จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 230 ถ้าไม่ศิโรราบให้ข้า ข้าจะระเบิดหัวเจ้าให้เละเลย
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 230 ถ้าไม่ศิโรราบให้ข้า ข้าจะระเบิดหัวเจ้าให้เละเลย
ถึงคนจำนวนมากจะรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็มีครอบครัวมากมายที่ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรจริงๆ พอมาได้ยินชางเยว่หมิงพูดแบบนี้ ทุกคนพากันตกตะลึง
“มิใช่กระมัง เขาเป็นไท่จื่อแห่งแคว้นชางเยว่นะ ถึงจะเป็นตัวประกัน แต่ก็มิถึงกับต้องโดนลบหลูเยี่ยงนี้กระมัง?” สตรีนางหนึ่งกระซิบบอก
“มีครั้งหนึ่งข้ามาเยี่ยมพี่สาวข้า เห็นกับตาว่าเขาโดนขันทีกดลงพื้นให้กินข้าวบูด น่าสงสารยิ่งนัก”
“งั้นวันนี้เขาสวมใส่หรูหราขนาดนี้ ก็เป็นเพราะว่าองค์ชายและองค์หญิงแห่งแคว้นชางเยว่มา เลยแกล้งทำให้คนอื่นตายใจกระมัง ทำไมข้ารู้สึกว่าเขามิสู้คนรับใช้ด้วยซ้ำ ใช้ชีวิตอย่างมิเป็นอิสระเช่นนี้
ได้ยินคำซุบซิบวิจารณ์ของทุกคน สีหน้าชางหลันเย่ยิ่งเดือดดาลหนักขึ้น เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี
ชางเยว่หมิงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ดวงตาเจ้าเล่ห์นั่นฉายแววสมใจ
ต่อให้ชางหลันเย่เป็นไท่จื่อแล้วอย่างไร ก็เป็นคนที่มิได้รับการโปรดปราน หากเสด็จพ่อและเสด็จแม่ใส่ใจเขาจริง มีหรือว่าจะไม่ถามไม่ไถ่ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ดีว่า เขาได้รับความลำบากอย่างไรที่ต้าเยียน
“พี่รอง ท่านพูดให้น้อยลงหน่อยเถอะ” ชางหยุนสี่เตือน
ถึงนางจะมิได้สนิทสนมอะไรกับชางหลันเย่เท่าใดนัก แต่พอเห็นพี่รองว่าพี่ใหญ่เช่นนี้ นางก็เริ่มทนไม่ได้
ฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์สีหน้าดำทะมึน ชางเยว่หมิงน่าตายนัก จงใจมาหาเรื่องชัดๆ ถึงเขาจะพูดความจริง แต่อยู่ต่อหน้าขุนนางมากมาย เขาย่อมไม่มีทางยอมรับได้
“องค์ชายรองพูดเช่นนี้ใส่ร้ายต้าเยียนของเราแล้ว ข้ามีหรือจะทำเยี่ยงนั้นกับชางซื่อจื่อ เขาอยู่ในอุทยานของวังหลัง เงียบสงบงดงาม เงียบสบาย ชางไท่จื่อเป็นผู้เลือกเองนะ
อาหารการกินของเขาล้วนเป็นวังหลังตั้งใจเตรียมให้ ถึงจะมิได้เลิศรสหายากทุกมื้อ แต่ก็มิถึงกับข้าวบูดอาหารเหลือ หากมีใครกล้าทำเช่นนี้กับชางซื่อจื่อ ข้าจะไม่เอาไว้แน่!” ฮ่องเต้พูดหนักแน่น ดูมีอำนาจยิ่งนัก
หยุนถิงแววตาเต็มไปด้วยแววประชดประชัน ฮ่องเต้เสแสร้งเก่งจริงๆ ถ้าไม่ใช่ตนเห็นกับตาว่า ชางหลันเย่โดนรังแกให้กินข้าวบูดอาหารเหลือ คงโดนความเสแสร้งเขาหลอกเอาเหมือนกัน
การที่หยุนถิงไม่ได้เอ่ยปาก เพราะอยากดูว่าฮ่องเต้จะตอบอย่างไร แต่ไม่คิดเลยว่าจะเสแสร้งตลบตะแลงขนาดนี้
“หยุนถิง เจ้าอยากได้อินทรีใหญ่ตัวนั้นรึ ข้าขอฝ่าบาทมาให้เจ้าดีไหม?” โม่ฉือชิงถาม
หยุนถิงมองบนใส่เขา “หยุดเลย เจ้าอย่าทำร้ายข้า”
“เอาเถอะ ข้านึกว่าเจ้าชอบเสียอีก”
“ข้าชอบกินมากกว่า” หยุนถิงหยิบอาหารบนโต๊ะขึ้นมากิน
จวินหย่วนโยวปอกเปลือกของผลไม้และถั่วทั้งหมดออก จากนั้นวางลงในชามของหยุนถิง
ซ่างกวนหรูที่ห่างไปไม่ไกลริษยายิ่งนัก มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำผ้าแน่น โกรธแทบตาย ในใจกลับแค่นยิ้มเย็น หยุนถิง ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะได้ใจอีกนานแค่ไหน
พอเห็นหยุนถิงดื่มเหล้าผลไม้ในจอก แววตาซ่างกวนหรูส่อแววมาดร้ายและสมใจ
ชางหยุนสี่เห็นจวินหย่วรโยวรักใคร่โปรดปรานหยุนถิงเช่นนี้ ก็ริษยาเช่นกัน ว่ากันว่า เมื่อก่อนสตรีผู้นี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก จวินหย่วนโยวชอบพอนางเข้าไปได้อย่างไร
ชางเยว่หมิงแค่นยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน “ในเมื่อฝ่าบาทรับสั่งขนาดนี้แล้ว เป็นไปได้ว่าข่าวลือผิดพลาด พวกเรากลับมาที่หัวเรื่องเดิมเถิด ขอฝ่าบาทกำราบอินทรีตัวนี้ต่อหน้าทุกคนด้วย”
ฮ่องเต้มองดูอินทรีใหญ่ในกรงทอง อินทรีใหญ่ที่ดุร้ายยิ่งนักแบบนี้ เขาไม่แน่ใจจริงๆ แต่หากปฏิเสธ จะต้องโดนชางเยว่หมิงเข้าใจว่าตนกลัวเขาแน่
ระหว่างที่ฮ่องเต้ลังเลอยู่ ได้ยินเหมยเฟยเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท อินทรีใหญ่เช่นนี้ถึงจะตัวใหญ่ แต่แคว้นต้าเยียนของเราก็มิใช่ไม่มี มิได้เป็นสัตว์หายากอะไร เทศกาลดอกท้อครั้งนี้หลีอ๋องเป็นผู้จัดการทั้งหมด ลำบากนัก ฝ่าบาทยังมิได้ประทานรางวัลเลยนะเพคะ”
“เหมยเฟยพูดถูก หลีอ๋องลำบากตรากตรำจัดทำเทศกาลดอกท้อ อินทรีใหญ่ตัวนี้ประทานให้หลีอ๋องแล้วกัน” ฝ่าบาทบอกอย่างใจกว้าง
หลีอ๋องลุกขึ้นถวายบังคมทันที “ขอบพระทัยเสด็จพี่”
ชางเยว่หมิงมองโม่ฉือหานอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเชิญหลีอ๋องเริ่มเลยเถอะ” ระหว่างพูด ก็เปิดกรงทองออก
อินทรีใหญ่ที่โดนขังอยู่รีบพุ่งออกนอกกรงทันที ถลึงตาจ้อองมองคนที่อยู่รอบกายด้วยสายตาดุร้าย พลางกระพือปีกใหญ่นั่ง พุ่งโจมตีไปที่ฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์ทันที
ถึงอินทรีใหญ่นั่นจะร่างกายใหญ่โต แต่กลับเร็วราวสายฟ้าแลบ แค่พริบตาเดียวก็ไปถึงหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท
ฮ่องเต้ตกใจยิ่งนัก ฮองเฮาตกใจตะลึงไปเลย สีหน้าซีดเผือด “ทหาร รีบมาอารักขาเดี๋ยวนี้!”
วินาทีนั้นเหมยเฟยเข้าขวางหน้าฝ่าบาทไว้อย่างไม่คิดเลยสักนิด
ร่างหนึ่งเหาะลอยออกไป ซัดฝ่ามือใส่อินทรีใหญ่ตัวนั้นอย่างแรง อินทรีใหญ่ตัวนั้นเหมือนจะรับรู้ถึงอันตรายจากด้านหลังได้ มันยอมล้มเลิกการโจมตี หนีไปด้านข้าง และหันกลับมาโจมตีซวนอ๋อง
มันเร็วเสียจนทุกคนยังไม่ทันได้สติ ใครเลยจะคิดว่า อินทรีใหญ่ตัวนี้จะรวดเร็วราวกับพายุหมุน หลบหลีกฝ่ามือของซวนอ๋องได้
หยุนถิงหรี่ตามอง สำรวจอินทรีใหญ่ตัวนั้นอย่างละเอียด บนหัวดำนั่นมีสีน้ำตาลเข้ม มีขนยาวตั้งแต่ด้านหลังไปถึงคอ คล้ายใบต้นหลิว โคนขนเป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม ปลายขนสีเหลืองทอง ดวงตาแหลมคมคู่หนึ่ง ดูอันตรายยิ่งนัก พร้อมโจมตีเป้าหมาย
“ซวนอ๋อง มันคืออินทรีทอง นิสัยดุร้ายกำลังกล้าแกร่ง มีพลังโจมตีรุนแรงมาก มันฟังภาษาคนรู้เรื่อง ท่านต้องเร็วยิ่งกว่ามัน” หยุนถิงออกเสียงเตือน
พอโม่เหลิ่งเหยียนได้ยินดังนั้น และซัดฝ่ามือไปอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
คนอื่นที่นั่งอยู่ตกใจไปตามๆกัน พากันถอยร่นไปมุมท้องพระโรง
ชางเยว่หมิงเหล่มองหยุนถิง ไม่คิดว่าสตรีที่รูปโฉมงามล้ำผู้นี้จะรู้จักอินทรีทอง ทำให้เขาประหลาดใจนัก
อินทรีทองเหมือนจะโดนยั่วจนโมโห ครั้งนี้มันหลบไม่ทัน โดนซัดที่ปีกไป ร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา เสียงนั้นเสียดแก้วหูนัก ทำเอาทุกคนอุดหูไปตามๆกัน
คราวนี้อินทรีทองเดือดจัด ไม่สนใจโม่เหลิ่งเหยียนละ มันกระพือปีกอันใหญ่โต เจอใครก็โจมตี ทั่วทั้งท้องพระโรงอลหม่านไปตามๆกัน เสียงร้องโหยหวน ทุกคนสนใจแต่หลบซ่อน หนีตายกันจ้าล่ะหวั่น
ทุกคนกำลังหนีตายกันท่ามกลางความวุ่นวาย ไม่รู้ใครผลักชางหลันเย่ออกไป ชางหลันเย่เลยล้มลงพื้น
พอเห็นอินทรีทองจะโจมตีชางหลันเย่ เขาตะลึงบื้อไปเลย สมองว่างเปล่า ลืมหนีเลยทีเดียว
หยุนถิงใจกระตุกทันที “ชางหลันเย่ ระวัง!”
หยุนถิงควักปืนอันนั้นออกมาจากในชายเสื้อ และยิงไปที่ปีกของอินทรีทองทันที
“เปรี้ยง!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทำเอาทุกคนตะลึง
ปีกของอินทรีทองโดนยิง เลือดสดหลั่งริน แต่มันไม่สนใจความเจ็บปวด หมุนตัวหันไปทางหยุนถิง ดวงตาสองดวงถลึงตาจ้องมองหยุนถิงด้วยความเดือดดาล โจมตีใส่นางทันที
จวินหย่วนโยวกำลังจะลงมือ แต่โดนหยุนถิงห้ามไว้ “ซื่อจื่อ อินทรีของข้าข้ากำราบเอง ข้าขาดสัตว์เลี้ยงอยู่พอดี”
จวินหย่วนโยวถึงไม่ลงมือ “ระวังตัวด้วย!”
พอเห็นอินทรีทองโจมตีเข้ามา หยุนถิงก็ยิงปีกของมันอีกสองนัดติด อินทรีทองที่เดิมบินกลางอากาศพอโดนยิงเข้าไปก็ล้มลงพื้น เลือดสดไหลนองเต็มสองปีก ดูแล้วน่าตกใจนัก
หยุนถิงเดินเข้าไปหาอินทรีทอง ปืนในมือเพ่งไปที่หัวมัน “ถ้าไม่ศิโรราบให้ข้า ข้าจะระเบิดหัวเจ้าให้เละเลย เลือกเองดีไหม?”