คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 519 สืบคดี
ฟู่จินเดินทางไปที่หออวี้เป่า
หออวี้เป่าเป็นร้านค้าพู่กันน้ำหมึกซึ่งเจ้าของเป็นบัณฑิตแม้จะการเรียนธรรมดา แต่กลับชื่นชมคนมีชื่อเสียงมาก
ร้านของเขาเลือกแขก หากไม่รู้หนังสือจะเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือชนชั้นสูงเขาก็ไม่ไว้หน้า แต่สำหรับฟู่จินผู้ยิ่งใหญ่แล้วได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทันทีที่เขาปรากฏตัว
การเลือกปฏิบัติเช่นนี้ในยุคที่การเขียนได้รับความนิยม ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของศีลธรรมอันสูงส่งอีกด้วย
ดังนั้นแม้หออวี้เป่าเป็นเพียงร้านขายพู่กันน้ำหมึก แต่ก็มีชื่อเสียงที่ยอดเยี่ยมในหมู่แวดวงเหล่าบัณฑิต
“ท่านฟู่ ไม่ได้มาเสียนานเลย” เจ้าของร้านยิ้ม และนำชามาให้ด้วยตนเอง
ฟู่จินหยิบมันขึ้นมาดูสีก่อนแล้วค่อยดมกลิ่น จากนั้นก็จิบช้าๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นชาที่ดีเป็นชาปี้หลัวชุนจากทางใต้หรือ ชาแคว้นฉีของพวกเราไม่ได้หอมเท่านี้”
เจ้าของร้านยกนิ้วโป้ง “ท่านฟู่ช่างรอบรู้ยิ่ง นี่เป็นชาปี้หลัวชุนชั้นเลิศข้าซื้อมาจากพ่อค้าทางใต้เพราะซื้อมาเพียงสองจินข้าจึงหวงมาก แต่เพราะท่านฟู่มาหาจึงเอามาต้อนรับ”
ฟู่จินหัวเราะ “ขอบคุณสหายที่มีระดับ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
เจ้าของร้านใช้โอกาสนี้พูดว่า “หากท่านอยากขอบคุณเขียนอักษรภาพให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว”
ฟู่จินลูบข้อมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเหตุใดไม่รีบเอาพู่กันกับหมึกมาล่ะ”
เจ้าของร้านดีใจมากแล้วสั่งผู้ช่วยของตน “เร็ว! รีบไปเอากระดาษ พู่กันกับหมึกที่ดีที่สุดมา!” จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วผายมือ “เชิญขอรับ”
ฟู่จินเข้าไปในห้องส่วนตัวที่ชั้นบนผู้ช่วยยื่นพู่กันกับหมึกให้ เจ้าของร้านก็พูดว่า “การเขียนต้องใช้สมาธิ พวกเจ้าถอยออกไปเฝ้าข้างล่างไว้ให้ดีอย่าให้คนอื่นมารบกวนท่านฟู่ได้” ผู้ช่วยตอบรับจากนั้นก็พาผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจนหมด
เมื่อประตูห้องส่วนตัวปิดลงก็ไม่มีผู้ใดอยู่ที่ชั้นสองอีก เจ้าของร้านหุบยิ้มเขาคารวะให้ฟู่จินแล้วพูดเสียงเคร่งขรึม “ท่านฟู่”
ฟู่จินพยักหน้าแล้วถามว่า “ทางด้านท่านอ๋องมีข่าวที่แน่นอนแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ” เจ้าของร้านเข้าประเด็นสำคัญรีบอธิบายเรื่องนี้อีกครั้ง และสุดท้ายก็พูดว่า “ลายมือของบุคคลนั้นมีเพียงตำหนักตงกงเท่านั้นที่มีของเก่าหลงเหลือไว้อยู่หลักฐานแน่นหนาความผิดนี้ล้างไม่ออกแน่นอนขอรับ”
ฟู่จินรับขึ้นมาพลิกดู และพยักหน้าเบาๆ “ง่ายกว่าที่คิดไว้เสียอีกเนื่องจากเป็นหลักฐานที่หักล้างไม่ได้ไท่จื่อถูกตัดสินแน่นอน ทางซิ่นอ๋องข้ากำลังจัดการอยู่ สร้างหลักฐานให้เป็นจริงให้ได้ เจ้าไปบอกท่านอ๋องว่าจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้อย่าเคลื่อนไหวเด็ดขาดหากเคลื่อนไหวถือว่าพลาดทันที”
“ขอรับ” ฟู่จินออกจากหออวี้เป่าเขาเดินไปตามถนน และไปที่จวนของหลู่เซียง เขาเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถูกส่งออกมาอย่างสุภาพโดยพ่อบ้านของจวนหลู่เซียง ทันทีที่เขาก้าวออกไปประตูจวนหลู่เซียงก็ปิดลงด้วยเสียงดังปัง
…………
การประชุมประจำวันในวันที่สองสิ้นสุดลงหลู่เซียงก็ยังไม่จากไปไหน
ฮ่องเต้รู้อยู่แก่ใจจึงถามไปว่า “หลู่ชิงมีอะไรอยากพูดหรือ”
หลู่เซียงโค้งกาย “ฝ่าบาทไม่พูดถึงมาหลายวันแล้วคิดว่าคงมีปัญหาอื่นๆ แต่อย่างไรไท่จื่อก็เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ กระหม่อมจึงอยากเรียนถามว่าไท่จื่อทำผิดอะไรถึงถูกกักตัวในตำหนักหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่โกรธ แต่ตอบกลับด้วยเสียงนุ่มนวล “ถึงหลู่ชิงไม่พูดถึงเรื่องนี้ เจิ้นก็จะบอกกับเจ้าอยู่แล้วเพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาจึงไม่ได้บอกในเมื่อหลู่ชิงถามมาเจิ้นก็จะบอก”
เขาอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังจากนั้นก็ถอนหายใจ “นี่เป็นความอัปยศของครอบครัวเจิ้นมันไม่ง่ายเลยที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะดังนั้นเจิ้นจึงปิดปากเงียบ”
หลู่เซียงลูบเครา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้กระหม่อมใจร้อนเกินไป” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไท่จื่อ และซิ่นอ๋อง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องอื้อฉาวในครอบครัวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของอาณาจักรอีกด้วยไม่ช้าก็เร็วฝ่าบาทก็ต้องอธิบายพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นรู้ เจิ้นเองก็รอผลเช่นกันรอเจี่ยงเหวินเฟิงสืบสวนเรื่องราวก่อนเจิ้นถึงจะป่าวประกาศออกไป”
หลู่เซียงถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากเป็นเรื่องจริงฝ่าบาทจะทำอย่างไรกับไท่จื่อหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เลิกคิ้วไม่พูดอะไร หลู่เซียงถอนหายใจในใจแล้วพูดว่า “ไม่ว่าฝ่าบาทจะทำเช่นไรทำให้ผู้คนเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พูดว่า “เมื่อถึงตอนนั้นเจิ้นจะให้ขุนนางทุกท่านในราชสำนักเป็นพยาน”
เมื่อหลู่เซียงได้รับการรับประกันจึงเห็นด้วย “กระหม่อมจะรอฝ่าบาทเรียกเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
…………
ไท่จื่อ และซิ่นอ๋องไม่ได้ออกจากตำหนักไท่หยวนเลยตั้งแต่วันนั้น พวกเขาอยู่คนละห้องกลายเป็นเพื่อนข้างห้องกัน
เมื่อเทียบกับความวิตกกังวลของไท่จื่อแล้วอารมณ์ของซิ่นอ๋องนั้นดีกว่ามาก
ในตอนที่เขาวางแผนยั่วยุไม่คิดว่าไท่จื่อจะรีบร้อนจนวางแผนโง่ๆ เช่นนี้ขึ้นมา
นี่เป็นการขุดหลุมฝังศพตนเอง!
จะเห็นได้ว่าบัลลังก์นี้ถูกกำหนดให้เป็นของเขา และเขาคือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์!
ตอนนี้ออกไปที่ใดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทิวทัศน์ของตำหนักไท่หยวนนั้นดี ถึงเวลาพักฟื้นแล้ว! อีกทั้งยังได้ชมสถานการณ์อันน่าอับอายของไท่จื่อ แม้แต่ข้าวเขายังทานได้ไปหลายชามเลยทีเดียว
เจี่ยงเหวินเฟิงสืบสวนคดีนี้อย่างรวดเร็วห้าวันต่อมาก็มีทหารพาพวกเขาออกไป
ซิ่นอ๋องอารมณ์ดีเขาคุยกับทหารอย่างสนิทสนมว่า “นายพลตัน เสด็จพ่อต้องการพบพวกเราหรือ เรื่องนี้ได้รับการสืบค้นเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”
หัวหน้าทหารอารักขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “กระหม่อมเพียงได้รับคำสั่ง ท่านอ๋องไปถึงก็จะทราบเองพ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่นอ๋องไม่โกรธเขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองถูกพาไปที่ท้องพระโรง ซิ่นอ๋องเงยหน้าขึ้นในใจเขาแทบกลั้นยิ้มไม่ไหว
ในท้องพระโรงมีจำนวนคนไม่มากนัก แต่ทุกคนมีสถานะที่ไม่ธรรมดา
ฮ่องเต้นั่งตัวตรงขนาบข้างด้วยเจี่ยงเหวินเฟิง และผู้อาวุโสในราชสำนักทั้งเจ็ดท่าน โส่วเซี่ยงหลู่เซียงได้รับที่นั่งตำแหน่งตรงข้ามเขามีที่นั่งหนึ่ง ซิ่นอ๋องเหลือบมองก็พบว่าเป็นฝูอ๋องเจียงฮุ่ย
ฝูอ๋องไม่ใช่สายเลือดของไท่จู่ แต่เป็นทายาทของพี่ชายร่วมเทียดของเขา
เชื้อพระวงศ์ตระกูลเจียงนั้นหายากหลังจากที่ไท่จู่เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ก็มองหาลูกหลานของพี่ชายร่วมเทียดได้หนึ่งคน และแต่งตั้งเขาเป็นฝูอ๋อง
ฝูอ๋องผู้นี้รุ่นราวคราวเดียวกับฮ่องเต้อายุของเขามากแล้ว แต่ไม่ว่าจะอายุหรือลำดับผู้อาวุโสล้วนสูงกว่ามากตอนนี้ดำรงตำแหน่งจงเจิ้ง[1]
ในเมื่อฝูอ๋องอยู่ที่นี่ซิ่นอ๋องก็ตระหนักว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ เขาตื่นเต้นขึ้นไปอีก
นี่เป็นการปลดไท่จื่อใช่หรือไม่แสดงว่าฝูอ๋องถูกเรียกมาให้เป็นพยานสินะ
“เสด็จพ่อๆ! ลูกถูกปรักปรำ!”
เสียงของไท่จื่อดึงความสนใจของเขากลับมาซิ่นอ๋องทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วโค้งกายคำนับ “ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองถูกเปรียบเทียบจนเห็นความต่างอย่างเห็นได้ชัด
ไท่จื่อถูกคุมขังมาสองสามวันแล้วส่งข่าวออกไปไม่ได้ เข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ไม่ได้ เขาถูกจินตนาการของตนเองทำให้หวาดกลัวดั่งนกตื่นธนู ตอนนี้ได้โอกาสแล้วจึงได้แต่ร้องทุกข์
ซิ่นอ๋องเหลือบมองโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร แต่ในใจกลับหัวเราะ
ช่างโง่นัก เรื่องนี้ตนชนะแล้ว!
ฮ่องเต้เหลือบมองอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “เจียงชิง”
เจี่ยงเหวินเฟิงก้าวออกมา “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เริ่มได้เลย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
นี่เป็นคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เขาเคยสืบสวนมา ผู้ชมการสืบสวนคดีไม่ได้มีเพียงผู้อาวุโสในราชสำนักทั้งเจ็ดท่าน แต่ยังมีฝูอ๋องและฮ่องเต้ และผู้ถูกพิจารณาคดีคือไท่จื่อและซิ่นอ๋อง
นี่เป็นคดีที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายที่สุดที่เขาสืบสวนมา ไม่มีเอกสารการดำเนินคดี แม้แต่เอกสารบันทึกคำให้การก็ไม่มี และไม่มีการประกาศคำตัดสินในท้ายที่สุดด้วย
อย่างไรก็ตามผลของคดีนี้เกี่ยวข้องกับสถานะของรัชทายาทฮ่องเต้ในอนาคต และอนาคตของแคว้นฉี
เจี่ยงเหวินเฟิงกลับมาเผชิญหน้ากับไท่จื่อและซิ่นอ๋อง จากนั้นก็ถามคำถามแรก “ท่านทั้งสอง สวรรค์มีความยุติธรรม ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ตราบใดที่ทำเสร็จแล้ว ย่อมทิ้งร่องรอยไว้อย่างแน่นอน หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของพวกท่าน พูดตอนนี้อาจมีโทษสถานเบาพวกท่านยินดีที่จะสารภาพหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
……………
[1] จงเจิ้ง : ดูแลกิจการเกี่ยวกับพระญาติฝ่ายฮ่องเต้และพระญาติฝ่ายฮองเฮาเป็นต้น เป็นขุนนางที่มีความเกี่ยวข้องกับงานธุรการ เป็นสมุห์บัญชีจดรายนามลำดับของพระญาติพระวงศ์และมีหน้าที่ตัดสินคดีที่เกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์โดยส่งจงเจิ้งไปไต่สวนและตัดสินก่อนและส่งรายงานมาในภายหลัง