คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 7 แยกบ้าน / ตอนที่ 8 ปากสุนัขย่อมคายงาช้างออกมาไม่ได้
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 7 แยกบ้าน / ตอนที่ 8 ปากสุนัขย่อมคายงาช้างออกมาไม่ได้
ตอนที่ 7 แยกบ้าน
หัวหน้าหมู่บ้านหันไปมองหญิงชราและหลิวซื่อที่อยู่ข้างๆ ถามเสียงทุ้มว่า “พวกเจ้าว่าอย่างไร”
ไยก่อนหน้านี้ไม่เคยขอแยกบ้าน ตอนนี้เพิ่งจ่ายเงินออกไปจนหมดเกลี้ยง ก็มาบอกจะแยกบ้านเนี่ยนะ!
“คืนเงินข้ามาก่อน!” แม่สามีเหมือนมีเลือดออกที่หัวใจ หมอลู่เดินไปไกลแล้ว เงินกว่าครึ่งไม่อาจกลับมาได้ นางโมโหแทบตาย “คืนเงินข้า แล้วพวกเจ้าสองแม่ลูกก็ไสหัวออกจากสกุลไป๋เสีย!”
เมื่อหลิวซื่อได้ยินดังนั้น แววตาของนางก็ร้อนรน ก่อนจะดึงแขนเสื้อของแม่สามีมาข้างๆ พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านแม่ แยกไม่ได้นะ หากพวกนางแยกบ้านออกไปแล้ว ต่อไปผู้ใดจะทำงานที่นี่กัน ผู้ใดจะซักเสื้อผ้าภายในบ้าน แล้วผู้ใดจะเป็นคนทำกับข้าวเล่า” แม้จ้าวหลานจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่นางก็ทำงานนอกบ้านเก่งมาก แบกหามได้ทั้งบ่าและมือ หลายปีมานี้ ลูกคนโตและลูกคนรองของสกุลรวมกันยังสู้นางคนเดียวไม่ได้เลย
ส่วนเด็กสาวไป๋จื่อ แม้นางจะอายุยังน้อย แต่ก็คล่องแคล่วเช่นเดียวกัน นางทำได้ทั้งทำอาหารและซักเสื้อผ้า หากพวกนางสองคนแยกบ้านไปอยู่ตามลำพัง ผู้ใดจะเป็นคนทำงานทั้งหลายเหล่านี้ในบ้านเล่า นี่ไม่เท่ากับขาดสาวรับใช้ไปสองคนหรอกหรือ
หญิงชรามองตาขวางใส่นางครั้งหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าไม่มีมือมีเท้าหรืออย่างไร หรือว่าเจ้าทำงานพวกนี้ไม่เป็นสักอย่าง?”
บัดนี้หญิงชราจงเกลียดจงชังไป๋จื่อและจ้าวซื่อนัก นางไม่อยากเห็นพวกนางอีกแม้แต่วินาทีเดียว พวกนางต้องการแยกบ้าน ก็ตรงกับความต้องการของนางพอดี
“เช่นนั้น ท่านคิดจะแบ่งสมบัติอย่างไรเจ้าคะ” หลิวซื่อเห็นแม่สามีใจแข็ง ก็รู้ว่าไม่มีหนทางหวนกลับแล้ว ทำได้เพียงปล่อยมันไป
หญิงชราร้องเฮอะเสียงหนึ่ง “แบ่งรึ? ของของสกุลไป๋ ข้าจะไม่ให้พวกนางเช่นกัน จะไปย่อมได้ แต่ต้องไสหัวออกไปตัวเปล่า!”
บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่นัก แม้ทั้งสองคนจะจงใจพูดเสียงเบา ทว่าหลายคนที่ยืนอยู่ไกลก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน
ไป๋จื่อส่ายหน้า คนใจร้ายจนถึงขั้นนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว
หัวหน้าหมู่บ้านก็ส่ายหน้า สตรีสองนางนี้ทั้งอำมหิตและไร้ยางอาย นับว่าทำให้เขาเปิดโลกทัศน์นัก
จ้าวหลานเจ็บปวดใจมาก ในบ้านหลังนี้ นอกจากจื่อเอ๋อร์แล้ว แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยรับรู้ถึงน้ำใจและความอบอุ่นแม้สักเสี้ยวเดียว ทุกคนล้วนเห็นนางต่างวัวต่างม้า ทว่านางก็ยึดที่แห่งนี้เป็นบ้านของตนมาโดยตลอด ดังนั้นถึงจะลำบากและเหนื่อยล้าเพียงใด ได้รับความไม่เป็นธรรมถึงเพียงไหน นางก็ไม่เคยบ่น
ทว่าวันนี้ ในที่สุดนางก็ฟื้นสติอย่างเต็มที่ บ้านหลังนี้ไม่ต้องการนางและจื่อเอ๋อร์ การจากไปอาจจะเป็นการเริ่มต้นครั้งใหม่ก็ได้
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวกับหญิงชราว่า “แม่เฒ่า จะเป็นคนก็ควรมีเมตตานะ ข้าว่าเจ้าทำเกินไป แม้ว่าเจ้าสามจะตายไปแล้ว ทว่าสะใภ้สามก็นับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเช่นกัน ย่อมต้องแบ่งทรัพย์สินให้นางส่วนหนึ่ง”
หญิงชรารู้สึกไม่พอใจ นางมองตาขวางใส่หัวหน้าหมู่บ้าน แล้วกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “หัวหน้าหมู่บ้าน การแยกบ้านเป็นเรื่องภายในครอบครัวอย่างแท้จริง ท่านไม่อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ ตอนนี้สกุลไป๋เป็นของข้า ข้าพอใจอย่างไรก็จะแบ่งอย่างนั้น”
หัวหน้าหมู่บ้านยังอยากพูดต่อ ทว่าจ้าวหลานรีบห้ามเขาไว้ “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าเข้าใจเจตนาดีของท่าน ทว่าอย่าพูดอะไรอีกเลยเจ้าค่ะ นางพอใจอย่างไรก็แบ่งอย่างนั้นเถิด ขอเพียงตัดความสัมพันธ์กับพวกเขาได้ พอจะทำให้จื่อเอ๋อร์ของข้าไม่ต้องรับมืออำมหิตของพวกนางอีก ข้าก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจเสียงหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้จ้าวหลาน “ตกลงตามนั้น!”
หญิงชรายิ้มเยือกเย็น แค่นหัวเราะกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ตอนนี้พวกเจ้าสองแม่ลูกไสหัวออกไปได้แล้ว สิ่งของของสกุลไป๋ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าสักนิด ทั้งเรือนและที่นา แม้กระทั่งเหรียญทองแดงก็อย่าได้คิดจะแบ่งไป!”
จ้าวซื่อคิดไว้แล้วว่าจะมีจุดจบเช่นนี้ ทว่านางก็ไม่ได้แปลกใจมาก เพียงกลับหลังหันไปดึงไป๋จื่อเดินออกไปข้างนอก
ไป๋จื่อกับดึงจ้าวซื่อไว้ “ท่านแม่ พวกเราจะไปก็ได้ ทว่าการแยกบ้านนี้เป็นเพียงคำพูด ยังต้องลงลายลักษณ์อักษร ไม่เช่นนั้นต่อไปพวกเราสองแม่ลูกประสบความสำเร็จ พวกนางต้องบากหน้ามานับญาติแน่ วันนี้พวกเราไม่เพียงต้องการแยกบ้าน ยังต้องการทำหนังสือตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างด้วย”
……….
ตอนที่ 8 ปากสุนัขย่อมคายงาช้างออกมาไม่ได้
หัวหน้าหมู่บ้านมองไป๋จื่อเชิงชมเชย ยิ้มพลางกล่าวว่า “จื่อยาโถวผู้นี้ฉลาดหลักแหลมนัก ที่เจ้ากล่าวมามีเหตุผลยิ่ง” เขาหันหน้าพูดกับหญิงชรา “พวกเจ้ามีความเห็นหรือไม่”
หญิงชราเฝ้าปรารถนาจะตัดความสัมพันธ์กับพวกนางอย่างยิ่ง ตอนไม่มีข้าวกินจะได้ไม่ต้องวิ่งแจ้นกลับมาขอ “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน กระดาษสีขาวและตัวอักษรสีดำใช้ได้ผลยิ่งกว่าคำพูดอยู่แล้ว” นางพูดพลางหันหน้าไปพูดกับชาวบ้านที่มุงดูอยู่ข้างนอก “ทุกคนล้วนเป็นพยาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกข้าสกุลไป๋จะตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับสองแม่ลูกจ้าวหลาน เรื่องในอนาคตของพวกนาง ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับสกุลไป๋ของพวกข้า”
ลุงหูที่ยืนเงียบเชียบอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดกล่าวว่า “แม่เฒ่า เจ้าไม่อาจทำเรื่องนี้โดยไร้น้ำใจเกินไป จะไล่สองแม่ลูกออกจากบ้านเช่นนี้ แม้แต่ที่อยู่อาศัยพวกนางก็ไม่มี เจ้าจะทำได้ลงคือหรือ?”
ชาวบ้านด้านนอกพากันสนับสนุน “จริงด้วย พวกนางสองแม่ลูกบาดเจ็บด้วยนะ จะไล่พวกนางออกไปเช่นนี้ ทำเกินไปหน่อยกระมัง?”
หญิงชราแบะปาก “ข้าไม่ได้เป็นคนเสนอเรื่องแยกบ้านสักหน่อย เป็นนางเองที่บอกว่าต้องการแยกบ้าน พวกเจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร?”
ลุงหูกล่าวอีก “ถึงแม้ว่าจ้าวหลานจะเป็นคนเสนอเรื่องแยกบ้าน แต่อย่างไรเจ้าก็ต้องแบ่งบ้านให้พวกนางหลังหนึ่งกระมัง? แม้จะไม่ยินยอมให้พวกนางอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว แต่ข้างนอกก็ยังมีกระท่อมอยู่หลังหนึ่งไม่ใช่หรือ ให้พวกนางสองแม่ลูกอาศัยที่กระท่อมก็ดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอน”
หลิวซื่อได้ยินดังนั้นก็รีบพูดว่า “เช่นนั้นไม่ได้หรอก กระท่อมนั่นข้าใช้เลี้ยงวัว ให้พวกนางไปอยู่แล้ว จะทำอย่างไรกับวัวบ้านข้าเล่า”
จ้าวซื่อยิ้มอย่างขมขื่น แล้วกล่าวกับลุงหู “พี่หู ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ ท่านยังไม่รู้ฐานะของข้าในบ้านหลังนี้อีกหรือ? อย่าว่าแต่วัวเลย แม้แต่ไก่ที่พวกนางเลี้ยงก็ยังดีกว่าข้า”
หัวหน้าหมู่บ้านซูฮกสตรีใจร้ายสองนางนี้ เขาพูดกับพวกนางว่า “พวกเจ้ารอก่อน ข้าจะไปเขียนหนังสือ อีกเดี๋ยวจะส่งมาให้พวกเจ้า” เขาพูดแล้วก็ออกจากบ้านไป ส่วนลุงหูที่อยู่ข้างๆ กล่าว “แม่จื่อเอ๋อร์ อย่าไปอารมณ์เสียกับพวกนางเลย ไม่คุ้มกันหรอก คืนนี้ไปพักที่บ้านข้าก็ได้ ในบ้านมีเรือนเหลืออยู่หลังหนึ่งพอดี คืนนี้เจ้ากับจื่อเอ๋อร์เบียดกันหน่อยก็แล้วกัน”
จ้าวซื่อกำลังคิดว่าคืนนี้ควรทำอย่างไร ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของท่านลุงหู ก็เหมือนกับได้ไม้ขีดไฟกลางหิมะอย่างไม่ต้องสงสัย นางพยักหน้าทั้งน้ำตา “ขอบคุณพี่หู”
หลิวซื่อฟังคำพูดของลุงหูแล้วก็อดแค่นแคะไม่ได้ “โอ้ ยังไม่ทันแยกบ้านก็อ่อยผู้ชายแล้วหรือ ช่างมีความสามารถเสียจริงๆ! ตนเองเปล่าเปลี่ยวก็ช่างเถิด ยังพาไป๋จื่อลูกสาวไปด้วย คิดจะให้นางเป็นภรรยาของหูเฟิงหรืออย่างไร”
ภรรยาของลุงหูเสียชีวิตไปนานแล้ว มีลูกชายก็ตกน้ำตายเพราะหาปลาตั้งแต่อายุสิบแปด หลังจากนั้นเขาจึงอยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด สามปีก่อนเขาช่วยชายหนุ่มคนหนึ่งกลับมาจากในป่า ชายหนุ่มผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่ง สูงใหญ่และแรงเยอะ อีกทั้งได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ จำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ลุงหูตั้งชื่อเขาว่าหูเฟิง เก็บมาเลี้ยงต่างบุตรชาย
ลุงหูถลึงตามองหลิวซื่อด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “อย่าเหมารวมผู้อื่นว่ามีความคิดสกปรกเช่นเดียวกับเจ้าสิ ข้าหูจ่างหลินไม่ใช่คนไร้หัวใจเหมือนพวกเจ้า”
จ้าวซื่อรีบโน้มน้าว “พี่หู ท่านเพิ่งแนะนำข้าว่าอย่าไปอารมณ์เสียกับพวกนาง ไม่คุ้มค่า อย่าสนใจนางเลยเจ้าค่ะ ปากสุนัขย่อมคายงาช้างออกมาไม่ได้[1]”
ครั้นหลิวซื่อได้ยินประโยคนี้ นางก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟในทันที เท้าสะเอวต่อว่า “จ้าวหลาน เจ้าว่าใครปากสุนัข เจ้าพูดอีกรอบสิ เก่งจริงก็พูดออกมาอีกรอบ”
จ้าวหลานไม่คิดจะสนใจนาง จึงหันหันหลังให้หลิวซื่อ
หลิวซื่อโมโหนัก ปกติแล้วมีเพียงนางที่เป็นคนรังแกจ้าวหลาน ถึงตาจ้าวหลานมารังแกนางเมื่อไรกัน ครั้นนึกถึงสองฝ่ามือเมื่อครู่นี้ นางก็คุมไฟโทสะในใจไม่อยู่อีกต่อไป พลันพลิกมือหยิบไม้กวาดในบ้านขึ้นมา ถลันเข้าไปหาจ้าวหลาน
[1] ปากสุนัขย่อมคายงาช้างออกมาไม่ได้ หมายถึง คนเลวย่อมไม่พูดสิ่งที่ดี