คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 197 พาลูกเข้าวัง
ตอนที่ 197 พาลูกเข้าวัง
ความรักที่เซียวเฉิงเหวินมีต่อบุตรสาว คนที่มองเห็นล้วนดูออก
เด็กก็ไม่ได้ทรยศต่อความรักของทุกคน นางยิ่งโตยิ่งดี ร่างกายแข็งแรง
เยียนอวิ๋นเกอในฐานะน้าสี่ของเด็ก นางมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้
ที่นาหนึ่งหมื่นไร่ ร้านค้าสองร้าน เครื่องทองเครื่องหยกอีกมากมาย
ผ้าผืน รองเท้า ถุงเท้านับคันรถถูกลากมายังจวนองค์ชายสอง
เยียนอวิ๋นฉีรีบบอกว่าของขวัญมีมูลค่ามาก ไม่กล้ารับเอาไว้
เยียนอวิ๋นเกอกลับพูด “ไม่ได้ให้พี่สอง สิ่งของเหล่านี้ให้หลานสาวของข้าทั้งสิ้น”
เยียนอวิ๋นฉีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “รู้ว่าน้องสี่มีเงิน แต่ก็ไม่อาจส่งของขวัญมากมายเพียงนี้ได้ เด็กยังเล็กจะรับไว้ได้อย่างไร”
“ย่อมรับไว้ได้”
เยียนอวิ๋นเกอยื่นนิ้วออกมาแตะแก้มและนิ้วของเด็ก
มันคือการสัมผัสที่ใกล้ชิดที่สุดระหว่างนางกับเด็ก
หากให้นางเข้าใกล้มากกว่านี้ นางคงไม่กล้า
นางกลัวว่าจะทำให้เด็กเจ็บ
นางมีกำลังมากแต่กำเนิด หากนางไม่ได้ควบคุมแรงเอาไว้ให้ดี ฮือๆๆ …
เมื่อถึงเวลานางคงไม่อาจอธิบายได้
องค์ชายสองต้องประหารนางอย่างแน่นอน
ดูจากการให้ความสำคัญขององค์ชายสองที่มีต่อบุตรสาว หากผู้ใดกล้าทำให้บุตรสาวของเขาเจ็บ เขาจะฆ่าคนอย่างแน่นอน
พี่ใหญ่เยียนอวิ๋นเฟยหยอกล้อ “น้องสี่ไม่ให้ก็แล้วไป เมื่อให้ย่อมต้องเป็นจำนวนใหญ่ ทำให้ของขวัญของพวกข้าดูตระหนี่ไปไม่น้อย”
เยียนอวิ๋นเกอพูดต่อ “พี่ใหญ่วางใจ รอหลานชายข้าคลอดออกมา ข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่เช่นเดียวกัน”
“พี่ใหญ่เห็นหรือไม่ เวลานี้น้องสี่คือคนที่ร่ำรวยที่สุดในบรรดาพี่น้อง นางไม่ขาดแคลนเงิน” เยียนอวิ๋นฉีหัวเราะ
เยียนอวิ๋นเฟยยิ้มพลันพยักหน้า “น้องสี่ไม่ขาดแคลนเงิน ดีมาก!”
สามพี่น้องหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
อีกไม่กี่วัน เยียนอวิ๋นฉีก็ต้องออกจากการพักฟื้น
เยียนอวิ๋นเฟยถามนาง “มีแผนการใดหรือไม่”
“พี่ใหญ่หมายถึงเรื่องจัดงานเลี้ยงหรือ ความจริงความคิดของข้ากับองค์ชายคล้ายกัน ไม่ได้อยากจัดงานเลี้ยงนัก”
เยียนอวิ๋นเฟยได้ยิน จึงเสนอความคิดให้นาง “อย่างนั้นก็จัดงานเลี้ยงขนาดเล็ก อย่างไรก็ต้องคึกคักบ้าง เด็กคลอดออกมาย่อมต้องเฉลิมฉลอง เชิญเพียงญาติของพวกเรามาก็พอ”
เยียนอวิ๋นฉียิ้มขมขื่น “เครือญาติราชวงศ์สามารถแบ่งแยกออกเป็นญาติใกล้ไกลมากมาย ไม่รู้จะนำความเดือดร้อนมามากน้อยเพียงใด หากไม่เชิญทั้งหมด ก็ไม่เชิญแม้แต่คนเดียว”
เยียนอวิ๋นเฟยพูด “ควรเชิญผู้ใด ไม่เชิญผู้ใด เจ้าให้องค์ชายสองตัดสินใจ ญาติก็ควรแบ่งแยกความสนิทชิดเชื้อ ข้าคิดว่าเขาคงมีความคิดอยู่ภายในใจแล้ว!”
เยียนอวิ๋นฉีครุ่นคิดพลันพยักหน้า “ข้าลองถามเขาดู”
ภายในใจส่วนลึก นางยังคงอยากจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองให้บุตรสาวสักครั้ง
หากไม่แม้แต่จะจัดงานเลี้ยง ภายในใจคงรู้สึกไม่ดีอย่างประหลาด
หากบุตรสาวเติบโตขึ้น เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงพ่อแม่อย่างพวกเขาไม่ให้ความสำคัญต่อลูก
ไม่ใช่คนไม่มีเงิน อีกทั้งใช่ว่าจะไม่มีกำลัง แม้แต่งานเลี้ยงยังไม่จัด ถึงแม้จะไม่สนใจสายตาของคนภายนอก แต่อย่างน้อยก็ต้องสนใจความรู้สึกของบุตรสาว
เวลานี้บุตรสาวยังเด็ก ยังไม่รู้เรื่อง
แต่สักวันหนึ่งบุตรสาวย่อมต้องเติบโต นางย่อมจะถามถึงเรื่องตอนเด็ก
มีคนปากมาก แม้จะไม่ถามก็จะพูดเอง
นางรักลูก ไม่อยากให้ลูกรู้สึกไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย
ข้อเสนอของพี่ใหญ่สามารถลองดูได้
เยียนอวิ๋นเกอพูด “หากพี่สองตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยง ในมือของข้ามีพ่อครัวอยู่หลายคน ฝีมือทำอาหารดีมาก”
ไม่ใช่นางรังเกียจพ่อครัวในจวนองค์ชายสอง
หากแต่องค์ชายสองเสวยอาหารรสจืด ชอบความสงบ จวนองค์ชายสองจึงไม่จัดงานเลี้ยงมานานหลายปี
พ่อครัวในจวนองค์ชายสองทำอาหารสุขภาพรสชาติดี
แต่หากทำอาหารในงานเลี้ยงคงไม่ไหว
งานเลี้ยงย่อมต้องมีอาหารที่รสชาติหลากหลาย ครอบคลุมความชอบของคนส่วนใหญ่
ไม่อาจทำอาหารที่แม้แต่รสชาติยังไม่มี
อย่างนั้นคงไม่ใช่งานเลี้ยง อีกทั้งยังต้องถูกคนรังเกียจ
เยียนอวิ๋นฉีดีใจอย่างมาก “ตกลงตามนี้ หากตัดสินใจจัดงานเลี้ยง น้องสี่ให้ข้ายืมคน”
เยียนอวิ๋นเฟยก็พูด “ข้างกายข้ามีพ่อครัวจากอวี้โจว สามารถให้เขาทำอาหารอวี้โจวสองสามอย่างให้ทุกคนได้ลองชิม”
เยียนอวิ๋นฉีทำหน้าดีใจ “น้องสี่และพี่ใหญ่ให้ข้ายืมพ่อครัว งานเลี้ยงยังไม่ทันได้กำหนด ปัญหาสำคัญอย่างพ่อครัวก็จัดการได้เสียก่อน รอเพียงองค์ชายพยักหน้า ข้าก็จะสั่งให้คนเริ่มเตรียมการ เมื่อถึงเวลาพี่ใหญ่และน้องสี่มามือเปล่า อย่าได้นำของขวัญมาอีกเด็ดขาด พวกท่านให้ของขวัญแล้ว หากข้าเอาของขวัญอีก คงจะหน้าหนาเกินไป”
เยียนอวิ๋นเกอหยอกล้อ “เป็นคนหน้าหนาก็ไม่เลว ต้องร่ำรวยอย่างแน่นอน”
“เจ้าเด็กรักเงิน” เยียนอวิ๋นฉีหัวเราะพลันยื่นมือออกไปจิ้มบนหน้าผากของเยียนอวิ๋นเกอ
เด็กรักเงิน เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าได้ใจ
ในฐานะคนรักเงิน นางปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่ทรยศต่อคำว่า ‘รักเงิน’ อย่างแน่นอน
…
เยียนอวิ๋นฉีออกจากการพักฟื้น
เถาฮองเฮาคิดถึงหลานสาวตัวน้อยที่งดงามจากปากของขันที นางรับสั่งให้เยียนอวิ๋นฉีพาเด็กเข้ามาถวายบังคมในวังหลวง
เยียนอวิ๋นฉีไม่เต็มใจนัก
นางพูดกับเซียวเฉิงเหวิน “ลูกยังเล็กเพียงนั้น หากพาเข้าวังแล้วติดโรค หรือมีเหตุการณ์อื่นขึ้นมาจะทำอย่างไร เด็กที่เล็กเพียงนี้ หากป่วยขึ้นมา เพียงแค่การกินยาก็เป็นเรื่องยากลำบาก”
เซียวเฉิงเหวินเด็ดขาดอย่างมาก “ข้าเข้าวังพร้อมเจ้า พวกเราอุ้มลูกเอง ไม่ต้องยืมมือผู้อื่น”
เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะอธิบาย “เข้าวังหลวงคราวนี้ ไม่เพียงเสด็จแม่คิดถึงลูก เสด็จพ่อก็เช่นเดียวกัน”
เอ๊ะ?
“ฝ่าบาททรงงานหนัก เหตุใดจึงมีเวลาว่างคิดถึงลูกของพวกเรา”
เยียนอวิ๋นฉีประหลาดใจอย่างมาก
แม้จะคิดถึงก็ควรคิดถึงลูกของจ้งซูอวิ้นกับองค์ชายสาม หรือพระราชนัดดาองค์โต
นางคลอดบุตรสาว สถานการณ์ทั่วไปแล้ว ผู้ใดจะคิดถึง
เซียวเฉิงเหวินกลับหัวเราะขึ้นมา “มีคนวังนำไปพูดอยู่ในวังว่าลูกของพวกเรางดงามยิ่งนัก คำพูดนี้ส่งไปถึงหูของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจึงอยากทอดพระเนตรด้วยตนเอง”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
เยียนอวิ๋นฉียังคงไม่วางใจ “จะพาลูกเข้าวังจริงหรือ”
เซียวเฉิงเหวินมั่นใจอย่างมาก “อย่างไรก็ต้องพาลูกออกไปด้านนอก มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวล”
เอาเถิด!
นางทำได้เพียงรับปาก
…
พวกเขาตั้งใจเลือกวันที่มีเมฆมาก มีลมเล็กน้อย แต่ยังคงไม่มีฝน
เยียนอวิ๋นฉีและเซียวเฉิงเหวินพาลูกของพวกเขาเดินทางเข้าวังหลวง
กำแพงวังทั้งสูงทั้งลึกเหมือนห้องขัง
ไม่ว่าเข้าวังมากี่ครั้ง เยียนอวิ๋นฉีก็ยังไม่ชอบบรรยากาศภายในวัง
เมื่อมาถึงตำหนักเว่ยยาง พวกเขาโน้มตัวถวายบังคม
เถาฮองเฮาอารมณ์ดีไม่น้อย นางเผยใบหน้ายิ้มแย้มให้เยียนอวิ๋นฉีอย่างหาได้ยาก
“รีบอุ้มเด็กเข้ามาให้ข้าดู”
เถาฮองเฮาตื่นเต้นอย่างมาก
เยียนอวิ๋นฉีอุ้มเด็กไปด้านหน้านางด้วยตนเอง
เมื่อเถาฮองเฮาเห็นลักษณะของเด็กก็ดีใจอย่างมาก “รูปงามเสียจริง เหมือนเจ้าสองตอนเด็ก”
องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม “คนต่างบอกว่าเด็กรูปงามเหมือนกระหม่อม”
ฮ่าๆๆ …
เป็นครั้งแรกที่เห็นเซียวเฉิงเหวินชื่นชมรูปลักษณ์ของตนเอง เถาฮองเฮารู้สึกขบขัน
นางพูดพลันยิ้ม “แต่ก่อนตอนเจ้ายังเด็ก หากผู้ใดชมว่าเจ้ารูปงาม เจ้าย่อมจะโกรธ”
เซียวเฉิงเหวินพูด “ตอนนั้นเด็ก ไม่รู้เรื่อง”
เถาฮองเฮายิ้ม แต่ไม่คัดค้าน
เด็กมีลักษณะที่งดงามอย่างมาก รูปลักษณ์ที่ดีเช่นนี้หาได้ยากแม้จะอยู่ในราชวงศ์
เถาฮองเฮาพูด “รูปลักษณ์เช่นนี้ โชคดีที่เกิดในราชวงศ์ หากเกิดในตระกูลธรรมดา เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดี”
เซียวเฉิงเหวินคล้อยตาม
บรรยากาศวันนี้ช่างสันติ
เถาฮองเฮาอารมณ์ดี พูดจาก็น่าฟัง
เซียวเฉิงเหวินเยินยอเถาฮองเฮา ทำให้เถาฮองเฮาสบายใจอย่างมาก
จนกระทั่งขันทีทูลรายงาน ฮ่องเต้เสด็จ บรรยากาศภายในตำหนักใหญ่จึงตึงเครียดขึ้นมา
เถาฮองเฮากำชับ “ระยะนี้ฝ่าบาททรงงานหนัก อารมณ์ไม่ดีนัก พวกเจ้าระวังอย่าพูดจาผิด”
ทั้งสามคนลุกขึ้นน้อมรับเสด็จ
ฮ่องเต้หย่งไท่พูดเสียงดัง “ได้ยินว่าเจ้าสองนำบุตรสาวเข้าวังมาถวายบังคม ข้าทำงานมาทั้งเช้า เลยมาผ่อนคลายเสียหน่อย ไม่ต้องมากพิธี! เด็กเล่า อุ้มมาให้ข้าดู”
เถาฮองเฮาอุ้มเด็กมายังข้างกายฮ่องเต้ “ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร เด็กงดงามมากใช่หรือไม่เพคะ ช่างเหมือนเจ้าสองตอนเด็ก”
ฮ่องเต้หย่งไท่ก็ตกตะลึงในรูปลักษณ์ที่งดงามของเด็ก
เด็กที่เล็กเพียงนี้ก็เผยให้เห็นความงดงามในวันหน้า ช่างหาพบได้ยาก
เขาตอบรับพลันพูด “เหมือนเจ้าสองตอนเด็กเสียจริง น่าเอ็นดูยิ่งนัก”
พูดพลันขยับนิ้วแตะตัวเด็กน้อย
แต่ไม่คิดว่าเด็กน้อยจะปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาทันทีที่ฮ่องเต้สัมผัส
หลังจากครบเดือน เสียงร้องของเด็กก็ดังขึ้นไม่น้อย แทบจะสั่นสะเทือนหลังคา
ฮ่องเต้หย่งไท่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจปนเก้อ
เยียนอวิ๋นฉีร้อนใจ เหตุใดลูกจึงร้องไห้ หิวแล้ว หรือว่าฉี่แล้ว
นางอยากอุ้มลูกกลับมา แต่ก็กลัวฮ่องเต้หย่งไท่
เซียวเฉิงเหวินกระแอมไอเสียงเบา พลันออกเสียง “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ เด็กคงจะฉี่แล้ว”
เมื่อเถาฮองเฮาได้ยินก็จะปล่อยมือ
เยียนอวิ๋นฉีรีบอุ้มเด็กกลับมา “หม่อมฉันไปจัดการที่ตำหนักด้านข้างเพคะ”
พูดจบก็อุ้มเด็กจากไป
ในที่สุดฮ่องเต้หย่งไท่ก็ไม่ต้องเก้อแล้ว
เด็กร้องไห้ไม่ใช่เพราะเขา หากแต่เพราะว่าฉี่
เด็กหิวหรือฉี่ล้วนเป็นเรื่องปกติ
นานทีจะมาตำหนักเว่ยยาง ฮ่องเต้หย่งไท่ตัดสินใจอยู่เสวยที่ตำหนักเว่ยยาง
เถาฮองเฮารีบรับสั่งให้คนเตรียมสำรับ ล้วนเป็นอาหารที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน
เยียนอวิ๋นฉีหลังจากอุ้มเด็กไปยังตำหนักด้านข้างก็ไม่ปรากฎตัวอีก
นางเป็นห่วงลูก ไม่อยากห่างจากลูก
ฮ่องเต้ ฮองเฮาและเซียวเฉิงเหวินนั่งอยู่ด้วยกันสามคน
ฮ่องเต้หย่งไท่ถามขึ้น “ร่างกายเจ้าสองดีขึ้นแล้วหรือไม่ ต้องให้ข้ามอบหมายงานให้เจ้าทำหรือไม่ สามแคว้นหกแผนก แล้วแต่เจ้าจะเลือก”
เถาฮองเฮากังวลอย่างมาก นางพยายามส่งสายตาให้เซียวเฉิงเหวิน
เซียวเฉิงเหวินราวกับไม่ได้รับสัญญาณจากเถาฮองเฮา เขาโน้มตัวขอบพระทัย พลันพูด “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ! เพียงแต่ร่างกายของกระหม่อมยังไม่ดีนัก หากรับราชการ เกรงว่าจะทรยศต่อความคาดหวังของเสด็จพ่อ”
เถาฮองเฮาผิดหวังอย่างมาก เจ้าเด็กคนนี้ไม่ยอมฟังนาง
โอกาสที่หายากอย่างการฝึกฝนในราชสำนัก เขากลับไม่รักษาเอาไว้ คิดแต่เพียงพักรักษาตัวอยู่ในจวน
ฮ่องเต้หย่งไท่ได้ยินเช่นนี้กลับไม่ผิดหวัง
ก่อนหน้านี้เขาก็แค่พูดเท่านั้น ความจริงแล้วภายในใจของเขายังไม่ได้คิดว่าจะให้เซียวเฉิงเหวินทำงานที่ใด
ร่างกายไม่ดีไม่อาจทำงานจริงจังได้
ต้องเป็นงานสบาย อีกทั้งยังต้องสูงส่งเหมาะสำหรับฐานะขององค์ชาย งานเช่นนี้แม้จะมีในราชสำนัก แต่ฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะยอมมอบหมายให้เซียวเฉิงเหวิน
———————————————-