คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 360 สองพี่น้อง
ตอนที่ 360 สองพี่น้อง
บนโลกจะมีความฝันที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร
ตู้ซินแสตกใจอย่างมาก เขารู้สึกว่าเยียนโส่วจ้านกำลังละเมอ
“ท่านโหวแน่ใจหรือ แน่ใจว่าฝันเห็นคุณหนูสี่ใส่ชุดมังกร?”
เยียนโส่วจ้านพยักหน้า “หากฝันเพียงครั้งเดียว ข้าก็คงไม่สนใจ สิ่งสำคัญคือฝันแบบเดียวกัน ข้าฝันต่อเนื่องกว่าครึ่งเดือน ข้าจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันขึ้นมา
เวลานั้น อวิ๋นเกอยังเด็ก ข้าจึงไม่ได้เอ่ยออกมา แต่เวลาข้าคิดว่าถึงเวลาที่ต้องให้ซินแสรู้เรื่องนี้แล้ว ขอให้ซินแสช่วยออกความคิดให้ข้า ต่อไปควรจะทำอย่างไร”
ตู้ซินแสเหงื่อตก
อากาศเดือนหกร้อนระอุอย่างมาก
อีกทั้งยังยืนอยู่บนกำแพงเมือง บนศีรษะเป็นดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผา จะตายแล้ว
เขาหยิบเหยือกน้ำออกมาดื่มหนึ่งคำ ครุ่นคิดก่อนจะพูด “ฝันนี้ ข้าคิดว่าปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอ! หาเรื่องในความฝันเกิดขึ้นจริง ท่านโหวทำมากเกินไป อาจส่งผลเสียแทนก็เป็นได้ ปล่อยไปตามธรรมชาติย่อมจะมีวันที่สำเร็จ”
เยียนโส่วจ้านพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าก็คิดว่าปล่อยไปตามธรรมชาติดีที่สุด! อย่างไรก็ตาม จนถึงบัดนี้ อวิ๋นเกอยังไม่เคยแสดงออกถึงความเป็นไปได้ในด้านนี้แต่อย่างใด”
“ข้าขอบังอาจถาม ท่านโหวไม่ยอมแต่งตั้งผู้สืบทอดเพราะฝันนี้หรือ”
“ย่อมไม่ใช่! เวลานี้ ข้าก็มีอุปสรรคมากมาย หากคราวนี้เป็นลิขิตสวรรค์จริง ข้าจะตัดสินใจ”
ที่ราบอันเวิ้งว้างจะมีลิขิตสวรรค์จริงหรือ
“รายงาน!”
“ขึ้นมา!”
ทหารส่งสารวิ่งขึ้นมาบนกำแพงเมือง “รายงานท่านโหว นักพเนจรราตรีพบร่องรอยของนายน้อยใหญ่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้ หนึ่งวันก็จะกลับมาถึง”
“หาเจอแล้ว?” ตู้ซินแสประหลาดใจ “นายน้อยใหญ่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“ยังมีชีวิตอยู่!”
ตู้ซินแสหันไปมองเยียนโส่วจ้านทันที
เยียนโส่วจ้านหัวเราะร่า “ลิขิตสวรรค์! ลิขิตสวรรค์เป็นเช่นนี้!”
ตู้ซินแสทำหน้าฉงน
นายน้อยใหญ่ เยียนอวิ๋นฉวนหายตัวไป ไร้ข่าวคราวเป็นลิขิตสวรรค์
นายน้อยใหญ่ เยียนอวิ๋นฉวนมีชีวิตรอดกลับมาก็เป็นลิขิตสวรรค์?
ในปากของท่านโหวมีลิขิตสวรรค์มากน้อยเพียงใดกัน
หรือว่าสมัยนี้ลิขิตสวรรค์ขายเป็นชุดหรือ
ทหารส่งสารถอยลงไป
ตู้ซินแสกระซิบถามเยียนโส่วจ้าน “ท่านโหวคิดจะทำอย่างไร”
เยียนโส่วจ้านยิ้ม “เจ้าใหญ่กลับมาอย่างปลอดภัยช่างน่ายินดี! พักผ่อนเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยหารือวันหลัง ส่วนเรื่องผู้สืบทอดจะตกไปอยู่ที่ผู้ใด ลิขิตสวรรค์ให้ข้าถ่วงเวลาต่อไป ข้าย่อมไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์ได้”
ลิขิตสวรรค์สามารถอธิบายเช่นนี้ได้หรือ
…
เยียนอวิ๋นฉวนมีชีวิตรอกกลับมา
เฉินมั่วหยานในฐานะลุงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
หลายวันนี้เขามักอยู่ในสภาวะตึงเครียด ในที่สุดก็ได้พักหายในแล้ว
เขาเคยคิดนับครั้งไม่ถ้วน หากเยียนอวิ๋นฉวนตายอยู่ด้านนอกจะทำอย่างไร
เจ้าเด็กไม่เอาไหนอย่างเยียนอวิ๋นไฮ่ไม่มีคุณสมบัติแข่งขันกับเยียนอวิ๋นถง
เฉินฮูหยินมีบุตรชายสองคน บุตรสาวหนึ่งคน มีเพียงเยียนอวิ๋นฉวนที่มีอนาคตที่สุด อีกทั้งยังครอบครองฐานะบุตรชายคนโต
หากไม่มีเยียนอวิ๋นฉวน เฉินฮูหยินรวมทั้งตระกูลเฉิงคงต้องล่มสลาย
โชคดีที่สวรรค์ยังไม่ปิดทางคน!
เยียนอวิ๋นฉวนมีชีวิตรอดกลับมาอย่างปลอดภัย ขอบคุณฟ้าดิน
เวลานี้ เฉินมั่วหยานคุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องไห้ด้วยความตื้นตัน!
…
เมื่อเยียนอวิ๋นถงรู้ว่าเยียนอวิ๋นฉวนมีชีวิตรอดกลับมา เขาพูดกลั้วหัวเราะ “เขาดวงแข็งเสียจริง! อย่างนี้ยังไม่ตายอีก”
บ่าวรับใช้พร่ำบ่น “เหตุใดนายน้อยจึงต้องกลัวเขา!”
เยียนอวิ๋นถงหัวเราะ “ดวงตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าข้ากลัวเขา ที่ผ่านมา เขาเป็นคู่ต่อสู้ของข้า เวลานี้ เขาไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของข้าแล้ว การใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือยในเมืองหลวงหลายปีบั่นทอนจิตวิญญาณของแม่ทัพในตัวเขาไปหมดแล้ว!
ตระกูลเยียนเริ่มต้นจากการเป็นแม่ทัพ แม่ทัพจึงจะเป็นรากฐาน เยียนอวิ๋นฉวนที่ไม่มีวิญญาณของแม่ทัพ อย่างมากก็เป็นได้แค่ขุนนางท้องถิ่น ดูแลประชาชน ทำสงคราม เขาไม่ไหว! แต่ว่าดวงของเขาแข็งเสียจริง ดันมีชีวิตรอดกลับมาได้ ดูท่าทางข้างตัวเขาคงมีคนที่รู้จักเส้นทางคอยชี้แนะ”
…
เยียนอวิ๋นฉวนกลับมา ใบหน้าของเขาทั้งเหลืองทั้งซูบตอบ หลังจากรับประทานอาหารแล้ว เขาก็นอนหลับไปเป็นเวลาสามวันสามคืน
เขาไม่ได้ถูกกองทัพอูเหิงฆ่าตาย หากแต่เกือบอดตายอยู่บนที่ราบ
สุดท้าย เพื่อรอดชีวิต ทำได้เพียงออกคำสั่งให้ฆ่าม้าศึกมาบรรเทาความหิวโหย
ที่ราบอันเวิ้งวาง ไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ เมื่อไม่มีม้าศึกย่อมเท่ากับละทิ้งชีวิตของตนเอง
อย่าคิดที่จะใช้ขาทั้งสองข้างเดินออกจากที่ราบ
ด้านหนึ่งอดตายอยู่บนหลังม้า อีกด้านตายช้าลงหลังสูญเสียม้าศึก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย!
เวลานั้น เยียนอวิ๋นฉวนหมดหนทางแล้วจริงๆ
เหล่าหม่าผู้เป็นพลทหารกองทัพเหนือรู้จักทาง เขาพากองกำลังที่สูญเสียกำลังการต่อสู้อย่างพวกเขาเดินออกมาจากที่ราบ
เพื่อการนี้ ยังต้องสูญเสียชีวิตของพลทหารไปแปดส่วน
หลังจากตื่นขึ้นมา เยียนอวิ๋นฉวนรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ
ชีวิตที่อยู่บนที่ราบ แต่ละวันล้วนวนเวียนอยู่ที่ชายแดนแห่งความหิวโหย หลายครั้งที่หิวจนเกิดภาพลวงตา
เวลานี้ อาหารโอชาเต็มโต๊ะ เขากลับกินอย่างระมัดระวัง เกรงว่าจะสิ้นเปลืองเสบียงแม้แต่เมล็ดเดียว
มีเพียงคนที่เคยลิ้มลองรสชาติของความหิวจึงจะเข้าใจคุณค่าของเสบียง
ทหารส่งสารรายงานเขา “ท่านโหวเชิญนายน้อยไปเดินทางไปหารือที่ห้องสัญญา! ขอให้นายน้อยใหญ่ออกเดินทางทันที อย่าให้ท่านโหวรอนาน”
เยียนอวิ๋นฉวนวางตะเกียบลง หยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากเบาๆ กลั้วปากเล็กน้อย ก่อนจะสวมชุดเครื่องแบบมุ่งหน้าไปยังห้องสัญญา
ภายในห้องสัญญามีคนอยู่จำนวนมาก
แม่ทัพของกองทัพโยวโจวล้วนอยู่
ทันทีที่เขาเดินเข้าห้องสัญญา บรรยากาศภายในห้องที่ร้อนระอุเย็นลงทันทีราวกับถูกแช่แข็ง
มีเพียงเฉินมั่วหยานผู้เป็นลุงมาต้อนรับเขา
“นายน้อยใหญ่กลับมาอย่างปลอดภัย ช่างน่ายินดี!”
เยียนอวิ๋นฉวนผงกหัวให้ท่านลุง เฉินมั่วหยานเล็กน้อย ก่อนจะเดินหน้าไปคำนับบิดาเยียนโส่วจ้าน
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่อาจทำภารกิจที่ท่านโหวมอบหมายได้สำเร็จ ขอท่านโหวโปรดลงโทษ!”
ห้องสัญญา ต่อหน้าทุกคน เยียนโส่วจ้านและบุตรชายทั้งหลายมักแทนตัวเองด้วยตำแหน่ง
เยียนโส่วจ้านมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เสียโอกาสในการทำสงคราม เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเป็นโทษประหาร”
“ข้าน้อยรู้!” เยียนอวิ๋นฉวนโน้มตัวเล็กน้อย สีหน้าเคร่งเครียด
ทุกคนต่างเงียบ ไม่พูดไม่จา
เยียนโส่วจ้านพูดขึ้นอีก “แต่คราวนี้จะยกโทษให้เจ้า สถานการ์อย่างละเอียด ทหารผู้คุ้มรายงานหมดแล้ว ไม่ใช่โทษระหว่างสงคราม ดังนั้นไม่ต้องถูกประหาร!”
“ขอบพระคุรท่านโหวที่เมตตา!”
“แต่ไม่อาจไม่ลงโทษเลยไม่ได้”
“ข้าน้อยยอมรับบทลงโทษด้วยความเต็มใจ”
“ดีมาก! การลงโทษต่อเจ้าค่อยหารือในภายหลัง วันนี้แจกจ่ายภารกิจใหม่ ทุกคนฟังคำสั่ง…”
การประชุมภารกิจกองทัพดำเนินไปกว่าสามชั่วยาม ทำให้บรรดาแม่ทัพต่างอึดอัดอย่างมาก
หลังจากจบสิ้นการประชุม บรรดาแม่ทัพลุกขึ้นจากไป
เฉินมั่วหยานอยากคุยกับเยียนอวิ๋นฉวนมาก แต่ไม่มีโอกาส
เมื่อการประชุมจบลงแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ในห้องสัญญาต่อ ทำได้เพียงส่งสายตาให้เยียนอวิ๋นฉวนพูดจาระมัดระวัง
แม่ทัพถอยไป…
ภายในห้องสัญญาเหลือเพียงท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้าน กุนซือตู้ซินแส รวมทั้งเยียนอวิ๋นฉวนและเยียนอวิ๋นถงสองพี่น้อง
เยียนโส่วจ้านเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนคลายไปทั้งตัว
นิ้วมือของเขางอขึ้นเล็กน้อย เคาะโต๊ะเบาๆ
เขาไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา แต่บารมีที่กระจายออกมาจากตัวก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องสัญญาตึงเครียดแล้ว
แต่ละคนล้วนรู้สึกใกล้จะหายใจไม่ออก
“เจ้าสอง เจ้าคิดว่าข้าควรลงโทษพี่ใหญ่เจ้าอย่างไร”
เยียนโส่วจ้านเปล่งเสียงออกมาอย่างกะทันหัน เพียงเปิดปากก็เป็นคำถามอันตราย
เยียนอวิ๋นถงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับท่านพ่อตัดสินใจ!”
เยียนโส่วจ้านยิ้ม “หากข้าไม่ลงโทษเจ้าใหญ่ เจ้ายอมหรือ”
เยียนอวิ๋นถงก้มหน้ายิ้ม “ข้ายอม! กองกำลังโยวมีท่านพ่อเป็นใหญ่ ไม่ว่าท่านพ่อตัดสินใจอย่างไร ข้าก็จะสนับสนุน!”
เยียนโส่วจ้านหัวเราะเย้ยหยัน “พูดได้สวยงาม แต่เรื่องที่เจ้าทำกลับเป็นอีกอย่าง ข้าให้เจ้าอย่าเกิดการปะทะกับกองกำลังอวี้โจว เหตุใดเจ้าจึงไม่ฟัง ช่วงเวลาแห่งสงคราม เจ้ากลับปะทะกับกองกำลังอวี้โจว พวกเขามาฟ้องต่อหน้าข้าแล้ว เจ้าจะอธิบายอย่างไร”
เยียนอวิ๋นถงไร้ความหวาดกลัว “กองกำลังอวี้โจวมาฟ้อง แต่ได้ชี้แจงหรือไม่ว่าคนที่ข้าปะทะด้วยเป็นผู้ใด ไม่ปิดบังท่านพ่อ กลุ่มคนที่ปะทะกับข้าเป็นคนของนายน้อยใหญ่ตระกูลสือ
บังอาจเหยียดหยามพี่ใหญ่ต่อหน้าข้า ไม่ตีเขาจะตีผู้ใด หากพบกันคราวหน้า ข้าก็ยังตี ตีตายหนึ่งคนนับหนึ่งคน ฉวยโอกาสบั่นทอนอำนาจของนายน้อยใหญ่ตระกูลสือ ถือว่าช่วยพี่ใหญ่”
เยียนโส่วจ้านจ้องมองด้วยความโกรธ จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ไม่เลว เจ้ามีความกล้าหาญมาก สมกับเป็นบุตรชายของข้า แต่เจ้าต้องจำไว้ อย่าได้เป็นฝ่ายก่อความขัดแย้งขึ้นมาก่อน ท่านโหวผิงอู่ สืออุนย่อมจะชี้แนะนายน้อยใหญ่สือ คราวหน้าพวกเจ้าเผชิญหน้ากันก็ไม่ใช่แค่เพียงปะลองว่าผู้ใดมีฝีมือมากกว่ากัน”
“ข้าจดจำคำสอนของท่านพ่อ”
เยียนโส่วจ้านมองไปทางเยียนอวิ๋นฉวน “หลังจากผ่านสงครามครั้งนี้ เจ้าใหญ่มีความคิดเห็นอย่างไน”
ความจริงแล้ว เวลานี้เยียนอวิ๋นฉวนยังสับสนอยู่เล็กน้อย
คราวนี้เกือบตายอยู่บนที่ราบทำให้เขามีความรู้สึกบางอย่างอย่างมาก
“เจ้าใหญ่ไม่มีเรื่องจะพูดหรือ”
เมื่อเห็นเขาไม่ยอมพูดเสียที เยียนโส่วจ้านจึงถามอีกครั้ง
เยียนอวิ๋นฉวนสูดลมหายใจเข้า ก้มหน้าเล็กน้อย “รายงานท่านพ่อ ข้าไร้ความสามารถ ทำให้ท่านพ่ออับอาย ข้าสำนึกผิดในเรื่องต่างๆ ความคิดปะปนกันไปหมด ไม่รู้ควรจะเริ่มพูดจากที่ใด”
เยียนโส่วจ้านเคาะโต๊ะ “เจ้าเคยคิดหรือไม่ บางทีเจ้าไม่เหมาะสมกับการนำทัพ”
ตู้ซินแสรู้สึกประหลาดใจ แต่ใบหน้ายังคงสีหน้าเดิม
เยีบนอวิ๋นถงก็นิ่งอย่างมาก ไม่ขยับแม้แต่น้อย
สีหน้าของเยียนอวิ๋นฉวนสับสนเล็กน้อย “ข้าไม่รู้! เวลานี้ข้าไม่อาจตอบคำถามนี้ได้”
เยียนโส่วจ้านผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจ “เจ้ากลับไปคิดดูให้ดี ตกลงจะนำทัพทำสงครามต่อหรือไม่ ข้าสามารถบอกกับเจ้าอย่างมั่นใจ นับจากนี้อีกหลายปีจะมีสงครามอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย อีกทั้งมีแต่จะลำบากยิ่งขึ้น
หากเจ้าอยากจะนำทัพต่อไป ก็จำเป็นต้องสู้รบในสนามรบ บุตรหลานของตระกูลเยียนจะหลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ได้ หากไม่ฝึกฝนตัวเองในสนามรบก็จะไม่มีคุณสมบัติสืบทอดมรดกของตระกูลเยียน อีกทั้งไม่อาจแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ได้!”
เยียนอวิ๋นฉวนอ้าปากค้าง แต่กลับพูดไม่ออก
เยียนอวิ๋นถงพูดขึ้น “ท่านพ่อดูข้า ข้าสามารถแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของตระกูลเยียนได้หรือไม่”
กล้าหาญยิ่งนักที่เปิดปากถามเรื่องนี้ขึ้นมาเอง
เยียนโส่วจ้านยิ้ม
บุตรชายคนอื่นไม่มีความกล้าเหมือนเยียนอวิ๋นถงที่จะถามว่าตัวเองสามารถสืบทอดมรดกได้หรือไม่
เขาเลิกคิ้ว พลันถามกลับ “เจ้าคิดว่าตัวเองมีความสามารถแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของตระกูลเยียนหรือไม่”
เยียนอวิ๋นถงครุ่นคิด “ให้เวลาข้าฝึกฝนอีกสองปี ข้าย่อมสามารถแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของตระกูลเยียนได้”
มีความมั่นใจ!
เยียนโส่วจ้านหัวเราะร่า
ตู้ซินแสและเยียนอวิ๋นฉวนต่างหยุดหายใจ รอคอยประโยคถัดไป!