จอมนางข้ามพิภพ - บทที่290 ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่290 ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า
โม่ฉีเฟิงได้เจอคนแล้ว ก็พาผู้บัญชาการองครักษ์หลวงกลับไป
สองพี่น้องตระกูลชางก็ไปที่วัดชิงหยุน แต่กลับถูกบอกโดยเหล่าสาวกที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่า คงอู๋ไต้ซืออาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่แน่นอน และไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน ต่อให้กลับมา เขาก็ไม่อาศัยอยู่ในวัด กลับอาศัยอยู่หลังเขา
เมื่อได้ยินว่าหลังเขา ชางหยุนสี่ก็ตัวแข็งไปหมด เมื่อนึกถึงหลวงจีนที่นั่งกินโจ๊กกับตัวเองบนโต๊ะเดียวกัน นางก็รีบถาม
“คงอู๋ไต้ซืออาศัยอยู่ในกระท่อมมุงจากสามหลังบนหลังเขาใช่หรือไม่ เขาอ้วนมาก พุงใหญ่มาก เหมือนคนท้อง แถมเขายังกินเนื้อด้วย?”
“โยมรู้ได้อย่างไร หรือว่าเจ้าได้เห็นคงอู๋ไต้ซือมาแล้ว?เจ้าอาวาสยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคงอู๋ไต้ซือกลับมา ข้าต้องรีบกลับไปรายงานด่วน” เณรน้อยวิ่งเข้าไปในลานทันที
ชางเยว่หมิงดีใจมาก: “น้องสาว เจ้าได้พบกับคงอู๋ไต้ซือจริงๆหรือ ดีมากเลย เจ้าได้ให้ไต้ซือช่วยทำนายดวงชะตาให้เจ้าหรือไม่?”
ชางหยุนสี่ก็รู้สึกโกรธมากในใจทันที รู้สึกท้อแท้มากนัก เดิมทีคิดว่าหลวงจีนคนนั้นเป็นคนที่โกหก หลอกลวงคนอื่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาก็คือคงอู๋ไต้ซือนั้นเอง
เมื่อคิดดูแล้วมันก็เป็นความจริง คนที่สามารถทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกับจวินซื่อจื่อได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ตัวเองกลับโง่ขนาดนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าเขาคือไต้ซือ แถมยังออกมือพูดดูถูก สมควรตายยิ่งนัก
ทุกคนล้วนกล่าวว่าคงอู๋ไต้ซือรู้อดีตและปัจจุบัน รู้ดาราศาสตร์ และสามารถทำนายดวงชะตาคนได้ หากเป็นเหมือนที่เขาพูดจริง ชะตากรรมของตัวเองก็น่าสังเวชยิ่งนัก
“น้องสาว หรือว่าการทำนายของเจ้าไม่ดี ในเมื่อเจ้าได้พบกับไต้ซือแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็รีบพาพี่รองไปพบหน่อย” ชางเยว่หมิงเสนอแนะ
“ไต้ซือไปแล้ว อาจเป็นเพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นไปรบกวน เมื่อครู่มีนกบินขึ้นในป่า เขาก็บอกลาจวินหย่วนโยวและจากไปแล้ว” ชางหยุนสี่ตอบ
“น่าเสียดายยิ่งนัก มาถึงยอดเขาแล้วกลับไม่ได้พบไต้ซือ งั้นพวกข้าก็กลับกันเถอะ”
“ออ”
ระหว่างทางกลับ ชางหยุนสี่ก็ใจลอยตลอดทาง
หากคนอื่นพูดเช่นนี้ ชางหยุนสี่จะไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่เขาเป็นคงอู๋ไต้ซือ เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากสี่แคว้นว่าเป็นเทพเจ้า มีผู้มีอำนาจมากนักที่อยากขอให้เขาช่วยทำนาย กลับอยากยิ่งนัก อีกอย่างคงอู๋ไต้ซือไม่เคยทำนายผิด
นาง ไม่มีทางเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองได้จริงๆหรือ หากให้นางไปขอหยุนถิง ต่อให้ตายชางหยุนสี่ก็ไม่ยอม
……………
ณ คุกใต้ดินพระราชวัง
ชายผู้สวมหมวกสีดำและหน้ากากเดินเข้ามาในคุกใต้ดิน และตรงไปที่ห้องขังของนางจ้าว
ในขณะนี้นางจ้าวไม่ได้มีหน้ามีตาเหมือนอดีตอีกต่อไป คนทั้งคนผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางดูตกตะลึง หลังถูกขังในคุกทุกวัน ทรมานจนนางบอกคนไม่เหมือนคน บอกผีไม่เหมือนผี
นางนึกว่าหยุนเฉิงเซี่ยงจะมารับนางในไม่ช้า แต่หนึ่งวันผ่านไป สามวันผ่านไป สิบวันผ่านไป——หยุนเฉิงเซี่ยงก็ไม่เคยมาเลย
วินาทีนั้น นางจ้าวตื่นตระหนก สับสน และสิ้นหวัง
นางคิดไม่ถึงว่าหยุนเฉิงเซี่ยงจะสละนางทิ้งจริงๆ พวกเขาเป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี นางให้กำเนิดและสั่งสอนลูกแก่หยุนเฉิงเซี่ยง แต่หยุนเฉิงเซี่ยงกลับใจร้ายเช่นนี้
นางจ้าวเกลียดหยุนเฉิงเซี่ยงมากนัก แต่นางไม่มีทางเลือก ที่นี่คือคุกใต้ดิน เป็นพระราชวัง นางออกไปไม่ได้
“เจ้าก็คือนางจ้าว!” นอกห้องขัง มีเสียงชายชราคนหนึ่งดังขึ้น
นางจ้าวที่นอนอยู่บนกองฟางได้ยินประโยคนี้ ก็รีบหันหัวไปมอง แต่เมื่อเห็นคนร่างเงาที่ดำแต่กลับมองไม่เห็นใบบหน้านั้น ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“เจ้าคือใคร?”
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่ที่สิ่งสำคัญคือข้าสามารถให้เจ้าออกไปได้ และให้เจ้าได้แก้แค้น และให้เจ้าคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีต ขอแค่เจ้าทำตามที่ข้าบอก” คนคนนั้นทำเสียงเชอะอย่างเย็นชา
นางจ้าวดีใจยิ่งนัก: “เจ้าสามารถให้ข้าออกไปได้จริงหรือ และสามารถช่วยข้าแก้แค้นหยุนถิงได้จริงหรือ?”
“ถูกต้อง ข้าทำได้”
“แล้วทำไมเจ้าถึงช่วยข้า?” นางจ้าวมองอย่างสงสัย นางรู้ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องออกแรง
“เพราะหยุนถิงก็เป็นศัตรูของข้าเช่นกัน ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร”
“ตกลง ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร ขอแค่เจ้าสามารถพาข้าออกไป ข้าจะฟังเจ้าทุกอย่าง ต่อให้เป็นวัวเป็นม้าก็ตาม” นางจ้าวสัญญาทันที
“เจ้าอยู่อย่างสงบก่อน เมื่อต้องการเจ้า ข้าจะให้คนพาเจ้าออกไป” คนคนนั้นพูดจบก็จากไปแล้ว
คุกใต้ดินกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง นางจ้าวรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขมาก
“ดีมากเลย ในที่สุดข้าก็จะได้ออกไปแล้ว หยุนถิงเจ้ารอตายเถอะ ครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน!” นางจ้าวพูดอย่างโกรธเคือง
นางไม่ได้สังเกตเห็นสักนิดเลยว่า คนที่นอนอย่างนิ่งเฉยผมรุงรังที่ถูกขังอยู่ในห้องขังด้านในสุดนั้น หลังได้ยินคำพูดของนาง มุมปากก็มีความดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้น
เพราะรู้ว่าตัวเองจะได้ออกไป นางจ้าวจึงรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แม้ว่าจะยังคงนอนอยู่บนกองฟางเหมือนเดิม แต่คืนนี้นางกลับไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนในอดีต นางหลับอย่างสงบมาก
เสวี่ยเชียนโฉวเดินไปที่หน้าต่างเล็กๆของห้องขัง มีเสียงแปลกๆดังมาจากมุมปาก หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีนกตัวหนึ่งบินลงมาที่หน้าต่างห้องขังของเขา
จากนั้นเสวี่ยเชียนโฉวก็ใช้คำพูดที่แปลกประหลาดพูดกับนก จากนั้นนกก็บินจากไป
นกตัวนั้นบินออกจากคุก บินออกจากวัง และในที่สุดก็หยุดลงบนกำแพงของจวนซื่อจื่อ มันบินวนรอบๆ จวนซื่อจื่อไปหลายครั้ง แต่กลับไม่จากไป
เมื่อเห็นฉากนี้ หลงเอ้อก็รู้สึกแปลกประหลาดมาก และรีบไปรายงานให้หยุนถิง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยุนถิงที่สับสนอยู่ ก็ลุกขึ้นและรีบออกมา
นกตัวนั้นก็บนมาเกาะบนไหล่ของหยุนถิงทันที จากนั้นก็พูดเจี๊ยกๆจับๆอะไร แต่หยุนถิงกลับฟังไม่เข้าใจ
“พวกเจ้ามีใครเข้าใจภาษานกหรือไม่?” หยุนถิงถาม
“ฮูหยินทำไมไม่ถามข้า” จวินหย่วนโยวที่อยู่ในห้องเดินออกมา
“ซื่อจื่อ ท่านเข้าใจหรือ?” หยุนถิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เมื่อก่อนอยู่ตัวคนเดียวรู้สึกเบื่อ จึงเลี้ยงนก ฟังพวกเขาเรียกทุกวัน ต่อมาข้าจึงหาอาจารย์มาสอนข้า ก็ถือเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเอง” จวินหย่วนโยวอธิบายแล้วหันมองนกตัวนั้น พูดเจี๊ยกๆจับๆ
จากนั้นหยุนถิงก็เห็นสีหน้าของจวินหย่วนโยวมืดครึ้ม: “เกิดอะไรขึ้น?”
“นกตัวนี้บอกว่าคืนนี้มีคนไปในคุกใต้ดิน ขอความร่วมมือจากนางจ้าว เมื่อถึงเวลาอันควรก็จะให้นางจ้าวออกมา” จวินหย่วนโยวตอบ
สีหน้าของหยุนถิงก็มืดครึ้มในทันที: “ใครกันแน่ที่อยากให้ข้าตายขนาดนี้ สามารถเข้าออกคุกใต้ดินได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะไม่ธรรมดา”
“อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายเจ้า!” จวินหย่วนโยวพูดปกป้อง เข้าข้างอย่างดุดัน
“อืม ข้าเชื่อความสามารถของซื่อจื่อ” หยุนถิงรู้สึกซาบซื้ง
แต่ว่านกตัวนี้รู้เรื่องในคุกใต้ดินได้อย่างไร นางจ้าวถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน และการพบปะลึกลับเช่นนี้จะปล่อยให้คนภายนอกรู้ได้อย่างไรกัน ทันใดนั้นหยุนถิงก็นึกถึงผู้ที่ถูกวางยาพิษไฟในคุกนั้น
หรือว่าเป็นเขา?
คนคนนั้นเป็นใครกันแน่ ตัวเองได้ให้ยาแหล้งตาแก่เขาแล้ว เขาสามารถถอนตัวออกมาได้ชัดๆ แต่กลับไม่กินมันซะที หรือว่าเขายังมีจุดประสงค์อื่นในคุกใต้ดิน?
หยุนถิงคิดไม่ออก แต่อีกฝ่ายส่งนกตัวนี้มาส่งจดหมาย ดูเหมือนว่าจะไม่มีความประสงค์ร้ายอะไร พในเมื่อนางจ้าวยังไม่ตายใจเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็ไม่ถือสาที่จะทำให้หล่อนได้สมหวัง
“ซื่อจื่อ หยุนหลิงอยู่ไหน ข้าอยากพบนาง?” หยุนถิงถาม
“ข้ามาจัดการ ไปพรุ่งนี้เลย”
“อืม งั้นพวกข้าก็แผนซ้อนแผน”