คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 518 สอบถาม
ที่หน้าประตูวัง อันอ๋องชะเง้อคอมองไปรอบๆ เมื่อเห็นหยางชูเดินออกมาเขาก็ออกอาการดีใจ “หลานชาย ทางนี้ๆๆ!”
หยางชูเห็นเขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันใด ตอนนี้หน้าวังมีคนจำนวนมากเมื่ออันอ๋องตะโกนขึ้นสายตาแทบทุกคู่จับจ้องมาที่พวกเขา
“พอแล้วๆ!” หยางชูเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว “ท่านตะโกนอะไรนักหนา”
อันอ๋องหัวเราะ “ทำไมหรือถูกเรียกหลานชายไม่ชินหรืออย่างไร แต่ไม่มีทางเลือกหรอกนะ ผู้ใดใช้ให้เจ้าเป็นผู้น้อยล่ะรีบเรียกท่านอาสามให้ข้าฟังเร็ว”
หยางชูเหมือนจะยิ้ม แต่ไม่ยิ้ม “นี่มันดึกแล้ว ท่านอาสามยังไม่กลับจวนไปอีกหรือ”
“ดึกอะไรกัน เพิ่งยามสอง[1]เอง! อีกอย่างพี่ใหญ่กับพี่รองก็ยังไม่กลับมา”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เขาก็นึกขึ้นได้ “จริงสิ พี่ใหญ่กับพี่รองล่ะ พวกเขาออกจากงานไปกลางคันผ่านไปนานแล้วยังไม่กลับมาเลยดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดเห็นหลังงานเลี้ยงยกเลิกใช่หรือไม่”
หนึ่งในสหายหลายคนที่ใกล้ชิดกับอันอ๋องพูดขึ้นว่า “ไม่เห็นเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเองก็ไม่ได้ถามถึง”
ที่นั่งของไท่จื่อ และซิ่นอ๋องนั้นชัดเจนมากฮ่องเต้ไม่มีทางมองไม่เห็น แปลกมากที่พวกเขาทั้งสองคนยังไม่กลับมาฮ่องเต้เองยังไม่ถามสักคำดูอย่างไรก็ผิดปกติ…
อันอ๋องพูดโดยไม่ได้หลบเลี่ยงผู้ใด เหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่เตรียมตัวกลับได้ยินเช่นนั้นก็สงสัย หลายคนที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ยิ่งคิดตามก็ยิ่งตกใจ
ไท่จื่อ ซิ่นอ๋อง และฮ่องเต้ทั้งสามคนออกจากงานไปกลางคัน จากนั้นมีเพียงฮ่องเต้ที่กลับมาผู้เดียว เขาไม่เอ่ยปากถามหมายความว่าทรงทราบหรือว่าไท่จื่อกับซิ่นอ๋องอยู่ที่ใด งานเลี้ยงราชวงศ์นั้นการไม่อยู่ในช่วงจบงานเลี้ยงถือว่าเสียมารยาทมาก หากเป็นสถานการณ์ปกติจะต้องรอพวกเขากลับมาก่อน
อันอ๋องผู้เริ่มออกความคิดเห็นนี้ไม่ได้สนใจเขาเดินทางกลับจวนตามคำร้องของอันอ๋องเฟย ไท่จื่อและซิ่นอ๋องเป็นคนใหญ่คนโต พวกเขาไม่สามารถหายตัวไปภายในวังได้หรอกหากเกิดเรื่องกับพวกเขาจริงๆ คนข้างกายจะต้องรายงานอย่างแน่นอนดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามหลายๆ คนที่ยังคงติดใจกับเรื่องนี้กลับคิดสอบถามถึงเรื่องราวภายในของเรื่องดังกล่าว
ไม่มีความลับบนโลกใบนี้คนในตำหนักไท่หยวนมีมากมายจะต้องมีหนึ่งหรือสองคนที่รู้ ดังนั้นข่าวหยาบๆ พวกนี้จึงผสมออกมาเป็นความจริงที่คลุมเครือ
ระหว่างงานเลี้ยงมีคนเห็นไท่จื่อ และซิ่นอ๋องอยู่ด้วยกัน และดูเหมือนพวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่ จู่ๆ ฮ่องเต้รีบออกจากงานเลี้ยง และไม่รู้ว่าเสด็จไปที่ใด
นางในที่รับใช้ในตำหนักไท่หยวนบอกว่าเมื่อฮ่องเต้เสด็จกลับจากตำหนักหลัง พระองค์ได้พาไท่จื่อ และซิ่นอ๋องกลับมาด้วย
เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลงมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ออกมา หมายความว่าไท่จื่อและซิ่นอ๋องถูกขังอยู่ตำหนักหลังหรือ
จริงสิมีเรื่องราวเกิดขึ้นในระหว่างนั้นด้วย ใต้เท้าเจี่ยง จิงจ้าวอิ่นเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้นได้รับคำสั่งให้ไปตำหนักไท่หยวน จากนั้นก็ยังไม่ได้ออกจากวัง มีข้อบ่งชี้หลายประการว่าไท่จื่อ และซิ่นอ๋องก่อความผิด! หรือว่าท้องฟ้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
หลังจากนั้นไม่กี่วันทุกคนพบว่าไท่จื่อ และซิ่นอ๋องยังหายตัวไป ฮ่องเต้เองก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำในทางกลับกัน ใต้เท้าเจี่ยงมักเข้าออกวังอยู่บ่อยๆ ข้อสงสัยก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาเกิดความไม่สบายใจ
ต้องเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แน่!
แต่ไม่รู้ว่าผู้โชคร้ายคือไท่จื่อหรือซิ่นอ๋อง หรือโชคร้ายทั้งสองคนเลย
ด้วยตำแหน่งขององค์ชายทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ทำให้แต่ละคนนั่งไม่ติด
ตำหนักตงกง และจวนซิ่นอ๋องต่างพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสอบถามข่าว แต่ในวังก็เงียบรู้แค่ว่าไท่จื่อ และซิ่นอ๋องอยู่ในตำหนักไท่หยวน นอกนั้นก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรอีก
…………
“อาจารย์ฟู่จะทำอย่างไรดีขอรับ” เหวินยวนกังวลมากจนคว้าฟู่จิน และถามซ้ำๆ ฟู่จินบิดข้อมือหลังจากเขียนเสร็จแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนว่า “คุณชายเหวินไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน”
“ไอหยา อาจารย์ฟู่! นี่มันเวลาไหนแล้วท่านรีบคิดหาวิธีเถอะ!” เหวินยวนจะสามารถเกลี้ยกล่อมเขาด้วยประโยคเดียวได้อย่างไร ความรุ่งโรจน์ของจวนเฉิงเอินโหวอยู่ที่ตัวไท่จื่อ เมื่อไม่กี่วันก่อนเรื่องอื้อฉาวของเฉิงเอินโหวฮูหยินที่ถูกไล่ออกจากวังถูกเปิดเผยในที่สาธารณะแล้วยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบตอนนี้ยังมาได้ข่าวว่าไท่จื่อถูกขังอีก
หากไท่จื่อล้มลงจวนเฉิงเอินโหวจบสิ้นตามไปด้วยแน่!
ฟู่จินยังคงเขียนต่อไปเขาพูดไปเขียนไปว่า “คุณชายใหญ่ก็ทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก พวกเราไม่ได้รับข่าวใดๆ หมายความว่าฝ่าบาทได้ตัดสินพระทัยแล้ว ในเวลานี้ไม่เกิดความโกลาหล การเขียนจำเป็นต้องใช้สมาธิสงบสติอารมณ์แล้วค่อยว่ากันดีกว่า”
เหวินยวนไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายจึงได้แต่ไล่ตามเขาแล้วถามว่า “อาจารย์สงบเช่นนี้หมายความว่ามีวิธีแล้วหรือ”
ฟู่จินเงียบไม่พูดอะไร เขาเขียนจดหมายอย่างไหลลื่นเขียนทุกคำอย่างระมัดระวัง
จนกระทั่งเขาเขียนได้ครบสิบหน้าเสร็จก็โยนพู่กันทิ้ง เขาถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอกแล้วพูดกับเหวินยวนว่า “ไท่จื่อ และซิ่นอ๋องถูกขังอยู่ด้วยกัน มีความเป็นไปได้อยู่สามอย่าง หนึ่งคือไท่จื่อทรงทำอะไรบางอย่าง และซิ่นอ๋องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย สอง ในทางกลับกันซิ่นอ๋องคงทำอะไรบางอย่าง และสามทั้งสองทำความผิดร้ายแรง”
“จากนั้นเล่า”
“อย่างที่สองคือสถานการณ์ที่ดีที่สุดฝ่าบาทขังพวกเขาไว้ และคงปล่อยตัวออกมาในอีกไม่กี่วัน แต่อย่างที่สามแม้จะยุ่งยากเล็กน้อย แต่ก็มีช่องว่างให้ดำเนินการ อย่างแรกลำบากที่สุดเพราะหากผู้ที่ทำผิดคือไท่จื่อมันจะเป็นหายนะสำหรับพวกเรา”
“แล้วทำอย่างไรดี” เหวินยวนถามด้วยความกังวลเขาติดตามไท่จื่อมาหลายปีแล้ว และรู้สึกว่าสถานการณ์แรก...มีโอกาสมากที่สุด!
ไท่จื่อไม่เก่งกลอุบายเท่าซิ่นอ๋อง หากเผชิญหน้ากันมักจะเป็นฝ่ายตกหลุมพรางเสมอการล่าถอยออกมาเป็นการดีที่สุด
ฟู่จินลูบข้อมือของเขาช้าๆ “หากเป็นอย่างแรกก็ไม่ถึงกับเจอทางตันพวกเรายังสามารถทำให้กลายเป็นอย่างที่สามได้”
“อาจารย์ฟู่…”
ฟู่จินยกมือขึ้นพูดขัดจังหวะเขา “ตอนนี้พวกเราสามารถทราบสถานการณ์ของฝ่าบาทผ่านช่องทางพิเศษเท่านั้น”
เหวินยวนตกใจ “ช่องทางพิเศษนั้นคือ…”
ฟู่จินพูดเสียงเรียบ “เสวียนตูกวัน”
ในวันนั้นนอกจากขันที นางใน และเชื้อพระวงศ์แล้วยังมีนักพรตจากเสวียนตูกวันด้วย พวกเขาเป็นอิสระ และมีความสามารถมากต้องรู้สถานการณ์มากกว่าพวกเขาแน่
เหวินยวนดีใจ “เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงนะโชคดีที่ครั้งก่อนท่านโน้มน้าวไท่จื่อให้ปรองดองกับท่านราชครูข้าจะส่งคนไปเสวียนตูกวันเดี๋ยวนี้!”
ช่วงบ่ายผู้ที่เหวินยวนส่งไปกลับมา และก็ไม่ทำให้ผิดหวังเขากลับมาพร้อมข่าว ฟู่จินฟังเสร็จก็พยักหน้า “เอาล่ะ ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าเป็นสถานการณ์อย่างแรก”
เหวินยวนทำอะไรไม่ถูกจึงขอคำแนะนำจากเขา “อาจารย์ฟู่ เราจะทำอย่างไรดี”
“ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรือว่าหากเป็นอย่างแรกก็ทำให้กลายเป็นสถานการณ์ที่สามเสียสิ”
เขาจิบชาแล้วพูดช้าๆ “ในเมื่อตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าในวังกำลังสืบสวนคดีอยู่ เนื่องจากเป็นคดีต้องมีเบาะแส เจี่ยงชิงเทียนผู้นั้นบังเอิญว่าเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าเข้าใจนิสัยของเขาเป็นอย่างดี เขาดูหลักฐานในการสืบสวนคดีเท่านั้นหากพวกเราไปรบกวนเขาในเรื่องนี้ต้องได้ผลดีอันน่าทึ่งแน่นอน!”
เหวินยวนฟังคำสั่งของเขาไม่รอให้ถึงกลางคืนก็ได้รับข่าวสำคัญ
“ไท่จื่อปลอมจดหมาย และตอนนี้ได้กลายเป็นหลักฐานเอาผิดตนเรียบร้อยแล้ว” ฟู่จินพูด “เช่นนั้นพวกเราคิดหาวิธีลากซิ่นอ๋องลงมาด้วย!”
…………..
[1] ยามสอง : 22.00 -02.00 น.