คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 87 ฝีมือเขียนอักษรพู่กันของอิ๋งจื่อจินสุดยอดเกินไป
จงจือหว่านไม่ตอบ แต่ถามอีกครั้ง “รุ่นพี่ลองบอกมาก่อนว่าอักษรพวกนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
หลินสี่เงียบไปสักพักแล้วส่ายหน้า “พูดยาก”
จงจือหว่านอึ้ง “ทำไมถึงพูดยากเหรอคะ”
“อักษรพวกนี้เธออย่ามองว่ามันถูกเขียนสะเปะสะปะ แต่คนเขียนฝีมือดีมากทีเดียว” หลินสี่หยิบม้วนภาพเขียนอักษรขึ้นมา ชี้ไปที่กลอนวรรคหนึ่ง “เธอดูตรงนี้ จุดนี้ โครงสร้าง การจัดวาง เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ”
“อีกทั้งเห็นได้ชัดว่า คนเขียนลงมือเขียนในรวดเดียวไม่หยุด ไม่มีชะงักแม้แต่น้อย”
เขาถอนหายใจเบาๆ “เป็นแบบนี้ยังเขียนได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้ สุดยอดมากจริงๆ”
จงจือหว่านเข้าใจแล้ว “ถ้าอย่างนั้น ภาพเขียนอักษรแบบนี้นักเรียนมอปลายจะต้องเขียนไม่ได้แน่ใช่ไหมคะ”
“นักเรียนมอปลายเหรอ” หลินสี่รู้สึกขำ “อย่าว่าแต่เด็กมอปลายเลย แม้แต่อาจารย์ก็ใช่ว่าจะเขียนได้”
“จือหว่าน เธอเองก็เรียนกับอาจารย์มาสิบกว่าปีแล้ว แค่นี้ก็ยังมองไม่ออกเหรอ”
จงจือหว่านก็คิดแบบนั้น เธอยิ้ม “รุ่นพี่คะ ฉันความรู้น้อย รุ่นพี่พอมองออกไหมว่าภาพนี้เป็นของอาจารย์คนไหน”
ปรมาจารย์ภาพเขียนอักษรพู่กันแต่ละคนต่างมีสไตล์ของตัวเอง โดยเฉพาะบรรดาคนที่มีเอกลักษณ์ ใครก็เลียนแบบไม่ได้
“อืม…” หลินสี่ขมวดคิ้ว สังเกตภาพนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง “ภาพนี้เป็นอักษรแบบสองข่าย ฝีมือล้ำเลิศ แต่สไตล์ไม่ชัดเจน น่าจะเป็นผลงานของปรมาจารย์เว่ยโฮ่ว”
ขณะพูดเขาได้หยิบม้วนภาพเขียนอีกอันบนชั้นวางในห้องทำงานแล้วกางออก
“เธอดูนะ นี่เป็นผลงานของอาจารย์เว่ยโฮ่ว พี่ไปขอมาจากอาจารย์เรา”
จงจือหว่านมอง พยายามกลั้นยิ้มที่มุมปาก “เหมือนมากเลยนะคะ”
อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเหมือนเท่าไร แต่อย่างน้อยในสายตาของเธอ ภาพเขียนขี้โกงของอิ๋งจื่อจินภาพนี้ เขียนได้ดีกว่าเว่ยโฮ่ว
จงจือหว่านวางแผนในใจแล้วพูดขึ้น “รุ่นพี่คะ ตอนนี้พวกเราไปหาอาจารย์เว่ยโฮ่วได้ไหมคะ”
หลินสี่ครุ่นคิดเล็กน้อย “ได้สิ”
หลินสี่โทรไปก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าเว่ยโฮ่วอยู่บ้านถึงได้ขับรถพาจงจือหว่านไปบ้านของเว่ยโฮ่ว
เวลานี้เว่ยโฮ่วกำลังนั่งรับแดดอยู่ในสวน
เขาอายุเกินครึ่งร้อย เป็นที่นับหน้าถือตาในวงการศิลปะมากทีเดียว
เพียงแต่ช่วงหลายปีมานี้เว่ยโฮ่วไม่ได้จับพู่กัน และก็ไม่มีผลงานใหม่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
“อาจารย์เว่ยโฮ่วครับ” หลินสี่ทักทาย “นี่รุ่นน้องของผมครับ จงจือหว่าน”
เว่ยโฮ่วหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง วางมาด “มีธุระอะไรเหรอ”
หลินสี่เดินเข้าไปยื่นม้วนภาพเขียนให้เขา “นี่ใช่ผลงานของอาจารย์ไหมครับ”
เดิมทีเว่ยโฮ่วไม่ใส่ใจ จนกระทั่งเขาเห็นอักษรที่อยู่ในนั้น ดวงตาก็เปล่งประกายในทันที
“นี่เป็นงานฝึกเขียนของฉันเอง” เขาถือม้วนภาพเขียน รอยยิ้มอ่อนโยน “เสี่ยวหลิน ทำไมมันถึงไปอยู่กับนายได้ล่ะ”
“จือหว่านเอามาครับ” หลินสี่เองก็ยิ้ม “อาจารย์เว่ยโฮ่วครับ ไม่เจอกันหลายปี ฝีมืออาจารย์พัฒนาขึ้นอีกแล้วนะครับ”
“แน่นอน” เว่ยโฮ่วโบกมือ “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ”
“รุ่นพี่คะ ฉันยังมีเรื่องอยากคุยกับอาจารย์เว่ยโฮ่ว” จงจือหว่านเม้มริมฝีปาก “เดี๋ยวตามไปนะคะ”
หลินสี่ไม่ได้ถาม พยักหน้าแล้วเดินออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงเว่ยโฮ่วกับจงจือหว่านสองคน
จงจือหว่านพูดขึ้น “อาจารย์เว่ยโฮ่วคะ หนูรู้ว่าอาจารย์ไม่ได้เป็นคนเขียนภาพนี้”
เว่ยโฮ่วอึ้ง สีหน้ากระอักกระอ่วน “เสี่ยวจง เธอพูดอะไรน่ะ”
“แต่ภาพนี้ จะให้เป็นผลงานของอาจารย์ก็ได้ค่ะ” จงจือหว่านยิ้ม พูดแฝงความนัย “อาจารย์เว่ยโฮ่วมีตราประทับของตัวเองใช่ไหมคะ”
…
วันที่หกเมษายน
ทางโรงเรียนมัธยมชิงจื้อให้คนจัดสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้ว มีการแขวนป้ายประชาสัมพันธ์ที่หน้าโรงเรียน
วันนี้ไม่ได้มีแค่ปรมาจารย์ในแวดวงศิลปะที่จะมา สื่อจำนวนไม่น้อยก็มาเช่นกัน
เทศกาลศิลปะของชิงจื้อมีการถ่ายทอดสดออนไลน์มาตลอดเพื่อความยุติธรรม
และเพื่อสะดวกต่อผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะที่มาในงานไม่ได้ สามารถมองหาเด็กที่ฉายแววโดดเด่น
อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้หาวออกมา เอามือดึงปีกหมวกเบสบอลลงเพื่อบังแดด
ร่างกายของเธอฟื้นฟูได้ดี แต่เวลาที่เธอเบื่อก็ยังคงอยากนอนอยู่ดี
“พิธีเปิดเก้าโมง ตอนบ่ายถึงประกาศรางวัลชนะเลิศ” ซิวอวี่กำลังแหย่ตูตูเล่น รู้สึกเหนื่อยหน่าย
“ระหว่างนั้นพวกกลุ่มศิลปกรรมยังจะทำการแสดงด้วย น่าเบื่อชะมัด”
ถ้าไม่ใช่เพราะพ่ออิ๋งของพวกเขาเข้าร่วมกิจกรรม เธอก็ไม่มีทางมานั่งอยู่ตรงนี้
“อืม” อิ๋งจื่อจินลืมตาสะลึมสะลือ และถือโอกาสเดินลมปราณภายใน “ได้เงินมาเดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าว”
ลูกน้องน้ำลายไหล “พ่ออิ๋ง เลี้ยงผมด้วยไหม”
ซิวอวี่ถีบไปหนึ่งที “เก่งแต่กิน ตูตูยังขยันกว่านายเลย”
ตูตูเชิดจมูกสีชมพู ทำเสียงฮึกๆ กีบน้อยๆ กระโดดโลดเต้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันออกกำลังกายเป็นด้วย
ลูกน้อง “…”
คนยังสู้หมูไม่ได้
“พ่ออิ๋ง มั่นใจไหมว่าจะได้ที่หนึ่ง”
อิ๋งจื่อจินทำหน้าเฉื่อยชา “คงได้มั้ง”
จงจือหว่านหอบเอกสารเดินเข้ามา ด้านหลังมีสมาชิกของสภานักเรียนตามมาด้วยหลายคน
พอได้ยินแบบนี้เธอก็หันหน้าไปยิ้มให้ “งั้นก็ขออวยพรให้น้องจื่อจินได้รางวัลแล้วกันนะ”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า แววตาเรียบเฉย
นิ้วของจงจือหว่านหดเกร็ง รอยยิ้มชะงัก หัวใจก็เต้นเร็ว
แต่เพียงชั่วพริบตาก็สงบลง เธอยิ้มแล้วหันตัวเดินออกไป
เธอถามปรมาจารย์หลายคนในแวดวงภาพเขียนอักษรพู่กันมาแล้ว ภาพนั้นถ้าไม่มีประสบการณ์มากกว่าสี่สิบปีไม่มีทางเขียนออกมาได้
ถึงแม้เธอจะไม่รู้ที่มาของภาพนี้ แต่สามารถตัดสินได้ว่าอิ๋งจื่อจินไม่ได้เป็นคนเขียน เธอถึงได้วางใจมอบให้เว่ยโฮ่ว
ด้วยชื่อเสียงของเว่ยโฮ่วในวงการศิลปะ มีแค่ไม่กี่คนที่กล้ามีปัญหากับเขา
เว่ยโฮ่วบอกว่าเป็นของเขาก็ต้องเป็นของเขา
ต่อให้เป็นผลงานของคนอื่นจริง ก็ไม่มีทางหักหน้าเว่ยโฮ่วต่อหน้าสาธารณชน
อันที่จริงจงจือหว่านค่อนข้างผิดหวังพอสมควร
เธอประเมินความสามารถของอิ๋งจื่อจินสูงไป
เธอนึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะใช้วิธีโกงแบบนี้เพื่อแย่งความรักของผู้เฒ่าจงไปจากเธอ
จงจือหว่านส่ายหน้าแล้วเดินไปหลังเวที
…
ณ คฤหาสน์ตระกูลอิ๋ง
จงมั่นหวากลับมาจากยุโรปตั้งแต่เมื่อวานซืน
อิ๋งเจิ้นถิงกลับไปที่เมืองตี้ตูอีกครั้งเพื่อทำธุรกิจต่อ
“คุณนายครับ เมื่อครู่ท่านผู้เฒ่าโทรมาครับ” พ่อบ้านยกนมมาให้หนึ่งแก้ว “ถามว่าจะไปให้กำลังใจคุณหนูรองในงานเทศกาลศิลปะของโรงเรียนด้วยกันไหมครับ”
“ให้กำลังใจเหรอ” จงมั่นหวาได้ยินก็หัวเราะ “ทำอย่างกับว่าไปให้กำลังใจแล้วเด็กนั่นจะมีอนาคต จริงๆ เลย ว่างมากสินะถึงได้ร่วมกิจกรรมงานเทศกาลศิลปะ”
เธอเป็นพวกชอบแข่งขันมาแต่เกิด ทุกเรื่องจะต้องทำออกมาให้ดีที่สุด
ถ้าเธอไปแล้วถูกคนอื่นรู้เข้าว่าลูกสาวของเธอไม่เก่งศิลปะสักอย่าง ไฮโซคนอื่นจะมองเธอยังไง
จงมั่นหวานวดขมับ รู้สึกหงุดหงิด “เปิดโทรทัศน์”
พ่อบ้านเข้าใจ กดเปลี่ยนไปช่องที่มีการถ่ายทอดสด
เวลานี้การถ่ายทอดสดยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ คนที่ดูถ่ายทอดสดก็มีไม่มาก
กำลังถ่ายบรรยากาศหลังเวทีกับภายในห้องจัดแสดงผลงาน ถือเป็นเบื้องหลัง
พอเปลี่ยนช่องไปก็ได้ยินเสียงดุดัน
[ผมอยากถามนักเรียนอิ๋งจื่อจินคนนี้หน่อยครับ ภาพเขียนอักษรพู่กันภาพนี้ผมเป็นคนเอาไปให้อาจารย์เว่ยโฮ่ว นักเรียนอิ๋งจื่อจินเอามาได้ยังไง แถมยังเอามาร่วมประกวดด้วย]
สีหน้าของจงมั่นหวาบึ้งตึงในทันที