คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 401 ข่าวร้าย
ตอนที่ 401 ข่าวร้าย
ไท่หนิงปีที่สอง ฤดูใบไม้ผลิ!
หิมะแรกละลาย ใบไม้สีเหลืองกระจายไปทั่วพื้นดิน รอเพียงต้นกล้าสีเขียวงอกเงย เติมเต็มสีสันให้แก่แผ่นดินใหญ่
ชายนาแบกจอบเสียม ขุดพื้นดินที่แข็งกระด้างหลังจากผ่านการแช่แข็งจากฤดูหนาว
เตรียมตัวเพื่อการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิปีนี้!
ประชาชนทั่วไปต่างมีฝีเท้าเร่งรีบ ทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อการดำรงชีวิต!
มันเป็นฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยความหวัง
ทุกคนต่างคาดว่าสภาพอากาศปีนี้ย่อมต้องราบรื่น มีผลผลิตอุดมสมบูรณ์
โจรกบฏถูกปราบปรามจนหมดสิ้น
สงครามทางเหนือรู้ผลแพ้ชนะ ราชวงศ์อูเหิงถูกขับไล่ออกจากแผ่นดินต้าเว่ย
ความพยายามไม่กี่ปีก็สามารถคืนแผ่นดินที่สงบสุขให้แก่ราษฎรในแผ่นดิน
เรือผุที่หนักอึ้งอย่างแผ่นดินต้าเว่ยนี้กลับคืนสู่เส้นทางการเดินเรือที่ถูกต้องอีกครั้ง!
เพียงแต่…
ชีวิตย่อมไม่สมหวังเสมอไป!
ในขณะที่ภายในใจของผู้คนเต็มไปด้วยความหวังที่งดงาม โจรกบฏที่ถูกปราบปรามจนเกือบสิ้นแล้วนั้น หลังจากผ่านการพักฟื้นในช่วงฤดูหนาว พวกเขาก่อการโจมตีอย่างรุนแรงที่สุดต่อสำนักราชการท้องถิ่นและคูเมืองภายใต้การนำของโจรกบฏซือหม่าโต่วในฤดูใบไม้ผลิ ของไท่หนิงปีที่สอง
พวกเขาฉวยโอกาสดีที่การเฝ้าระวังทางเหนืออ่อนแอ กองทัพล้วนต่อต้านราชวงศ์อูเหิงอยู่ด่านหน้า ไม่มีกำลังเหลือปราบปรามโจรกบฏอย่างพวกเขา จึงเดินหน้าบุกรุกเข้ามาทางเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว!
ความใจกล้าบ้าระห่ำนั้น เกินกว่าจินตนาการของทุกคน
“ซือหม่าโตว ประชาชนในชนบทธรรมดา ประสบโอกาสเหมาะเจาะ เดิมทีคิดว่าเขาถูกตีจนพิการไปแล้ว อย่างมากก็สร้างเรื่องในพื้นที่ชนบทเล็กๆ ได้เท่านั้น ไม่คิดว่าเขาจะพลิกผันกลับมา อีกทั้งยังกล้าเดินทัพมาทางเมืองหลวง”
“คราวนี้ เขาต้องตายอย่างแน่นอน!”
“ผู้ใดไปปราบปรามโจรกบฏ โจรกบฏแทบจะไม่ถูกต่อต้านระหว่างทาง พวกเขาบุกเข้ามาอย่างไร้อุปสรรค เห็นทีจะบุกมาถึงเมืองหลวงแล้ว ทหารท้องถิ่นไม่อาจช่วยเหลือได้ทัน สงครามทางเหนือกำลังเดือดดาล สงครามยืดเยื้อไม่จบสิ้น ไม่มีกำลังพลเหลือมาช่วยเหลือเมืองหลวงได้เช่นเดียวกัน หรือว่าจะพึ่งกองทัพใต้ได้เท่านั้น”
“กำลังพลของกองทัพใต้ไม่ถึงสองหมื่น แต่โจรกบฏมีราวสองสามแสน สงครามครั้งนี้ ต้องดูว่าแม่ทัพกองทัพใต้มีความสามารถในการใช้คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมากได้หรือไม่”
“โจรกบฏมีแต่พวกไร้ความสามารถ ไม่ต้องกังวลแม้แต่น้อย กำลังพลสองหมื่นของกองทัพใต้ล้วนเป็นพลทหารที่เคยเห็นเลือดมาก่อน กองทัพใต้ย่อมสามารถจัดการซือหม่าโต่วที่หยิ่งยโส ทำให้เขามาได้กลับไม่ได้!”
“เรื่องที่เจ้าพูดเป็นเรื่องเก่าแล้ว! โจรกบฏอาละวาดมานานเพียงนี้ ในมือของซือหม่าโต่วย่อมมีทหารที่เคยผ่านการสู้รบเหมือนพวกเรา อย่างน้อยก็สามถึงห้าพันคน อาศัยทหารสามถึงห้าพันคนนี้ สามารถสร้างกองทัพที่มีกำลังพลนับแสนได้ นอกจากนี้ กองทัพใต้มีเพียงสองหมื่นคน มีหนึ่งหมื่นคนเป็นทหารเก่า ที่เหลืออีกหนึ่งหมื่นเป็นทหารใหม่ที่ไม่เคยผ่านสนามรบ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้กองทัพใต้ขยายกองกำลัง ใช้ทหารเก่าหนึ่งหมื่นคนสร้างกองทัพห้าหมื่นคนเพื่อปะทะกับโจรกบฏ ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่ชนะ! หากไม่ได้จริงๆ กำแพงเมืองของเมืองหลวงย่อมเป็นแนวป้องกันที่โจรกบฏไม่อาจข้ามผ่านมาได้ กำแพงเมืองสูงราวสิบสองจั้ง หนาราวสิบห้าจั้ง แม้จะมีกองทัพเป็นหมื่นพันก็อย่าคิดจะทำลายกำแพงเมืองได้แม้แต่มุมเดียว ใต้เท้าทุกท่านเหตุใดจึงต้องกังวล หรือว่าข้าพูดผิด”
“หากปล่อยให้โจรกบฏบุกมาถึงเมืองหลวงจริงจะมีผลอย่างไร อย่าลืมว่าทางเหนือกำลังทำสงคราม ยากที่จะรู้แพ้ชนะ อีกทั้งยังเอากองกำลังส่วนใหญ่ของราชสำนักไป นอกจากนี้ เสบียงและอาวุธส่วนใหญ่ล้วนถูกส่งไปยังด่านหน้าทางเหนือ หากให้กองทัพใต้สร้างกองกำลังห้าหมื่นคนในระยะเวลาอันสั้น เสบียงและอาวุธจะมาจากที่ใด”
“ปีก่อนฝ่าบาททรงยึดจวนได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ข้าไม่เชื่อว่าเวลาเพียงเท่านี้ เงินและเสบียงที่ยึดมาทั้งหมดจะใช้จนหมดเกลี้ยงไปแล้ว!”
“เมื่อสิ้นปี สำนักเซ่าฝู่ใช้เงินจำนวนไม่น้อยในการชดเชยเงินเดือนและเสบียงที่ติดค้าง ตอนปีใหม่ก็เพิ่งส่งเสบียงส่วนหนึ่งไปยังด่านหน้า”
“นอกจากนี้ ราชสำนักเกณฑ์ทหารอยู่ตลอดเวลา ทหารใหม่ล้วนถูกส่งไปยังด่านหน้า กองทัพใต้คิดจะสร้างกองทัพที่มีห้าหมื่นคน เสบียงย่อมเป็นปัญหา กองกำลังห้าหมื่นคนมาจากที่ใดยิ่งเป็นปัญหาใหญ่! เวลานี้เข้าใกล้การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิแล้ว หากเกณฑ์แรงงานจากชาวนาในเวลานี้ ย่อมต้องเป็นอุปสรรคต่อการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ หากการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิล่าช้า การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงย่อมจะได้รับผลกระทบ การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงไม่ราบรื่น ส่วยย่อมเก็บไม่ได้…”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องเกณฑ์ชาวนาเป็นแรงงาน! ราษฎรในเมืองหลวงมีมากมาย เกณฑ์ทหารภายในเมืองหลวงย่อมได้”
“เกรงว่าจะก่อเกิดความไม่พอใจ!”
“คงจะดีกว่าเมืองหลวงถูกโจรกบฏบุกรุก เจ้ากับข้ากลายเป็นคนที่บ้านเมืองล่มสลาย”
“เรื่องนี้ยังต้องซักถามแม่ทัพกองทัพใต้ ไม่อาจเพียงแค่หารือบนกระดาษ”
“ยังต้องทูลขอความเห็นจากฝ่าบาท”
“ความเห็นของฝ่าบาทไม่สำคัญ สุดท้ายยังต้องให้ใต้เท้าทุกคนตัดสินใจ”
“ถึงแม้ความเห็นของฝ่าบาทไม่สำคัญ แต่ก็ไม่อาจขาดขั้นตอนนี้ได้! พวกเจ้าคิดจะยึดอำนาจของฝ่าบาทอย่างเอิกเกริก ทำให้ผู้คนสาปแช่งหรือ”
“หากเป็นช่วงที่แผ่นดินสงบสุข ความสามารถของฝ่าบาทเพียงพอที่จะรับมือกับราชการที่หนักหนา แต่เวลานี้ ภัยจากภายในและภายนอก ควันสงครามปะทุขึ้นทุกทิศทุกทาง ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยไม่เด็ดขาดเกินไป!”
“บอกว่าความสามารถของฝ่าบาทไม่พอรับมือกับสถานการณ์ในเวลานี้อย่างตรงไปตรงมาดีกว่า เหตุใดจึงต้องอ้อมค้อม!”
“พวกเราพูดคุยในห้องแห่งนี้ ถึงแม้ไม่ต้องกังวลว่าเนื้อหาที่พูดคุยจะถูกเผยแพร่ออกไป แต่ก็ไม่อาจขาดความระมัดระวัง การอ้อมค้อมเป็นสิ่งจำเป็น!”
“หากให้ข้าพูด ถวายหญิงงามหลายสิบคนให้ฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาททรงหลงใหลในความงาม พระองค์ย่อมไม่มีเวลาสนพระทัยเรื่องกองทัพ!”
“เหลวไหล! มันเป็นการกระทำของขุนนางชั่ว ย่อมจะถูกสาปแช่งไปชั่วนิรันดร์!”
“ถึงแม้ความสามารถของฝ่าบาทจะไม่เพียงพอ แต่ก็เป็นฮ่องเต้ที่ปรีชา พวกเราในฐานะขุนนางต้าเว่ย ย่อมต้องช่วยเหลือฝ่าบาท สร้างแผ่นดินที่สงบสุขอีกครั้ง”
…
ทิศทางของแผ่นดินไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเพราะเจตนาของคนบางคน
โจรกบฏซือหม่าโต่วนำกำลังพลกว่าสองแสนบุกรุกจนถึงนอกพื้นที่นครบาลไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้
ดูท่ากำลังจะบุกเข้านครบาล ทุกคนในเมืองหลวงต่างหวาดกลัว
มีคนพาครอบครัวเตรียมตัวออกจากเมืองไปหลบภัยที่ชนบทแล้ว
“เวลานี้ไปชนบท เกรงว่าจะปะทะเข้ากับโจรกบฏ กลายเป็นวิญญาณใต้ดาบพวกมันพอดี!”
เถ้าแก่ซูแห่งร้านผักดองซูจี้ในตรอกจินหยินกำลังเกลี้ยกล่อมเถ้าแก่ร้านหม้อดินด้านข้าง
“เจ้าดูเกาจั่งกุ้ยแห่งร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยยังทักทายผู้คนอย่างอารมณ์ดีทุกวัน คราวนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ตื่นตระหนกกันไปเองอย่างแน่นอน”
“คราวนี้ไม่เป็นอันใดจริงหรือ เถ้าแก่ซูรับรองได้หรือไม่”
เถ้าแก่ซูลำบากใจเล็กน้อย
เรื่องแบบนี้เขาจะรับรองได้อย่างไร
“พวกเจ้ารอก่อน ข้าไปถามเกาจั่งกุ้ย”
“ไปด้วย ไปด้วย!”
เถ้าแก่และจั่งกุ้ยจากร้านรอบด้านต่างหลั่งไหลเข้าร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยสาขาหนึ่ง หวังว่าจะได้ฟังข่าวที่แม่นยำจากเกาจั่งกุ้ย ปลอบประโลมจิตใจที่ตื่นตระหนกของทุกคน
“ได้ยินคนบอกว่าเบื้องหลังของร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยแข็งแกร่ง เถ้าแก่เป็นคนที่มีความสามารถยิ่ง มาจากตระกูลขุนนางตระกูลหนึ่ง เกาจั่งกุ้ย ท่านย่อมต้องได้ข่าวมาก่อนแล้วหรือไม่! คราวนี้จะเป็นอันใดหรือไม่ เป็นแค่เรื่องตื่นตระหนกเหมือนที่เถ้าแก่ซูพูดหรือไม่”
“เกาจั่งกุ้ย เจ้ารีบบอกทุกคนเถิด! พวกเราฟังเจ้า”
“เพียงแค่เจ้าบอกว่าคราวนี้ไม่เป็นอันใด เมืองหลวงย่อมจะรักษาเอาไว้ได้ พวกเราจะเชื่อเจ้า พวกเราจะไม่ออกจากเมือง!”
“ใช่ เกาจั่งกุ้ยรีบพูดเถิด!”
เขาก็ลำบากใจอย่างมากเหมือนกัน
โจรกบฏกำลังจะบุกเข้านครบาล กองทัพใต้จะปราบปรามโจรกบฏได้หรือไม่ ไม่มีผู้ใดรับรองได้
“เถ้าแก่ทุกท่าน ข้าบอกความจริง สถานการณ์คราวนี้เป็นอย่างไร สถานการณ์จะพัฒนาไปอย่างไร ข้าก็ไม่รู้ แต่ว่าทุกคนลองดูกำแพงเมืองหลวง กำแพงทั้งสูงทั้งลึก ข้าไม่เชื่อว่าโจรกบฏเหล่านั้นจะทำลายกำแพงเมืองได้”
“หากพูดเช่นนี้ เมืองหลวงปลอดภัย พวกเราไม่ต้องหลบออกนอกเมืองใช่หรือไม่?”
“แต่หากโจรกบฏรายล้อมเมืองหลวง ทำให้ไม่มีผู้ใดเข้าออกได้ เสบียงในเมืองหลวงพอกินหรือ”
เมื่อพูดถึงเสบียง ทุกคนต่างตื่นตระหนก!
ไม่ว่าจะหนีภัยออกจากเมืองหลวง หรือว่าอยู่ในเมืองหลวง ต่างต้องการเสบียง
แต่ประชาชนในเมืองหลวง รวมทั้งจั่งกุ้ย เถ้าแก่ที่พอจะมีทรัพย์สินอย่างพวกเขา เสบียงภายในเรือน อย่างมากก็พอกินแค่หนึ่งเดือน
ความจริงแล้ว ในเรือนมีเสบียงพอกินหนึ่งเดือนถือว่ามากแล้ว
ราษฎรส่วนใหญ่ มีเสบียงในเรือนอย่างมากก็พอกินแค่สามวันห้าวัน
พวกเขาออกไปทำงาน ส่วนใหญ่ล้วนทำงานระยะสั้น คิดเงินในวันนั้น
หลังจากได้ค่าแรงแล้วก็นำไปซื้อเสบียง
“รีบไปซื้อเสบียง!”
คนกลุ่มนี้มีปฏิกิริยาไวกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาทิ้งเกาจั่งกุ้ยเอาไว้ ต่างหยิบตะกร้า ย่ามผ้า ตะกร้าไม้ไผ่ หรืออุปกรณ์ที่สามารถบรรจุเสบียงได้ มุ่งไปยังร้านค้าเสบียงที่อยู่ไม่ไกล
อันใดนะ
ไม่มีเสบียง?
ขายหมดแล้ว?
ล้อเล่นหรือ!
ย่อมต้องกำลังกักตุนเพื่อขึ้นราคาสูงอย่างแน่นอน
เปิดประตู เปิดประตู จะซื้อเสบียง
ไม่เปิด ไม่เปิด ก็ไม่เปิด!
ร้านค้าไม่มีเสบียงก็ไม่ขาย
ทุกคนหมดหนทาง จึงมุ่งหน้าไปยังร้านเสบียงร้านต่อไป แต่ก็ยังคงถูกปิดประตูใส่
เวลานี้หากไม่ยืนกรานซื้อเสบียงให้ได้ ต่อไปจะยิ่งซื้อยากขึ้น
ทุกคนต่างแยกย้าย ถามไปทีละร้าน
มีคนโชคดี ซื้อเสบียงได้
แต่…
“เหตุใดจึงราคาแพงเช่นนี้”
“แพงหรือ พรุ่งนี้ค่อยมาซื้อก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้มาซื้อก็ไม่ใช่ราคานี้แล้ว จะสูงกว่าวันนี้หนึ่งเท่า”
โธ่เอ๊ย!
พ่อค้าเจ้าเล่ห์!
ทำได้เพียงกัดฟัน!
“เอามาให้ข้าห้าสิบจินก่อน! ข้ากลับไปหยิบเงิน จะมาซื้ออีก”
“จะซื้ออีกก็รีบหน่อย ไม่แน่ว่าอาจปิดร้านเมื่อใดก็ได้”
…
ผู้คนต่างอ่อนไหวกับเสบียงอย่างมาก
ร้านเสบียงหนึ่งปิดอาจเรียกได้ว่าปกติ
แต่หากปิดต่อเนื่องกันหลายร้าน ถึงแม้จะเปิดอยู่ แต่ราคาก็สูงลิบลิ่ว มันทำให้คนจำนวนมากระแวงขึ้นมา
เกิดเรื่องใดขึ้น
เหตุใดจึงมีร้านเสบียงปิดมากมาย
เหตุใดราคาเสบียงจึงแพงเช่นนี้
จนกระทั่งเมื่อได้ยินว่าโจรกบฏบุกมาถึงนครบาล บรรดาราษฎรต่างตื่นตระหนก
ราษฎรนับพันนับหมื่นต่างหลั่งไหลเข้าไปในถนน แย่งกันซื้อเสบียง
เสบียงราคาขึ้นสูงตาม
เสบียงหยาบที่ราคาหาบหนึ่งเพียงสามร้อยเหวิน สูงขึ้นเป็นเก้าร้อยเหวิน อีกทั้งยังจะสูงต่อไป
ราคานี้ คนส่วนใหญ่ต่างซื้อไม่ไหว
ทุกคนจำเป็นต้องคำนวณอย่างรอบคอบ ประหยัดเสบียง คำนวณจำนวนที่ต้องกินในแต่ละวัน
เสบียงที่เดิมทีต้องกินสามวัน ต้องกินให้ครบแปดวัน สิบวัน
แต่ก่อนยังพอจะกินเนื้อได้ แต่เวลานี้เงินทั้งหมดต้องหาทางเปลี่ยนเป็นเสบียงมาเก็บไว้
คนในเมืองหลวงต่างอกสั่นขวัญแขวน
ผู้คนบนท้องถนนต่างมีฝีเท้าเร่งรีบ บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ร้านค้าส่วนใหญ่ไม่มีคนซื้อ
มีเพียงร้านเสบียงเล็กใหญ่ในเมืองหลวงที่อัดเต็มไปด้วยคน