเอง “จวินซื่อจื่อ ท่านมาได้อย่างไรเนี่ย?”
“หากข้าไม่มา คงไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนคิดจะล่วงเกินฮูหยินข้า เมื่อครู่เจ้าใช้มือข้างไหนแตะต้องฮูหยินของข้ากัน?” จวินหย่วนโยวตะคอกอย่างเดือดดาล
น้ำเสียงกระหายเลือด แฝงแววเหี้ยวโหดและเย็นเยียบ ทำเอาคนฟังสะท้านเยือก
โจวเทียนหู่ตกใจเข่าอ่อนคุกเข่าลงทันที “จวินซื่อจื่อ ท่าน ท่านบอกว่าผู้นี้คือฮูหยินของท่าน จะเป็นไปได้อย่างไร นางเป็นใบ้แท้ๆ นางจะเป็นคุณหนูหยุนไปได้อย่างไรกัน?”
“ใครบอกว่าข้าเป็นใบ้กัน ข้าแค่ไม่คิดจะพูดจากับตัวโง่งมอย่าพวกเจ้าสองคนเท่านั้นเอง!” หยุนถิงแค่นเสียงเย็น พลางเดินไปยืนข้างกายจวินหย่วนโยว
“ซื่อจื่อ เมื่อครู่เขาสองคนรังแกข้า บอกว่าให้ข้าปรนนิบัติพวกเขาให้ดี หากไม่ยอมตาม จะจับข้าห้าม้าแยกร่าง สับเป็นแปดชิ้นเลย!”
บรรยากาศรอบกายจวินหย่วนโยวเย็นลงจนติดลบ ดวงตาดำขลับเข้มปลาบดุจใบมีด สีหน้าเย็นเยือกดุจน้ำค้างฤดูหนาว ถลึงตาใส่คนสองคนที่พื้นด้วยไออำมหิตและเหี้ยมโหดพร้อมทำลายล้างโลก
“กล้าคิดล่วงเกินฮูหยินของข้า ข้าจะให้พวกเจ้าจะอยู่ก็อยู่ไม่ได้ จะตายก็ตายไม่ได้!”
“จวินซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย พวกข้าไม่รู้จริงๆว่านางคือคุณหนูหยุน เป็นฮูหยินของท่าน หากรู้ต่อให้พวกข้ากล้าเพียงใด ก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นนี้ดอก พวกข้ามิได้พูดเสียหน่อยว่าจะจับนางสับเป็นแปดชิ้น หรือห้าม้าแยกร่างนะ” ซูเหล่าซานรีบขอร้องทันที
“จวินซื่อจื่อ ขอท่านโปรดละเว้นด้วย อย่าถือสาหาความกับคนชั่วช้าอย่างพวกข้าสองคนเลย พวกเราตาหามีแววไม่เอง พวกเราสมควรตาย ต่อไปพวกเราไม่กล้าอีกแล้วส ขอจวินซื่อจื่อให้หนทางรอดแก่พวกเราเถิด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่คุณหนูหยุนพึ่งหักมือข้าไป ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ” โจวเทียนหู่อ้อนวอนพลางทนความเจ็บปวดที่ข้อมือ
ดวงตาดำขลับเย็นเยียบของจวินหย่วนโยวหรี่ลงเล็กน้อย “หักแขนเจ้าข้างหนึ่ง ลงโทษน้อยเกินไป บุตรชายของจงซูลิ่ง ลูกชายคนโตของรองเสนาบดีกรมโยธาธิการ กล้าลวนลามฮูหยินของข้าต่อหน้าธารกำนัล ยังคิดขอร้อง หาเรื่องตาย หลิงเฟิงจับพวกมันสองคนแยกร่างซะ เหลือลมหายใจเดียวแขวนไว้หน้าประตูวัดชิงหยุน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง!”
(จงซูลิ่งเป็นตำแหน่งอาลักษณ์และราชเลขานุการในพระองค์ )
“ขอรับ!” หลิงเฟิงรีบพาองครักษ์มา
โจวเทียนหู่และซูเหล่าซานพึ่งจะอ้าปากขอร้อง ก็โดนคำพูดเดียวของหลิงเฟิงทำเอาหุบปากทันที “ฮูหยินของพวกข้ามีหรือจะโดนคนชั่วช้าอย่างพวกเจ้าสองคนลวนลามได้ ไม่ทำก็ไม่ตาย!”
สองคนบนพื้นอยากตายขึ้นมาทันที ทำไมพวกเขาตาหามีแววไม่ กล้าไปหาเรื่องหยุนถิง นี่มิใช่หาเรื่องตายเองรึ
จากนั้นผู้คนที่มาไหว้พระล้วนเห็นหน้าประตูวัดชิงหยุน หลิงเฟิงกับองครักษ์กำลังแยกร่างทั้งสองคน เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทำเอาคนที่ได้ฟังขนหัวลุกนัก หวาดกลัวตัวสั่นไปตามๆกัน แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามปรามเลย
รอจนคนของตระกูลโจวกับตระกูลซูหาโจวเทียนหู่กับซูเหล่าซานเจอ เรือนร่างพวกเขาก็เต็มไปด้วยรูเลือดแล้ว โดนจับห้อยโหนไว้กับต้นไม้ใหญ่หน้าประตูวัดชิงหยุน ด้านล่างมีองครักษ์ของจวนซื่อจื่อยืนอยู่ ครอบครัวของทั้งสองคนตกใจตะลึงไปเลย
พวกเขารีบส่งคนกลับไปส่งสาสน์ที่เมืองหลวง เพียงแต่พอจงซูลิ่งกับรองเสนาบดีกรมโยธาธิการที่กำลังเดือดดาลทะลุฟ้าได้ยินว่า ลูกชายของตนไปหาเรื่องจวินหย่วนโยว ก็พากันตกใจไปตามๆกัน
จงซูลิ่งรีบประกาศออกไปทันทีว่าตัดขาดสัมพันธ์พ่อลูกกับโจวเทียนหู่ ความเป็นความตายของโจวเทียนหู่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลโจวอีก
รองเสนาบดีกรมโยธาธิการมีลูกชายแค่คนนี้คนเดียว ย่อมตัดใจไม่ได้อยู่แล้ว แต่เขาก็รู้ถึงจุดจบของการเป็นศัตรูกับจวินหย่วนโยว รองเสนาบดีกรมโยธาธิการมาขอยอมรับผิดกับหยุนถิงที่วัดชิงหยุนด้วยตัวเองเลย