จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 246 นังหนูอย่างเจ้าช่างตรงไปตรงมาจริงๆ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 246 นังหนูอย่างเจ้าช่างตรงไปตรงมาจริงๆ
สนมคนอื่นๆล้วนตกตะลึงกันหมด ถึงแม้ทุกคนจะได้ยินมาตลอดว่าหยุนถิงเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก สั่งสอนคนขึ้นมาไม่เคยใจอ่อนเลย ช่างมันว่าจะเป็นพระประยูรญาติ หรือว่าองค์หญิงองค์ชาย เวลานี้เห็นนางตบหน้าจ้าวเหลียงเหรินเช่นนี้ สร้างความตกตะลึงจริงๆ
ทุกคนพากันถอยหลัง กลัวว่าตัวเองจะติดร่างแหไปด้วย เวลานี้บรรดาสนมทุกคนรู้สึกโชคดีที่เมื่อครู่นี้ตัวเองไม่ได้หัวเราะเยาะหยุนถิง มิเช่นนั้นคนที่โดนตบหน้าในตอนนี้ก็คือตัวเองแล้ว
จ้าวเหลียงเหรินกุมใบหน้าที่บวมแดงเอาไว้ โมโหสุดขีด “หยุนถิงเจ้าทำเกินไปแล้ว ข้าเป็นพระสนมขั้นเก้าของฝ่าบาท เจ้าถึงกับกล้าตบข้า ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้!”
จ้าวเหลียงเหรินกล่าวด้วยความโกรธแค้น กระโจนไปทางหยุนถิง
หยุนถิงเหลือบมองสระน้ำที่อยู่ด้านนอกศาลาครู่หนึ่ง ในขณะที่จ้าวเหลียงเหรินกระโจนเข้ามา จู่ๆนางก็หลบไปอยู่ด้านข้าง ยกเท้าเตะไปทางจ้าวเหลียงเหรินอย่างแรง
“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นมา จ้าวเหลียงเหรินยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับมาว่าเกิดอะไรขึ้น คนทั้งคนก็กระเด็นออกไปจากศาลา ตกลงไปในสระน้ำโดยตรง
น้ำกระเซ็นไปทุกทิศทุกทาง ทุลักทุเลอย่างยิ่ง
“ช่วยด้วย รีบมาช่วยข้าเร็ว ข้าว่ายน้ำไม่เป็น!” จ้าวเหลียงเหรินตะกายตีน้ำ ร้องขอความช่วยเหลือ
สนมที่อยู่ด้านข้างตกใจกลัวแทบแย่ มองดูจ้าวเหลียงเหรินกำลังจะจมน้ำตาย แต่กลับไม่กล้าไปช่วยนาง ถ้าหากว่าไปล่วงเกินคุณหนูหยุนเข้า เกรงว่าคงจะต้องตายทั้งเป็นแน่
ซูกงกงก็ตกใจกลัวแทบแย่เช่นกัน “คุณหนูหยุน ถึงแม้ว่าจ้าวเหลียงเหรินผู้นี้จะปากเสียชอบนินทา แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นพระสนมขั้นเก้าของฝ่าบาท สั่งสอนเล็กน้อยก็พอแล้ว อย่าให้ถึงกับมีคนตายเลย”
“ในเมื่อซูกงกงก็ยังเอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นข้าจะปล่อยนางไปสักครั้ง จ้าวเหลียงเหรินครั้งหน้าหากเจ้ากล้าวิจารณ์ข้ากับซื่อจื่อลับหลังอีก จะไม่โชคดีเช่นนี้แล้ว” หยุนถิงกล่าวอย่างเย็นชา
“ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว คุณหนูหยุนได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ” จ้าวเหลียงเหรินร้องขอความเมตตาทันที
จนกระทั่งหยุนถิงเดินลับตาไป คนอื่นๆถึงได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง รีบร้อนช่วยจ้าวเหลียงเหรินออกมาจากน้ำทันที
“ฮัดชิ้ว!” จ้าวเหลียงเหรินจามออกมา ถูกสาวใช้พาออกไปด้วยความทุลักทุเลอย่างยิ่ง
ทางด้านนี้ ซูกงกงพาหยุนถิงไปพบฮ่องเต้ที่ตำหนักด้านข้าง
หยุนถิงแสดงความเคารพต่อฝ่าบาท “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเรียกตัวข้ามาด้วยเหตุอันใด?”
“ยุ้งฉางของท้องพระคลังถูกคนเผาทำลาย เจ้าได้ยินเรื่องนี้หรือไม่?” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หยุนถิงพยักหน้า “ข้าเคยได้ยินมาจากซื่อจื่อแล้ว แต่ว่าใครมันช่างบังอาจขนาดนี้ ถึงกับกล้าเผายุ้งฉางของฝ่าบาท นี่ตั้งใจจะก่อกบฏหรือ?”
ซูกงกงตกใจจนตัวสั่น คำพูดของคุณหนูหยุนผู้นี้น่าสะพรึงกลัวจริงๆ รีบร้อนกล่าวเตือนสติ “คุณหนูหยุน ท่านอย่าพูดจาเหลวไหล”
“ข้าพูดจาเหลวไหลที่ไหน แม้แต่ยุ้งฉางของฝ่าบาทยังกล้าเผาทำลาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมาทั่วไปกล้าทำหรอกนะ” หยุนถิงกล่าวตอบ
ซูกงกงอยากจะบ้าตาย คุณหนูหยุนผู้นี้ทำไมไม่สามารถชักจูงได้เลย
“ไม่เป็นไร บอกมาว่าเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?” ฮ่องเต้เลิกคิ้วมองมา
“ข้าคิดว่าฝ่าบาทต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด มิเช่นนั้นวันนี้เผายุ้งฉาง พรุ่งนี้เผาพระราชวัง เมืองหลวงของต้าเยียนจะไม่โกลาหลวุ่นวายหรอกหรือ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา
ผู้รับผิดชอบดูแลคุ้มกันยุ้งฉางก็ต้องลงโทษอย่างหนัก ยุ้งฉางเป็นถึงรากฐานของใต้หล้า รับเงินเดือนของราชสำนักแต่กลับเกิดข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงเช่นนี้ คงจะไม่ได้ถูกคนติดสิบบนหรอกใช่ไหม
งานเลี้ยงเทศกาลเรือมังกรในปีนี้เป่ยหมิงฉี่ เริ่นเซวียนเอ๋อร์ และทั้งสองคนจากแคว้นชางเยว่ก็มาด้วยเช่นกัน ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจเล่นอุบายต้องการจะให้ฝ่าบาทอับอายก็เป็นได้ อย่างไรเสียในปีที่ผ่านมายุ้งฉางก็ยังดีๆอยู่
ข้าก็แค่คนหยาบคนหนึ่ง สิ่งที่นึกถึงได้ก็มีเท่านี้แล้ว หากมีตรงไหนที่พูดผิดไป ขอฝ่าบาทโปรดอย่าได้ถือโทษ” หยุนถิงกล่าวอย่างถ่อมตัว
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนที่สูงสีหน้าดำมืด เขาคิดไม่ถึงว่าคำพูดที่ดูเหมือนจะหยาบคายของหยุนถิง กลับจู่โจมไปที่ประเด็นสำคัญ
หลายปีมานี้ตระกูลมู่อาศัยว่าฮองเฮาปกครองวังหลัง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีอำนาจสูงกลบนาย ทำเรื่องเลวบัดซบมากมายจริงๆ ฮ่องเต้ก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ตลอด ตอนนี้หยุนถิงกล่าวขึ้นมาเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็จำต้องหวั่นเกรงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเช่นกัน
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่า ปัญหาของยุ้งฉางควรจะแก้ไขอย่างไร?” สีหน้าของฮ่องเต้เย็นชาราวกับสระน้ำเย็นยะเยือก นัยน์ตาสีดำที่เฉียบคมมองพิจารณาหยุนถิง
“เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว ความรับผิดชอบของใครคนนั้นก็แบกรับไปไง”
“ฮ่าๆ นังหนูอย่างเจ้าช่างตรงไปตรงมาจริงๆ!” ฮ่องเต้ถูกนางหยอกจนหัวเราะออกมา
“คุณหนูหยุน ฝ่าบาทถามท่านว่า หากต่อไปเกิดเรื่องเช่นนี้อีกจะทำอย่างไร อย่างไรเสียก็จะให้ยุ้งฉางถูกเผาไม่ได้นี่นา?” ซูกงกงกล่าวเตือนสติ
“อ้อ เช่นนี้หรือ ฝ่าบาทสามารถแบ่งทั้งหมดกระจายเป็นเศษส่วนได้ ออกราชโองการว่าต่อไปจะไม่มีการเวนคืนอาหารอีก บอกว่าไม่เวนคืนไม่ได้จะไม่เวนคืนจริงๆ เพียงแต่ฝากเก็บเอาในที่ทุกบ้านทุกครัวเรือนเท่านั้น
ให้ชาวบ้านเก็บรักษาอาหารที่ต้องส่งมอบเอาไว้ให้ดี ห้ามกินเด็ดขาด ยิ่งไม่สามารถเอาไปทำอย่างอื่นได้ ขอแค่ฝ่าบาททรงมีราชโองการ ชาวบ้านก็ต้องเอาอาหารที่ต้องส่งมอบออกมาทันที หากใครไม่สามารถเอาออกมาได้ ก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก
เช่นนี้ก็ไม่ต้องรวบรวมอาหารทั่วทั้งแคว้นมายังยุ้งฉาง แต่จะกระจายอยู่ในบ้านของชาวบ้านทุกครัวเรือน ก็จะไม่เกิดเรื่องไฟไหม้ยุ้งฉางอีก จะไปไล่วางเพลิงทีละบ้านทีละหลังคาเรือนไม่ได้หรอกใช่ไหม” หยุนถิงกล่าวจบโดยตรง
“ดี วิธีนี้ดีจริงๆ!” แม้แต่ซูกงกงก็ยังอดกล่าวชมเชยไม่ได้
“ไม่เลว สมกับที่เป็นหยุนถิง ข้ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ เจ้ามีวิธีจริงๆด้วย!” ฮ่องเต้ยังอดชมเชยไม่ได้
“ความจริงข้ายังมีความเห็นที่ดียิ่งกว่านี้อีก” หยุนถิงกล่าวเอาใจไปตามสถานการณ์ทันที
“ความเห็นอะไร?” ฮ่องเต้พอพระทัยอย่างมาก
“เกี่ยวกับการสอบคัดเลือกขุนนาง การสอบคัดเลือกขุนนางในอดีตล้วนเป็นการสอบทีละระดับ สำหรับคนทั่วไปเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก แต่สำหรับคนที่มีความรู้ความสามารถแล้ว กลับเป็นการสิ้นเปลืองเวลา
บางคนอาจจะเข้าร่วมการสอบครั้งสองครั้ง เพราะเหตุผลต่างๆนานา หรือไม่ก็แต่งงานมีครอบครัวต้องเลี้ยงดูเป็นต้น ก็จะไม่มีเวลาในการเตรียมตัวสอบคัดเลือกขุนนางมากนัก เช่นนี้ก็จะสูญเสียคนมีความรู้ความสามารถไป
ดังนั้นข้าคิดว่าสามารถอนุญาตให้มีการสอบแบบข้ามชั้น แต่จะต้องมีความรู้ความสามารถจริงๆ ขอเพียงเป็นคนที่จะสอบแบบข้ามชั้นจำเป็นต้องมีการแนะนำของขุนนางขั้นสามของราชวงศ์ปัจจุบัน
หากบุคคลที่แนะนำไม่ได้มีความรู้ความสามารถ เช่นนั้นผู้ที่แนะนำก็จะมีความรับผิดชอบร่วมด้วย เช่นนี้ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนใช้เส้นสาย และสามารถแสดงถึงความยุติธรรมด้วยเช่นกัน” หยุนถิงเอ่ยปาก
“ดังนั้น เจ้าทำเพื่อเรื่องที่ให้คำมั่นกับจ้าวเคอกลางถนน ถึงได้มีข้อเสนอแนะนี้” ฮ่องเต้ตรัส
ไม่ใช่ข้อสงสัย แต่เป็นการยืนยัน
หยุนถิงออกหน้าต่อสู้กับความอยุติธรรมกลางถนน เรื่องที่ให้คำมั่นต่อจ้าวเคอ ฮ่องเต้ย่อมได้ยินแล้ว
หยุนถิงยิ้มอย่างกระดากอาย “ไม่ว่าอะไรก็ปิดฝ่าบาทเอาไว้ไม่ได้จริงๆ จ้าวเคอมีความรู้ความสามารถจริงๆ ข้าก็แค่ไม่อยากให้ฝ่าบาทเสียคนมีความรู้ความสามารถเท่านั้น สำหรับต้าเยียน และฝ่าบาทล้วนไม่เป็นผลดีทั้งนั้น
ข้าเพิ่งค้นคว้ายาจินชวงออกมาได้พอดี สามารถห้ามเลือดได้ในทันที ครั้งก่อนตอนที่ไปค่ายทหาร ข้าเห็นมีทหารได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงกลับไปทำการศึกษาค้นคว้า”
หยุนถิงหยิบห่อกระดาษออกมาทันที ซึ่งก็เป็นอันเดียวกับที่ให้เป่ยหมิงฉี่ไปก่อนหน้านี้ หากในอนาคตฝ่าบาทได้รู้ว่า นางให้ของดีเช่นนี้กับเป่ยหมิงฉี่แต่กลับไม่ให้แคว้นของตัวเอง ต้องถูกฝ่าบาทแค้นใจอย่างแน่นอน
อันที่จริงหยุนถิงก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่ อย่างไรเสียเป่ยหมิงฉี่ก็เป็นไท่จื่อของแคว้นเป่ยลี่ หากในอนาคตข้างหน้ามีการเปิดศึกขึ้นมาจริงๆ แคว้นของตัวเองถูกทำลายล้างแล้ว ถึงแม้จะมีมิตรภาพที่ดีแค่ไหนก็เทียบไม่ได้กับชะตากรรมของคนสิ้นชาติ ดังนั้นหยุนถิงจึงไม่เก็บซ่อนเอาไว้เอง
หยุนถิงเรียกตัวองครักษ์มาหนึ่งนายทันที ใช้เขาทำความทดสอบ ฮ่องเต้เห็นเลือดจากบาดแผลหยุดลงในทันทีทันใด รู้สึกประหลาดใจไม่สิ้นสุด ประกาศราชโองการอนุญาตให้มีการสอบคัดเลือกขุนนางแบบข้ามชั้นทันที