คู่ชะตาบันดาลรัก - ตอนที่ 308 แม่ลูก
หยางชูเดินทางไปยังพระราชวังเชียนชิว ตามที่ฮ่องเต้กล่าวมากุ้ยเฟยล้มป่วยจริงๆ
เขากล่าวทักทายจากนอกห้องพักนางในส่งสารมาว่า “เหนียงเหนียงบอกว่าทำให้คุณชายสามกังวลเสียแล้วท่านเพิ่งออกจากคุกหลวงควรกลับไปพักผ่อนเสียหน่อย อีกสองสามวันสัมภาระที่เตรียมไว้จะถูกส่งไปยังจวนโหวเจ้าค่ะ” หยางชูตอบรับจากนั้นก็ทูลลา
เมื่อออกจากพระราชวังดวงตาของเขาชุ่มฉ่ำเล็กน้อย ฮ่องเต้ไม่ต้องการให้พวกเขาพบกันถึงกับต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ
ฟู่จินได้ฝากหนิงซิวบอกสาเหตุที่ทำให้เขาออกจากคุกได้อย่างราบรื่นแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเผยกุ้ยเฟยยกเรื่องแท้งบุตรเพื่อขอความเมตตาจากฮ่องเต้ หลู่เฉียนคงต้องวางแผนอย่างรอบคอบ และหาโอกาสเพื่อกล้าร้องขอความเมตตาแทนเขา
เมื่อคิดถึงอาการป่วยของเผยกุ้ยเฟยความแค้นในอกของหยางชูก็แทบจะล้นออกมา
แท้ง! นางแท้งบุตร!
อะไรจะเหมาะเจาะถึงเพียงนี้ มาแท้งบุตรในตอนนี้เขาไม่เชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุโอกาสมันพอดีเกินไป! อีกอย่างร่างกายของนางไม่ถือว่าอ่อนแอถึงแม้นางจะมีอายุมากแล้วก็ตาม บางทีการตั้งครรภ์อาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่การแท้งไม่ใช่แน่นอน!
“คุณชายขอรับ” อาสวนเห็นอาการผิดปกติของเขาก็ร้องเรียก
หยางชูก้มหน้าเช็ดน้ำตาแล้วเข้าไปในรถม้า “กลับจวน!”
ไม่กี่วันต่อมาจวนโหวก็ได้รับกล่องใหญ่หลายกล่องจากเผยกุ้ยเฟย
เสื้อผ้า ยา เครื่องใช้ และอาหารมากมายที่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน
อาหว่านนำพวกมันเก็บเข้าสัมภาระทีละอย่าง หยางชูนั่งเล่นอย่างเบื่อหน่ายและไม่พูดอะไรมากเป็นเวลาหลายวัน
อาหว่านเป็นกังวลมากอยากจะเกลี้ยกล่อมเขาแต่ไม่รู้จะพูดอะไร
ในตอนนั้นเองหมิงเวยก็ส่งข้อความมา
…………
เสวียนเฟยกวาดตามองกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าเขาแล้วเลิกคิ้ว “พวกท่านคิดว่าเราไปท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิหรือเหตุใดจึงพาคนมามากมายเช่นนี้!”
หมิงเวยพาตัวฝูมาส่วนหยางชูก็พาอาสวนกับอาหว่านมา
“ถ้าเช่นนั้นท่านจะเอากี่คน”
“มากสุดสองคน”
หมิงเวยเหลือบมอง “ได้เจ้าค่ะ งั้นพวกเราสองคน”
ไม่จำเป็นต้องแย่งกัน
เสวียนเฟยพาพวกเขาเข้าไปในห้องสวดมนต์แล้วสั่งทั้งสามคนว่า “พวกเจ้าเฝ้าที่นี่ไว้ หากมีเหตุฉุกเฉินอะไรให้เคาะระฆังบนโต๊ะได้เลย”
จากนั้นก็นำหมิงเวยและหยางชูไปที่ห้องโถงด้านหลัง โต๊ะแท่นบูชารูปปั้นเทพเจ้าในหลังห้องโถงถูกผลักออกไปด้านข้างเผยให้เห็นรูเล็กๆ
เสวียนเฟยนำพวกเขาเข้ามา จากนั้นก็ทำการจุดคบเพลิง และเดินไปในเส้นทางลับ
ทุกมุมมีเขตอาคมป้องกัน แต่เพราะมีเสวียนเฟยเป็นผู้นำทางจึงไม่มีอุปสรรคอะไรกีดขวาง ใช้เวลานานถึงหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงที่หมาย
เสวียนเฟยผลักแผ่นหินออกไปและทั้งสามก็คลานออกมาจากบ่อน้ำ
หยางชูเงยหน้าขึ้นและถามว่า “ที่นี่คือศาลเจ้าหรือ”
“อืม” เสวียนเฟยตอบเบาๆ “ผู้ที่ดูแลศาลเจ้าคือพวกเราเสวียนตูกวัน ทางด้านกุ้ยเฟยข้าให้คนส่งข้อความไปหานางแล้วถึงตอนนั้นนางคงหาข้ออ้างมาที่นี่ได้”
หมิงเวยไม่คิดว่าเสวียนเฟยจะจัดการได้อย่างรอบคอบเพียงนี้
เดิมทีนางคิดว่านอกจากขอยืมทางลับเข้ามาในวังนางคงต้องคิดหาวิธีกลบร่องรอยเพื่อพาหยางชูไปที่พระราชวังเชียนชิวด้วยตนเอง
ไม่คิดว่าเสวียนเฟยจะคิดหาวิธีแจ้งข่าวกับเผยกุ้ยเฟยแล้ว พบกันที่ศาลเจ้าดูปลอดภัยกว่าพระราชวังเชียนชิวมาก ราชครูที่สามารถเข้าสู่เส้นทางของปีศาจมีความสามารถจริงๆ
ขณะที่พวกเขากำลังพูดอยู่ ชายชราผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาหา และพาพวกเขาไปที่ห้องโถงด้านข้าง
ทั้งสามคนรอไม่นานก็เกิดความโกลาหลขึ้นด้านนอก พวกเขาได้ยินเสียงแหลมเล็กน้อยพูดว่า “ระวังด้วย! เหนียงเหนียงเพิ่งอาการดีขึ้นตากลมไม่ค่อยได้”
หยางชูได้ยินก็รู้ว่าเป็นชุยชุ่น
เผยกุ้ยเฟยมาถึงแล้ว เขากำหมัดโดยไม่รู้ตัวหายใจเข้าเล็กน้อย
เมื่อก่อนเขาได้พบเผยกุ้ยเฟยมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ความหมายมันต่างออกไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกันหลังจากที่เขารู้ชาติกำเนิดของตน
ด้านนอกเผยกุ้ยเฟยลงจากเกี้ยวแล้วถูกประคองพาเข้าไปในห้องสวดมนต์
หลังจุดธูปเทียนขอพรแล้วเผยกุ้ยเฟยก็ลูบห่อผ้าที่ว่างเปล่าจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ให้เปิ่นกงได้อยู่กับลูกที่ไม่มีวาสนาได้เกิดสักครู่เถิดพวกเจ้าออกไปเถอะ”
ใบหน้าซีดเซียวและแววตาเศร้าสร้อยทำให้ไม่มีผู้ใดสงสัยอะไร ก่อนที่ชุยชุ่นจะถอยออกไปได้พูดขึ้นว่า “เหนียงเหนียงอย่าเศร้าไปเลยมิเช่นนั้นฝ่าบาทคงไม่สบายใจเป็นแน่”
เผยกุ้ยเฟยพยักหน้า “รู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
นางในค่อยๆ ถอยออกไปทีละคนจนในที่สุดภายในห้องเหลือเผยกุ้ยเฟยเพียงคนเดียว นางคุกเข่านั่งหน้าเทวรูปพลางอุ้มห่อผ้าเอาไว้ สักพักนางได้ยินเสียงแผ่วเบาจากด้านหลังจึงหันกลับไป
หยางชูออกมาจากห้องโถงด้านข้างและจ้องไปที่นางด้วยสายตาว่างเปล่า
เผยกุ้ยเฟยกะพริบตาน้ำตาไหลจากเบ้าตา และหยดลงบนห่อผ้าทีละหยด
หยางชูจ้องมองนางแล้วเดินเข้าไปหา
เมื่อเขามาอยู่ตรงหน้าเผยกุ้ยเฟย เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่คุกเข่าลงและก้มศีรษะเท่านั้น เผยกุ้ยเฟยยื่นมืออันสั่นเทาออกไปหาและกอดเขาไว้ในอ้อมแขน
“ลูกแม่…”
นางไม่สามารถระงับอารมณ์ได้อีกต่อไปและร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น
ชุยชุ่นที่ได้ยินเสียงจากข้างนอกก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
เหนียงเหนียงเสียใจกับองค์ชายน้อยที่ไร้วาสนาจริงๆ เขาต้องรายงานต่อฝ่าบาทเพื่อที่พระองค์จะได้รู้สึกสงสารนางมากขึ้น
ภายในห้องโถง หยางชูเองก็น้ำตาไหลแต่ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองนาง
จนกระทั่งได้ยินเสียงเตือนของหมิงเวยดังขึ้นข้างหู “พวกท่านรีบทำเวลาหน่อย กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไม่สามารถอยู่ที่นี่นานได้”
นางเพิ่งแท้งไปไม่กี่วันเดิมทีควรจะนอนอยู่บนเตียงเพื่อพักผ่อน ครั้งนี้ต้องหาเหตุผลเพื่อมาจุดธูปที่ศาลเจ้า หากนานเกินไปคนข้างนอกต้องไม่สบายใจแน่
เผยกุ้ยเฟยเองก็ได้สติแล้วยิ้มให้หมิงเวยด้วยความซาบซึ้งจากนั้นก็เช็ดน้ำตาบนใบหน้าตน สองแม่ลูกลุกขึ้นเพื่อไปพูดคุยกันที่ด้านข้าง
“เจ้ารู้ทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่” เผยกุ้ยเฟยถามเสียงเบา
หยางชูพยักหน้าเขาบอกว่า “ข้า…ได้พบอาจารย์ฟู่แล้ว”
เผยกุ้ยเฟยทำหน้าเศร้า “แม่ไม่นึกเลยว่าอาจารย์ฟู่จะยังจำคำสัญญานี้ได้ เขาเป็นสุภาพบุรุษที่ไว้ใจได้จริงๆ แม่คิดว่าเมื่อท่านป้าจากไปคงไม่มีผู้ใดรู้ความจริงนี้อีกแล้ว”
ท่านป้าที่นางเอ่ยถึงคือองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่เป็นพี่สาวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่เป็นป้าของหวงไท่ซุน หยางชูรู้สึกเศร้าเมื่อนางพูดถึงองค์หญิงใหญ่
เมื่อตอนที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่เขาไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขาทำเพื่อตนมากมายถึงเพียงนี้ ในใจเอาแต่โทษพวกเขาว่าทิ้งให้ตนอยู่คนเดียวตามลำพังตอนนี้เขารู้แล้วแต่กลับไม่มีโอกาสได้พบพวกเขาอีก เขารวบรวมความกล้าจากนั้นมองไปยังเผยกุ้ยเฟยแล้วถามออกไปว่า
“ท่าน…ท่านเข้าวังโดยสมัครใจหรือไม่”
แววตาของเผยกุ้ยเฟยดูมืดมน แต่ตอนนี้นางกลับยิ้มให้เขา “แม่ไม่อยากโกหกเจ้า แท้จริงแล้วแม่ไม่ได้เข้าวังโดยสมัครใจ แต่ในช่วงปีนั้นถือเป็นยุคที่รุ่งโรจน์เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิด เมื่อเทียบกับการเป็นหม้ายแต่ยังสาวการแต่งงานใหม่ก็ไม่เลว”
นางพูดเบาๆ แต่หยางชูเกือบจะหลั่งน้ำตา
เมื่อเทียบกับการเป็นหม้ายตอนอายุสิบแปด เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามารดาของเขาจะสามารถแต่งงานใหม่ได้ แต่ต้องเป็นบุรุษที่มารดาต้องการแต่งงานด้วยจริงๆ ไม่ใช่ถูกบังคับให้ไปรับใช้ผู้ใด
เผยกุ้ยเฟยเห็นท่าทางของเขาก็ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าอีกฝ่ายที่ได้ส่วนดีมาจากนางและสามี แววตาของนางอ่อนโยนและชวนให้นึกถึงอดีต
“ในเมื่อรู้ความจริงแล้วก็ควรเข้าใจว่าเขาไม่สามารถยอมรับเจ้าได้ เจ้าจงไปซีเป่ยแล้วอย่ากลับมาที่เมืองหลวง ดูแลจัดการที่นั่นให้ดีการอยู่ห่างไกลฮ่องเต้ ข่าวจากที่นั่นกว่าจะมาถึงเมืองหลวงไม่ง่ายนัก ในอนาคตเจ้าทำในสิ่งที่เจ้าทำได้ ต้องดูแลตัวเองให้ดี หากเจ้าปลอดภับแม่ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้ก็สบายใจแล้ว”