คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 88 อวดดี งั้นก็เขียนต่อหน้าทุกคน
คนพูดคือหลินสี่
ปีนี้หลินสี่อายุยี่สิบแปดปี ความรู้ในเรื่องภาพเขียนต่างๆ มีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ เรียกได้ว่าเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถ
นอกจากนี้อาจารย์ของเขายังเป็นอาจารย์เขียนอักษรพู่กันที่มีชื่อเสียง จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะได้รับเชิญมางานนี้
เขามาถึงค่อนข้างเร็ว กล้องจึงตามเขาไปด้วย
หลินสี่เป็นคนหนุ่มไฟแรง ไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้นึกถึงผลที่จะตามมา เขาจึงเปิดโปงออกมาทันที
อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
หลินสี่ชี้ไปยังลายจางๆ ที่อยู่ตรงกลางม้วนภาพต่อหน้ากล้องถ่ายทอดสด “นี่เป็นตราประทับส่วนตัวของอาจารย์เว่ยโฮ่ว คนนอกวงการมองไม่ออก”
“แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ ก็จะเห็นว่ามันประกอบเป็นอักษร ‘เว่ย’”
บรรดาอาจารย์ของชิงจื้อต่างมองหน้ากัน เกิดความไม่พอใจอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง
โชคดีที่เวลานี้คนชมถ่ายทอดสดยังมีไม่มาก
อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะได้สติกลับมาจากความตกใจ เขายกมือขึ้นเพื่อบอกให้ช่างกล้องปิดกล้องก่อน
หลินสี่มีสีหน้าเย็นชา “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทางโรงเรียนจะว่ายังไงครับ”
เมื่อวานซืนเขาเพิ่งจะเอาภาพเขียนนี้ไปให้เว่ยโฮ่ว วันนี้กลับมาโผล่อยู่ที่นี่
ถ้าบอกว่าไม่ได้ขโมยมาเขาไม่เชื่อ
“พวกเราเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีนักเรียนที่กล้าได้ขนาดนี้ครับ” อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะก็ไม่ได้หาข้ออ้าง “เอาแบบนี้นะครับ อีกเดี๋ยวพวกเราจะประจานในพิธีเปิดและลงโทษด้วยการไล่ออกครับ”
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อไม่มีทางยอมทนต่อพฤติกรรมทุจริต
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงเว่ยโฮ่ว
ครั้งนี้ทางโรงเรียนเชิญอาจารย์ชื่อดังในแวดวงศิลปะมาหลายคน แม้กระทั่งประธานสมาคมภาพเขียนอักษรพู่กันแห่งฮู่เฉิงก็มาด้วย
แต่เว่ยโฮ่วเป็นถึงกรรมการของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน
ตำแหน่งเทียบกันไม่ติด
การขโมยผลงานของเว่ยโฮ่วไม่เท่ากับเป็นการท้าทายสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนหรอกหรือ
อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะมองอักษรที่อยู่บนม้วนภาพนั้น หน้านิ่วในทันที
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยสงสัย ที่แท้อิ๋งจื่อจินก็ไม่ได้เขียนเองจริงๆ
สีหน้าของหลินสี่ผ่อนคลายลง “ทางโรงเรียนตัดสินได้ยุติธรรมมากครับ จำเป็นต้องลงโทษหนักจริงๆ”
เขาเองก็หมดความสนใจที่จะชมผลงานต่อ เดินออกจากห้องจัดแสดง เจอจงจือหว่านเข้าพอดี
“รุ่นพี่” จงจือหว่านยิ้มทักทาย “นึกไม่ถึงว่ารุ่นพี่ก็มาด้วย”
“จือหว่าน พี่กำลังหาเธออยู่พอดี” หลินสี่ดึงเธอไปด้านข้าง “เธอรู้จักนักเรียนที่ชื่ออิ๋งจื่อจินหรือเปล่า”
จงจือหว่านตกใจมาก “อิ๋งจื่อจินเหรอคะ นั่นลูกพี่ลูกน้องของฉันเองค่ะ มีอะไรเหรอ”
“มิน่าล่ะ” หลินสี่รู้ว่าวันนั้นจงจือหว่านเอาม้วนภาพเขียนกลับไปเลียนแบบ “อิ๋งจื่อจินน่าจะเห็นเขียนได้ดี และก็ไม่รู้ว่าใครเขียน จากนั้นเลยขโมยมาประกวดในงานเทศกาลศิลปะ”
จงจือหว่านลังเล “ไม่มั้งคะ ถึงน้องสาวฉันคนนี้จะมาจากบ้านนอก แต่จริงๆ แล้ว…”
“เพื่อเงินไงล่ะ” หลินสี่ดูถูก “คนแบบนี้พี่เจอมาเยอะ ไม่ได้ชอบศิลปะอักษรพู่กันจริงหรอก”
อาจารย์ของเขาก็เป็นคนของสมาคมภาพเขียนอักษรพู่กัน แต่ละปีมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากฝากตัวเป็นศิษย์
แต่หลายคนก็แค่อยากอาศัยชื่อเสียงของอาจารย์เขา เพื่อที่ว่าเวลาขายภาพเขียนจะได้เรียกราคาสูง
“สรุปว่า…” จงจือหว่านหยุดเล็กน้อย “รุ่นพี่จับทุจริตเธอได้เหรอคะ”
“อืม เธอไม่ต้องขอร้องแทนเด็กคนนั้นเลยนะ” หลินสี่ยกมือห้ามพลางพูดต่อ “อีกเดี๋ยวทางโรงเรียนของเธอจะประจานแล้วไล่ออก”
จงจือหว่านกลั้นยิ้ม “เข้าใจแล้วค่ะรุ่นพี่”
…
ที่ด้านล่างเวที
โซนนักเรียน
อิ๋งจื่อจินยืดตัวขึ้นพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาปรือเล็กน้อย
แสงแดดสาดส่องลงบนขนตางอนยาวของเธอที่หลุบลงจนเกิดเงา
“พ่ออิ๋ง ไม่นอนแล้วเหรอ” ซิวอวี่สังเกตเห็นท่าทางของเธอ “พิธีเปิดยังไม่เริ่มเลยนะ”
อิ๋งจื่อจินบิดขี้เกียจช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกิดเรื่องแล้ว”
“หืม” ซิวอวี่ไม่เข้าใจ “เรื่องอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก” อิ๋งจื่อจินเอามือเท้าหัว สีหน้าเหนื่อยหน่าย “เรื่องสนุกน่ะ”
ซิวอวี่เกาหัว
เอาอีกแล้ว แบบนี้อีกแล้ว
ทำให้เธอรู้สึกว่าพ่ออิ๋งของพวกเธอดูลึกลับ
ผ่านไปไม่กี่นาทีก็ถึงเวลาเก้าโมงตรง
อุปกรณ์จับภาพถูกตั้งเสร็จเรียบร้อย มั่นใจว่าไม่มีทางหยุดชะงักขณะถ่ายทอดสด
บนเวทีก็มีการจัดวางโต๊ะเก้าอี้ที่มีป้ายชื่อวางอยู่
บางที่ว่างอยู่ แต่แขกส่วนใหญ่มานั่งกันแล้ว ล้วนเป็นบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิในวงการศิลปะทั้งสิ้น
ด้วยสถานะของหลินสี่ เขาได้นั่งแค่แถวที่สาม
การถ่ายทอดสดเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ผู้ชมเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากในฐานะที่ติดสามอันดับแรกของประเทศจีน
[ฮู่ว มาทันพิธีเปิด รอดูซิว่าชิงจื้อจะแน่แค่ไหน]
[มาแว้วๆ พวกเรารีบดูตรงที่นั่งแขกสิ มีปรมาจารย์หลายคนมาจริงๆ ด้วย]
[หลินสี่! นั่นใช่หลินสี่หรือเปล่า! หลินสี่เป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการศิลปะ โคตรเท่เลย]
[เดี๋ยวนะ หน้าตาดีก็จริงแหละ แต่วงการศิลปะเขาวัดกันที่ความสามารถไม่ใช่เหรอ ทำไมดูที่หน้าตาล่ะ]
[งั้นจะขออวดหลินสี่ของพวกเราหน่อยนะ ภาพเขียนของเขาที่เขียนตอนอายุสิบสองถูกขายออกไปในราคาที่สูงถึงห้าแสน]
[สะ สุดยอด…]
อายุสิบสองก็ประสบความสำเร็จขนาดนั้นแล้ว มีพรสวรรค์จริงๆ
[เอ๊ะๆ ทุกคนดูสิ ทำไมหลินสี่ยืนขึ้นล่ะ เขาขอไมโครโฟนทำไม]
[แอบงง ไม่ใช่ว่าควรให้พิธีกรพูดก่อนเหรอ]
[สีหน้าของหลินสี่ไม่ค่อยดีเท่าไร คงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น รอชม]
ผู้อำนวยการที่นั่งอยู่กับประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงเห็นแบบนั้นก็เกิดความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น”
อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะรีบบอก “ผู้อำนวยการครับ เกิดเรื่องกะทันหันครับ”
เขาพูดเสียงเบาอธิบาย ส่วนทางหลินสี่ก็เริ่มพูดแล้ว
“ศิลปะเป็นสิ่งที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ มันทำให้พวกเรารู้ว่าอะไรคือความงาม ดังนั้นผมไม่มีทางยอมให้ใครดูถูกศิลปะได้” เสียงของหลินสี่กระจายไปทั่วสนามกีฬาโดยผ่านไมโครโฟน “ผมมาวันนี้ก็เพื่อชื่นชมผลงานของคนรุ่นหลัง สนับสนุนพวกเขา แต่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ขึ้น!”
“มีนักเรียนคนหนึ่งขโมยผลงานของอาจารย์เว่ยโฮ่วมาส่งประกวดครับ!”
หลินสี่มีสีหน้าเย็นชา “ถ้าอาจารย์เว่ยโฮ่วไม่ได้เป็นคนบอกผมเองว่าเขาเป็นเจ้าของผลงานนี้ ผมก็คงถูกนักเรียนคนนี้หลอกไปแล้วครับ”
พอคำพูดนี้ออกไป ไม่ใช่แค่นักเรียนที่อยู่ล่างเวที แม้แต่ชาวเน็ตที่รับชมการถ่ายทอดสดก็ตกใจมากเช่นกัน
[โอ้โห ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม ขโมยผลงานของอาจารย์เว่ยโฮ่วมาส่งประกวดเหรอ]
[นี่มัน…ขนาดฉันที่ไม่ได้สนใจอักษรพู่กันยังเคยได้ยินชื่อเว่ยโฮ่ว นักเรียนคนนี้กล้าดียังไง]
[จึ๊ๆ ชักสนุกแล้วสิ]
“เอาผลงานของเว่ยโฮ่วมาส่งประกวด” ซิวอวี่ตกใจ “พ่ออิ๋ง เธอว่าใครที่เจ๋งได้ขนาดนี้”
อิ๋งจื่อจินเปลี่ยนท่านั่ง “อืม ฉันเอง”
ซิวอวี่สำลัก “…อย่าล้อเล่นน่าพ่ออิ๋ง ช่วงนี้เธอจะทำฉันเป็นโรคหัวใจแล้วนะ”
“ฉันช่วยถอนออกมาได้นะ ใส่หัวใจเทียมแทน”
“…”
บนเวที
เวลานี้หลินสี่ไปยืนอยู่ด้านข้าง คนที่รับไมโครโฟนต่อคืออาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะ
“ทางโรงเรียนไม่มีทางปล่อยกรณีทุจริตแบบนี้ไว้ หลังจากที่ได้หารือกันแล้ว ทางโรงเรียนขอตัดสิทธิ์ประกวดของนักเรียนอิ๋งจื่อจินพร้อมทั้งลงโทษด้วยการไล่ออกครับ”
แอปเปิลในมือซิวอวี่หล่นดังตุบ
เจียงหรานค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาหรี่ลง
เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบตัว
“อิ๋งจื่อจินเหรอ ทำไมเป็นเธอล่ะ เธออยากขี้โกงเหรอ”
“คงเห็นจือหว่านลงประกวดด้วยก็เลยอยากลงบ้าง อยากแข่งกับจือหว่านทุกเรื่อง ไม่รู้จักดูตัวเองเลย”
“แบบนี้มันสร้างตราบาปให้ตัวเองแล้ว”
เจียงหรานฟังแล้วก็หงุดหงิด เขาลุกพรวด กัดฟันพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “บ่นอะไรกัน หุบปากให้หมดเลยนะ!”
พวกนักเรียนเงียบสนิททันที
“ลงโทษอะไรกัน” เจียงหรานหันหน้าไป ดวงตาฉายแววอาฆาต “มีหลักฐานหรือเปล่า ถึงกับไล่ออกเลยเหรอ เป็นอาจารย์ภาษาอะไร”
[โอ้โห ใครเนี่ย กล้าขนาดนี้เลย]
[ขาใหญ่ประจำชิงจื้อแหละมั้ง เรียนไม่เอาไหน คนแบบเดียวกันก็มักอยู่ด้วยกัน]
“มีหลักฐานอยู่แล้ว” หลินสี่ไม่รู้จักเจียงหราน ย่อมไม่รู้จักตัวตนของเขา
เขาหยิบม้วนภาพเขียนออกมากางแล้วฉายขึ้นหน้าจอ แสยะยิ้ม “ดูให้ดี ตรงนี้เป็นตราประทับของอาจารย์เว่ยโฮ่ว ลองถามเธอดูสิว่าเธอเป็นคนเขียนภาพนี้เองหรือเปล่า”
“อืม” ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็พูด เธอเหลือบมองด้วยสีหน้าไม่แคร์ “ฉันไม่ได้เป็นคนเขียนจริงๆ”
เจียงหรานขมวดคิ้ว
ซิวอวี่ลากเขากลับที่นั่ง “พ่อพูดอยู่อย่าสอด”
เจียงหราน “…”
จงจือหว่านชะงัก เธอตกใจมาก
เธอนึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะยอมรับทั้งแบบนี้
คิดว่าสารภาพผิดแล้วโทษจะเบาลงเหรอ
ไร้เดียงสาเกินไปหรือเปล่า
คอมเมนต์แดกดันปรากฏบนหน้าจอถ่ายทอดสด
[ขออ้วก ยังจะมีหน้ายอมรับว่าตัวไม่ได้เขียน แล้วจะโกงทำไม]
[หน้าหนาสุดๆ ชิงจื้อทำถูกแล้ว สมควรไล่นักเรียนแบบนี้ออก]
[ตบหน้าตัวเองแบบนี้ได้ด้วยเหรอ]
[ฉันขอไม่ออกความเห็น ไม่แน่อาจมีพลิก เดี๋ยวคนที่ถูกตบหน้าจะเป็นพวกเธอเองนะ]
“ได้ยินแล้วใช่ไหมครับ เธอ…”
หลินสี่ยังไม่ทันพูดจบก็ได้ยินเสียงเนือยของเด็กสาวพูดต่อ
พูดออกมาหน้าตาเฉย
“ฉันเขียนผลงานขยะแบบนี้ออกมาไม่ได้หรอก”
“…”
เกิดความเงียบขึ้นในงานทันที
จงจือหว่านตะลึง
อิ๋งจื่อจินรู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดอะไร
อักษรพวกนี้แม้แต่อาจารย์ของเธอยังเขียนไม่ได้
อิ๋งจื่อจินกล้าพูดว่าเป็นผลงานขยะเลยเหรอ
[เดี๋ยวนะ ยังจะพูดว่าเขียนผลงานขยะแบบนี้ออกมาไม่ได้ คิดว่าตัวเองเป็นใครน่ะ]
[ยอมแพ้ อวดดีขนาดนี้เลย รู้หรือเปล่าว่าอาจารย์เว่ยโฮ่วเป็นใครถึงได้พูดแบบนี้ ไปเอาความมั่นมาจากไหน]
[ขำเป็นบ้า เขียนผลงานขยะแบบนี้ออกมาไม่ได้ งั้นก็เขียนสิ เขียนตอนนี้เลย พวกเราจะได้เห็นๆ กันไปเลยว่าเธอเก่งขนาดไหน]
หลินสี่เองก็คาดไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่เด็กสาวจะไม่ยอมรับผิด กลับอวดดีเสียด้วยซ้ำ
เขาโมโหจนหัวเราะ สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตั้งโต๊ะ เอาพู่กัน กระดาษกับแท่นฝนหมึกออกมาให้เธอเขียน”