คู่ชะตาบันดาลรัก - ตอนที่ 207 พลาด
เช้าวันที่ท้องฟ้าสดใสหมิงเวยตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวและเปิดประตูห้อง
มนุษย์น่ะ เปลี่ยนจากประหยัดมาฟุ่มเฟือยนั้นง่าย แต่จากฟุ่มเฟือยมาประหยัดนั้นยาก หลังจากให้ตัวฝูติดตามนางมาหลายเดือนหมิงเวยเริ่มไม่คุ้ยเคยกับการอาบน้ำด้วยตนเอง
หวังว่าตัวฝูจะกลับมาเร็วๆ…
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จหมิงเวยก็เดินออกมาจากซอยแต่กลับถูกขวางเอาไว้เสียก่อน รถม้าที่แสนคุ้นเคยหยุดอยู่ที่มุมถนน หมิงเวยไม่เกรงใจนางขึ้นรถม้าทันที
หยางชูเอนกายอย่างเกียจคร้านอยู่อีกด้าน เขายกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองทิวทัศน์ด้านนอกและเมื่อเห็นนางขึ้นมาเขาก็กล่าวทักทาย “ไป ไปดูละครกัน”
“ละคร ละครอะไรหรือเจ้าคะ”
หยางชูยิ้มตาหยี “ละครสนุก”
รถม้าเคลื่อนที่อยู่นานกว่าจะหยุดลง ที่นี่เป็นตรอกแคบๆ และผู้ที่อาศัยอยู่ล้วนเป็นสามลัทธิเก้าอาชีพ ส่วนใหญ่เป็นแขกต่างเมืองที่ไม่ได้เข้าเมืองหลวงมานาน
ทันทีที่รถม้าของพวกเขามาถึงก็ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้หันมามอง
หมิงเวยกลอกตา “ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”
หยางชูยิ้มอย่างมีเลศนัย “เดี๋ยวก็รู้เอง”
หลังจากรออยู่สักพัก ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าของม้า จากนั้นก็เห็นเจ้าหน้าที่จำนวนมากขี่ม้าผ่านรถม้าของพวกเขา เจ้าหน้าที่ลงจากหลังม้าและเดินเข้าไปในตรอกซอย
“เจ้าหน้าที่เข้าจัดการคดี!” หัวหน้าของเหล่าเจ้าหน้าที่ตะโกนขึ้น จากนั้นก็เตะเปิดประตูเรือนหลังหนึ่ง
ต่อมาไม่นานมีเสียงตะโกนร้องลั่นในซอยพร้อมทั้งเสียงต่อสู้ เจ้าหน้าที่พาผู้คนออกไปทีละคน ส่วนใหญ่เป็นบุรุษและมีสตรีอยู่น้อยนิด
หมิงเวยมองคนเหล่านี้อย่างครุ่นคิด “ฐานที่มั่นของกลุ่มยาจกงั้นหรือเจ้าคะ”
หยางชูพยักหน้าอย่างมีความสุข “หวงเฉิงซือค้นพบฐานที่มั่นหลายแห่ง ข้าเลยส่งมอบให้ใต้เท้าเจี่ยงให้เขาส่งเจ้าหน้าที่ไปจับกุม”
หมิงเวยเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว “ท่านกำลังแหวกหญ้าให้งูตื่นงั้นหรือ”
“ใช่!” การได้พูดคุยกับนางนั้นผ่อนคลายมากแค่เปิดเรื่องขึ้นมาก็รู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร “พวกเราทำลายฐานที่มั่นของพวกมันทีละที่ ให้พวกมันหัวหดอยู่ในกระดอง ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนนี้จะต้องพบช่องโหว่เป็นแน่”
ตรวจสอบจนถึงตอนนี้ แปดเก้าไม่พ้นสิบ[1]เว่ยเสี่ยวอันและคนอื่นๆ ต้องถูกลักพาตัวแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกพาตัวไปซ่อนไว้ที่ไหน และโครงกระดูกที่อยู่ในอุโมงค์ใต้สะพานนั้นก็เกี่ยวข้องกับกลุ่มยาจก จัดการบุกประชิดไปทีละขั้นให้กลุ่มยาจกมือไม้อ่อนจนทำอะไรไม่ถูก ทางด้านจี้เสียวอู่จะได้ลงมือได้ง่ายขึ้น
หยางซูหยิบรูปหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะเล็ก ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่บุกเข้ายึดทรัพย์ที่หนึ่ง หยางชูก็จะขีดฆ่าออกที่หนึ่ง
เมื่อจุดบนภาพถูกฆ่าออกเกือบหมดแล้ว หยางชูก็พูดอย่างเกียจคร้านว่า “เอาล่ะ รอข่าวจากทางพี่ห้าของท่านกันเถอะ”
…………
จี้เสียวอู่ไม่คิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นเพียงนี้ เขากำลังทุกข์ว่าจะต้องเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์อะไรดี ทางกลุ่มยาจกกลับมีการเคลื่อนไหวก่อน
ในวันนี้เขากลับมาด้วยท่าทางเหมือนคนมีความสุขและต้องการพบกุ้ยเหนียง ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อมาถึงเรือนของกุ้ยเหนียงกลับได้ยินเสียงออกมาจากด้านในว่า “ใต้เท้า อย่าเจ้าค่ะ!”
จี้เสียวอู่คว้าสาวใช้คนหนึ่งมาถาม “ผู้ใดอยู่ข้างใน”
สาวใช้ลังเล “คุณชายกัว ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ พี่กุ้ยเหนียงมีแขก…”
“อา!” เสียงร้องของกุ้ยเหนียงดังขึ้นจากนั้นก็แผ่วเบาลงเหลือเพียงเสียงสะอื้น
สีหน้าของจี้เสียวอู่เปลี่ยนไปเขาสลัดตัวสาวใช้ออกแล้วพุ่งเข้าไปด้านในหญิงรับใช้เฝ้าประตูพยายามที่จะหยุดเขา แต่กลับถูกอีกฝ่ายสะบัดออกจนกระเด็น
จี้เสียวอู่รีบเข้าไปในห้องและเห็นว่ากุ้ยเหนียงถูกกดลงกับโต๊ะในสภาพเสื้อผ้ายับยุ่งไม่เป็นระเบียบเมื่อนางเห็นเขาเข้ามาก็ตกใจ “คุณชาย…”
คนที่กดนางอยู่เป็นชายวัยกลางคนหน้ามันเยิ้ม เขามองจี้เสียวอู่แล้วพูดด้วยความไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น ข้ากำลังทำธุระอยู่ยังไม่รีบออกไปอีก!”
จี้เสียวอู่ตกใจแล้วก็เปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว เขาก้าวไปข้างหน้าและถีบอีกฝ่าย “ปั้ก!”
ทางด้านคนที่ถูกจี้เสียวอู่ถีบก็โกรธขึ้นมา “ไอ้เด็กโง่จากไหนกล้าลงมือกับข้ากัน! ใครก็ได้เข้ามาที!”
ฉางสุยที่เพิ่งหลบเลี่ยงออกไปรีบเข้ามาทันที “นายท่าน!”
ชายวัยกลางคนชี้ไปที่จี้เสียวอู่ “เจ้าเด็กนี่กล้าทำร้ายข้า โบยมันให้ตายซะ!”
“ไม่นะเจ้าคะ!” กุ้ยเหนียงรีบวิ่งเข้าไปหา “ใต้เท้า อย่านะเจ้าคะ! เขาเป็นน้องชายข้าเองเจ้าค่ะ เขาไม่รู้ความ…”
ได้ยินนางบอกว่าเป็นน้องชาย ชายวัยกลางคนก็ยิ่งโกรธจนไม่สนใจอะไรอีก “ก็แค่บุรุษในหอคณิกาแต่กล้าทำร้ายเจ้านายงั้นหรือ โบยมันให้ตาย” เขาแสยะยิ้มแล้วดึงกุ้ยเหนียงขึ้นมา “ช่างไร้ยางอายจริงๆ! เจ้ามันก็แค่นางโลมคนหนึ่ง กล้าดีอย่างไรมาห้ามข้า ในเมื่อพูดด้วยดีๆ ไม่ยอมทำตามก็คงต้องใช้กำลังบังคับ!”
พูดจบเขาก็ออกแรงฉีกเสื้อนางจนขาดดัง ‘แควก’ เสื้อผ้าตรงส่วนหน้าอกถูกฉีกออกจนเผยให้เห็นเสื้อซับในที่อยู่ด้านในนั้น
จี้เสียวอู่โกรธจัดคิดจะพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่กลับถูกฉางสุยขวางเอาไว้จนกระโดดเข้าไปหาไม่ได้ เขาโกรธมากจนควักกริชออกมา
เขาแค่ต้องการทำให้คนตกใจกลัวเท่านั้น แต่เมื่อเขาขว้างกริชออกไปกลับได้ยินเสียง ‘อา’ กริชปักที่กลางหลังชายคนนั้นพอดี
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปนี้ทำให้กุ้ยเหนียงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ “ใต้เท้าเจ้าคะ”
ฉางสุยตกใจ “นายท่านขอรับ!”
ทั้งสองคนไม่สนใจจี้เสียวอู่ พวกเขารีบเข้าไปดูอาการเจ้านายที่เลือดไหลออกมาจำนวนมากจนดูเหมือนคนใกล้ตาย
จี้เสียวอู่ตกใจ เขานึกขึ้นมาได้ว่าน้องหญิงเคยบอกไว้ว่ากำลังภายในที่นางให้มานั้นเป็นทักษะการยิงเพราะฉะนั้นเขาฆ่าคนตายงั้นหรือ…
ในขณะที่เขายังตกตะลึงอยู่ก็เห็นตัวฝูวิ่งเข้ามาหาด้วยความตกใจ “คุณชายเจ้าคะ!” ตามด้วยฉีผิงที่เดินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น” เขามองกุ้ยเหนียงแล้วหันไปมองจี้เสียวอู่ “พี่กัว ท่านฆ่าพวกเขาหรือ” จี้เสียวอู่เปิดปากขึ้นแต่กลับพูดอะไรไม่ออก
“จบสิ้นแล้ว!”
ฉีผิงรู้สึกแค้นเคืองเป็นอย่างยิ่ง “พี่กัว ท่านรู้หรือไม่ว่าคนผู้นี้เป็นใคร เขาคือเฉาหลางจง[2]ของเสนาบดีกรมขุนนาง! ท่านกำลังมีปัญหาแล้ว!”
จี้เสียวอู่เห็นว่ากุ้ยเหนียงถูกรังแกในช่วงเวลาอันสั้นนั้นเขารู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ ซึ่งไม่ใช่การแสดง และถึงแม้เขาจะไม่ได้ตกหลุมรักกุ้ยเหนียง แต่เมื่อพบเจอเหตุการณ์นี้เขาจะระงับความโกรธได้อย่างไร
แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของฉีผิงอารมณ์ของเขาก็สงบลง
ฉีผิงดูเป็นกังวลขนาดนั้น แต่สายตาของเขากลับมองไปที่กุ้ยเหนียงพร้อมกับเตือนอีกฝ่ายทางสายตา…
เขาเห็นอย่างนั้นก็เข้าใจในทันทีจึงรีบแสดงท่าทางตื่นตระหนกแล้วคว้าตัวฉีผิง “พี่ฉี ข้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขานะ ข้าแค่พลาดไปชั่วขณะ…”
ฉีผิงประคองเขาขึ้นแล้วถอนหายใจ “แน่นอนว่าข้ารู้ เจ้าแค่พลาดไปจนก่อปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว! เฉาหลางจงไม่ใช่คนพเนจรทางการต้องตรวจสอบอย่างละเอียดแน่”
จี้เสียวอู่ลุกลี้ลุกลน “ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรดี พวกเขาจะมาจับข้ากลับไปหรือ ไม่ได้นะหากท่านพ่อรู้เข้า…ไม่สิ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปหากท่านพ่อรู้เข้า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ควรบอกให้ท่านพ่อรู้ถึงจะถูก ใช่ๆ ต้องติดต่อท่านพ่อ…”
เมื่อเห็นว่าเขาจะออกไปทำอะไรสักอย่าง ฉีผิงก็รีบคว้ามือของเขาทันที “พี่กัว ท่านไม่ต้องให้บิดาท่านมาพัวพันเรื่องนี้ด้วยหรอก พวกเรากับทางการเป็นศัตรูกัน อีกอย่างที่นี่คือเมืองหลวงคงเป็นเรื่องลำบากสำหรับบิดาท่าน เอาอย่างนี้ละกันข้าจะลองคิดดูว่ามีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง…”
แล้วจี้เสียวอู่ก็ตระหนักขึ้นมาได้ “จริงด้วย! พี่ฉียึดหลักคุณธรรม ข้ารู้สึกซาบซึ้งจนหาที่สุดมิได้”
“กลุ่มยาจกในใต้หล้าถือเป็นครอบครัวเดียวกัน! พี่กัวไม่ต้องเกรงใจ” ฉีผิงมองผู้ติดตามทั้งสองคนของเฉาหลางจงแล้วพูดขึ้นว่า “เด็กๆ!”
ทั้งสองคนอ่านสีหน้าของเขาออกก็ตะโกนร้องขึ้นมา “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร”
บุรุษกำยำแข็งแรงเดินเข้ามา “ขอรับท่านหัวหน้า”
ฉีผิงพูดอย่างไม่แยแสว่า “จัดการมันซะ!”
…………..
[1] แปดเก้าไม่พ้นสิบ : ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
[2] หลางจง : ทำหน้าที่เป็น องครักษ์ เป็นผู้ติดตาม เสนอแนะในเรื่องต่าง และเตรียมการรับมือ
นอกจากนี้ขุนนางหลางยังมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการเดินทางขององค์จักรพรรดิในทุกครั้งที่จะประพาสไปยังที่ต่างๆ และเป็นผู้ถืออาวุธประจำตัวองค์จักรพรรดิ