คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 520 เงื่อนงำ
หมิงเวยออกจากวังในวันที่สองที่เกิดเรื่อง ตระกูลจี้ไม่ได้อยู่ในระดับนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าคลื่นลับกำลังพลุ่งพล่านในวัง
ผ่านไปสองสามวันจี้หลิงได้ยินข่าวเหล่านั้นถึงมาพูดคุยกับหมิงเวยเงียบๆ
ได้ยินเขาพูดพลางเดินวนไปวนมาหมิงเวยก็หลุดหัวเราะแล้วพูดออกไปตรงๆ ว่า “พี่ใหญ่อยากถามเรื่องไท่จื่อหรือเจ้าคะ”
เมื่อเห็นสีหน้าใจกว้างของนางจี้หลิงก็พูดออกไปว่า “ไท่จื่อไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเราสักหน่อยพี่แค่กังวลว่าเจ้ากับเยวี่ยอ๋องจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วยหรือไม่”
หมิงเวยรู้อยู่แก่ใจว่าการค้าเหล่านั้นจี้หลิงจัดการได้เป็นอย่างดี ด้วยความฉลาด และไหวพริบของเขาต้องไหวตัวในเรื่องของพวกเขาแน่ที่เขาไม่พูดเพราะเขาเชื่อตน ตอนนี้เขาถามก็คงไม่ดีหากปิดบังเอาไว้
นางพูดว่า “พี่ใหญ่วางใจได้พวกเราไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นไท่จื่อที่ทำผิดเอง” นางชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ซิ่นอ๋องเองก็มีส่วนเจ้าค่ะ เกรงว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดความโกลาหลในราชสำนักได้”
“ร้ายแรงเพียงนั้นเชียวหรือ”
หมิงเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่พวกเขาทำร้ายแรง แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา พี่ใหญ่ไม่ได้มีจุดยืนชัดเจน ท่านลุงไม่รู้เรื่องการเมือง พวกเขาวุ่นวายก็เป็นเรื่องของพวกเขาพวกเราก็อยู่ในส่วนของพวกเรา ครรภ์ของพี่สะใภ้เจ็ดเดือนแล้วใช่หรือไม่ เร็วจริง อีกไม่นานคงคลอดแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อพูดถึงบุตรที่ยังไม่เกิดจี้หลิงก็เผยรอยยิ้ม “อืม อีกสองเดือน” สองพี่น้องพูดอะไรบางอย่างจากนั้นก็แยกย้ายกันไป
หลังจากคุยกับจี้หลิงเสร็จรถม้าของอันอ๋องก็จอดลงที่ปากซอย หมิงเวยขึ้นรถม้าครึ่งชั่วยามต่อมาก็เข้าไปในสวนแห่งหนึ่ง เป็นอันอ๋องเฟยที่เชิญนางมาเล่นด้วยกัน
อากาศร้อนระอุไม่ใช่เวลาที่ควรเล่นเลย อันอ๋องเฟย และหมิงเวยเล่นไพ่ด้วยกันอยู่พักหนึ่งก็ทานของว่างเย็นๆ ด้วยกันจากนั้นก็พูดว่า “วันนี้อากาศร้อนเสียจนอารมณ์ไม่ดีเลย ตอนนี้ข้าง่วงมากด้วยอยากนอนพักสักหน่อย คุณหนูเจ็ดถือสาหรือไม่”
แน่นอนว่าหมิงเวยไม่ถือสา
อันอ๋องเฟยเรียกบ่าวรับใช้มา “นำทางคุณหนูเจ็ดไปรับลมเย็นที่ศาลาริมน้ำ พวกเจ้าคอยปรนนิบัตินางด้วย”
บ่าวรับใช้ตอบรับ “คุณหนูเจ็ดเชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
สวนของอันอ๋องมีการขุดทะเลสาบเทียมขนาดใหญ่ ศาลาริมน้ำสร้างขึ้นบนทะเลสาบรับลมเย็นสดชื่น ช่างเป็นสถานที่ที่ดีในการหลีกหนีจากความร้อนของฤดูร้อน
หมิงเวยเข้าไปในศาลาริมน้ำบ่าวรับใช้ถอยออกไปจนไม่เห็นสักคนเดียว
นางนั่งชมปลาอยู่หน้ารั้วกั้นหลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงมาจากด้านหลัง “เรียกเจ้าออกมาไม่ง่ายเลยจริงๆ”
หมิงเวยไม่ได้หันหลังกลับ แต่พูดว่า “ง่ายไปมันจะดีหรือเจ้าคะ บุตรสาวชั้นสูงพวกนั้นจะออกไปข้างนอกตามใจชอบได้เหมือนข้าหรือไม่”
ก็จริง แต่…
“ข้าไม่เจอเจ้าหนึ่งวันเหมือนผ่านไปสามฤดูใบไม้ร่วงเลย” หยางชูนั่งลงข้างหลังนางแล้วเอนตัวเข้าไปหา “พวกเรากำหนดวันกันดีหรือไม่” หมายถึงวันอะไรทั้งสองคนรู้อยู่แก่ใจดี
หมิงเวยผลักเขาแล้วพูดเสียงเด็ดขาด “หากอยากกำหนดวัน ท่านสามารถเปลี่ยนตัวคู่หมั้นได้เจ้าค่ะ”
หยางชูลูบจมูกแล้วพึมพำ “โหดร้ายเสียจริง”
เขาล่อลวงในทุกวิถีทางที่ทำได้ แต่น่าเสียดายที่นางยืนกรานไม่รับตำแหน่ง
“ช่วงนี้ท่านดูสนิทกับอันอ๋องนะเจ้าคะ!” หมิงเวยพูด “ถึงได้ขอให้อันอ๋องเฟยมาช่วยท่าน”
หยางชูเอนตัวพิงราวบันได “เขาหวังดีข้าก็ตอบสนองเดิมทีพวกเราสองคนก็ไม่ได้เกลียดชังกันถึงเพียงนั้น พูดตามจริงเป็นข้าที่รังแกเขาอยู่หลายครั้งเขาไม่ใส่ใจแล้วเหตุใดข้าต้องใส่ใจด้วย”
หมิงเวยยื่นมือออกมาลูบหัวเขา “เด็กดีจริงๆ”
หยางชูจับมือนางเข้ามากัด “เป็นเด็กดีเพียงนี้ไม่มีรางวัลให้หรือ”
หมิงเวยยิ้ม และเอนตัวไปหอมแก้มเขา ในช่วงที่เขาโน้มกายเข้ามาหมายจะโอบกอดเพื่ออยากทำอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น นางก็ผลักเขาออกอย่างเลือดเย็น “พูดเรื่องสำคัญกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
หยางชูไม่พอใจแล้วพูดว่า “จูบเสร็จแล้วค่อยคุย ไม่จูบไม่คุย”
“อ้อ เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องพูดเจ้าค่ะ”
“…” หยางชูหมดหนทางกับนางจึงทำได้แต่ทำตัวติด “เรื่องนั้นวันนี้น่าจะรู้ผลแล้ว”
หมิงเวยหันไปมองเขา “การประชุมประจำวันสิ้นสุดผู้อาวุโสทั้งเจ็ดยังไม่ไปไหน ใต้เท้าเจี่ยงเองก็อยู่ด้วย และว่านต้าเป่าก็ได้เชิญฝูอ๋องเข้าวัง”
หมิงเวยเข้าใจแล้ว “ตอนนี้มีการพิจารณาคดีในวังหรือเจ้าคะ”
“อืม” หยางชูเล่นนิ้วของนางยิ่งมองยิ่งน่าอร่อยจนทนไม่ได้ยกขึ้นมากัด
เขากัดไม่เจ็บเพียงแค่รู้สึกคันเหมือนลูกสุนัขที่เพิ่งฟันขึ้น
“ทางด้านอาจารย์ฟู่ล่ะเจ้าคะ”
“ทุกอย่างพร้อมแล้ว” หยางชูยิ้ม “ไท่จื่อไม่รอดแน่ ซิ่นอ๋องคงคิดว่าตนเองสามารถเข้ารับตำแหน่งแทนได้ ปล่อยให้เขาภูมิใจไปสักพักเดี๋ยวก็ล้มตามไป”
หมิงเวยถอนหายใจเล็กน้อยและพูดว่า “ข้านึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้เจ้าค่ะ”
“อะไรหรือ”
“ในประวัติศาสตร์ของข้า ไท่จื่อถูกปลดเพราะเขาสูญเสียศีลธรรมเพราะลวนลามนางสนม เรื่องนี้ข้าลองมาคิดๆ ดูแล้วมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ไท่จื่อตั้งใจจะใส่ร้ายซิ่นอ๋องกับเผยกุ้ยเฟย ผลลัพธ์กลับกลายเป็นถูกซิ่นอ๋องโต้กลับแทน”
ด้วยอุบายของไท่จื่อจะเล่นงานซิ่นอ๋องได้อย่างไรในประวัติศาสตร์ของนาง ไท่จื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฟู่จิน
หยางชูเงียบและพูดว่า “เช่นนั้นท่านน้า…”
หมิงเวยมองเขาอย่างเสียใจ “เกิดความวุ่นวายจากสงครามนับสิบปีจึงมีบันทึกมากมายสูญหาย ข้ารู้เพียงว่าเหวินตี้ต้องการฝังศพร่วมกับเผยกุ้ยเฟย แต่ไม่สำเร็จ พอมาคิดดูเหนียงเหนียงน่าจะไม่ห่วงชีวิตตนเอง”
หยางชูปล่อยมืออย่างรวดเร็ว “อย่างไรท่านก็กลับมาแล้ว พวกเราสามารถสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ได้เรื่องพวกนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง”
หมิงเวยมองเขาเกิดรอยยิ้มในแววตา “เจ้าค่ะ”
………….
แววตาของไท่จื่อแข็งค้างเขามองเจี่ยงเหวินเฟิงด้วยความตกใจ
ใครๆ ต่างก็รู้กันดีว่าที่เจี่ยงเหวินเฟิงพูดก่อนหน้านี้คืออะไร จะให้ตนยอมรับได้อย่างไรกัน เขาจึงปากแข็งจนถึงที่สุด เจี่ยงเหวินเฟิงไม่พูดอะไร และเริ่มคลี่คลายคดี
สาวใช้ที่ส่งจดหมายตกน้ำตายไปแล้วเดิมทีคนตายไม่สามารถให้การได้ แต่เจี่ยงเหวินเฟิงพบหลักฐานการฆาตกรรม และพบว่าผู้ใดเป็นคนผลักนางตกลงไปในทะเลสาบ
ขันทีผู้นั้นตัวสั่น เจี่ยงเหวินเฟิงพินิจพิเคราะห์ต่อหน้าทุกคนแล้วให้การยืนยันว่าเขาเกี่ยวข้องกับตำหนักตงกง ระหว่างทางไปตำหนักไท่หยวน ทหารพบนางในที่กำลังติดตามเผยกุ้ยเฟย และได้พบหลักฐานซึ่งชี้ตัวไปที่ไท่จื่ออีกครั้ง
สุดท้ายกระดาษแผ่นนั้น…กระดาษอวี้รุ่นที่มีเฉพาะในวัง และตำหนักอ๋องและที่มาของหมึกหรงฮวา เมื่อตรวจสอบบันทึกของหออวี้เป่ามีเพียงตำหนักตงกงเท่านั้นที่ซื้อไปไม่กี่ชิ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่สำคัญที่สุดคือ องครักษ์เงาของฮ่องเต้พบตัวคนคัดลอกเลียนแบบลายมือแล้ว
“ชั่วช้า!” ฮ่องเต้โกรธจัด “จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่ยอมรับอีกหรือ”
ไท่จื่อไม่สามารถพูดอะไรเพื่อปกป้องตัวเองได้อีกต่อไป และล้มลงกับพื้นด้วยอาการสั่นเทา
ซิ่นอ๋องรู้สึกภูมิใจมาก ในระหว่างนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เล่าเรื่องที่ไท่จื่อลากเขาไปที่ศาลาว่างถิงในคืนนั้น ตอนนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าไท่จื่อใส่ร้ายเผยกุ้ยเฟยและเขา เช่นนั้นเขาเองก็กลายเป็นแพะ!
ตราบใดที่ไท่จื่อถูกตัดสินว่ามีความผิดตำแหน่งรัชทายาทต้องตกมาอยู่ที่เขาแน่!
ในตอนนี้เจี่ยงเหวินเฟิงก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ฝ่าบาท ยังมีประเด็นที่น่าสงสัยในคดีนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ระงับความโกรธ “พูดมา”
เจี่ยงเหวินเฟิงหันศีรษะและสั่ง “นำตัวพยานหมายเลยสี่มา”
“ขอรับ” เมื่อเห็นพยานที่ถูกนำตัวมาที่ท้องพระโรง ซิ่นอ๋องถึงกับใจตกไปที่ตาตุ่ม หญิงชราขี้กลัวผู้นั้นไม่ใช่ท่านยายหร่วนที่เขาจัดให้มาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเผยกุ้ยเฟยหรอกหรือ
…………….