คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 888 คนพวกนี้ล่วงเกินด้วยไม่ไหว
ตอนที่ 888 คนพวกนี้ล่วงเกินด้วยไม่ไหว
ขณะที่หมิงหุยไล่ตามมู่ซีและฉินหลิวซีไปก็เริ่มหายใจหอบถี่ สองมือสองเท้าเริ่มอ่อนแรง ใบหน้าที่ดูดีขึ้นหลังจากฝังเข็มในเดิมทีก็เริ่มเขียวคล้ำ ทำเอาอูตงและองครักษ์ที่ติดตามมาด้านหลังพากันตกใจ พร้อมเอ่ยขึ้นว่าช้าๆ หน่อย
ประจวบกับเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างมู่ซีกับฉินหลิวซีเข้าพอดี “เงินหมื่นตำลึงน้อยเกินไป น่าจะขอมากกว่านี้หน่อย จัดการเอามาบูรณะติดทองทั้งนอกและในอารามให้เสร็จสรรพ ตระกูลหมิงมีเงินทองถมเถไป”
ฉินหลิวซี “หมื่นตำลึงก็พอแล้ว แค่เขียนตำรับยาและบำรุงรักษาตัวก็เท่านั้น ข้าเองก็รักษาให้หายขาดไม่ได้ หากเอามากกว่านี้คงไม่ดี”
เสียงหอบถี่ของหมิงหุยดังมากขึ้น ไม่รู้ว่าร้อนใจหรือโมโหกันแน่
พอฉินหลิวซีได้ยินเสียงก็หันหน้าไปมอง ครั้นเห็นท่าทีหายใจไม่ทันของหมิงหุยก็มุ่นคิ้วพลางเอ่ย “ตอนนี้เจ้าร่างกายอ่อนแอ แถมเพิ่งอาการกำเริบ ใครอนุญาตให้เจ้าวิ่งกัน อยากตายนักหรือไร”
“ข้า…” หมิงหุยเอามือกุมที่หัวใจ เพราะแน่นหน้าอกหายใจสั้นถี่เลยสูดหายใจเฮือกใหญ่ไม่หยุด พลันดวงตาก็ชุ่มไปด้วยน้ำ
ฉินหลิวซีเผยหน้าขรึม นางเพียงยื่นมือไปดึงมือของเขามาพร้อมส่งลมปราณที่แท้จริงไปให้ แล้วจึงเอ่ย “กลับไปนอนพักกินยา”
หมิงหุยกะพริบตาอย่างน่าสงสาร “ข้าอยากตามเจ้าไปด้วย”
“จะตามข้าไปทำไม”
หมิงหุยน้ำตาเอ่อล้นขอบตา “ไม่มีใครเล่นกับข้า ข้าไม่มีพี่น้อง ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าล่วงลับไปนานแล้ว ข้าเหลือเพียงแค่ท่านปู่ ส่วนคนอื่นๆ ก็บูชาข้าดุจบรรพบุรุษ คนอายุไล่เลี่ยกันก็ไม่มีใครกล้าเล่นกับข้า กลัวว่าเล่นๆ ไปแล้วข้าจะอาการกำเริบ น่าเบื่อจะตาย”
เขางุดหน้าลง ทำท่าน่าสงสารราวกับอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังก็มิปาน
มู่ซีชี้ไปทางเขาพร้อมยิ้มเย็นชา “เก็บลูกไม้ตบตาของเจ้าไปดีกว่า เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจเช่นนี้ใครจะเชื่อ”
หมิงหุยไม่สนใจเขา เพียงแค่ใช้ดวงตาที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาจับจ้องฉินหลิวซี ซึ่งเจือด้วยความหวัง
ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าเป็นเพียงคนไข้ของข้า ข้าไม่รับเป็นสหาย”
“แล้วเหตุใดเจ้าหมามู่นี่ถึงเป็นได้เล่า” หมิงหุยชี้ไปทางมู่ซี
“เขาเองก็ไม่ใช่สหายของข้าเช่นกัน” แต่เป็นแขกของอารามที่มีฐานะร่ำรวยก็เท่านั้น
ฉับพลันมู่ซีก็เจ็บปวดจับใจ แววตาน่าสงสารยิ่งกว่าหมิงหุยเสียอีก!
กระบองเทพช่างไร้หัวใจนัก!
“อย่าตามข้ามา” ฉินหลิวซีคร้านจะดูการแสดงของพวกเขา จากนั้นก็เหลือบเห็นว่าเฟิงซิวกลับมาแล้ว พร้อมมองมาทางนางด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก่อนจะเดินจากไป
มู่ซีถลึงตามใส่
“เขาคือใครหรือ” แววตาที่หมิงหุยจับจ้องเฟิงซิวดุจจิ้งจอกน้อยจอมเผด็จการ แผ่ไอดุดันออกมา
มู่ซี “เขาเป็นคนของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ”
เขารู้จักเฟิงซิว เพราะเคยเห็นว่าหน้าตาดูมีเสน่ห์ร้ายกาจจึงตามสืบประวัติความเป็นมาดู แต่นอกจากเรื่องที่มีหุ้นในร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง เขาก็ไม่รู้เรื่องอื่นแล้ว ร่องรอยของเฟิงซิวช่างลึกลับ ราวกับเป็นจอมยุทธ์ผู้ห้าวหาญก็มิปาน
หมิงหุยขมวดคิ้วมุ่น เหตุที่ฉินหลิวซีบอกให้พวกเขาไปหาหมอปรุงยาที่ร้านตำหนักอายุวัฒนะ เพราะเป็นคนคุ้นเคยกันอย่างนั้นหรือ
หากเป็นคนรู้จักของนาง เห็นทีคงเก็บกวาดไม่ง่ายแล้ว
ครั้งนี้เฟิงซิวเอ่ยกระแทกกระทั้นกับฉินหลิวซีว่า “ข้าเพิ่งเดินออกไปได้ไม่นาน ท่านก็เกี้ยวจิ้งจอกน้อยได้ตัวหนึ่งแล้วหรือ มือไม้ว่องไวดีนี่ ข้าเห็นสายตาแผ่รังสีสังหารมาจากเจ้าจิ้งจอกน้อยนั่น”
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ข้าว่าเหมือนเจ้าจะเป็นโรคตาแดงมากกว่า หรือจะให้ข้ารักษาให้เจ้าดี ข้าสามารถจัดการถอนรากถอนโคนรักษาให้หายขาดได้เร็วมากทีเดียว!”
เฟิงซิว “!”
เขาหนีบก้นพลางเอ่ย “ท่านกล้าพูดเรื่องพวกนี้ในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์พุทธาวาสด้วยหรือ ไม่กลัวพระพุทธเจ้าจะลงโทษบ้างหรือไร!”
“กลัวทำไมกัน ข้าเป็นคนปากพล่อย พระท่านต่างรู้ดี!” ฉินหลิวซีเดินพลางเอ่ยถามเขาว่า “เกิดอะไรขึ้นกับงูเห่ายักษ์สองตัวนั้นหรือ”
“พวกมันต่างบำเพ็ญตบะมาสามสิบกว่าปีแล้ว จำศีลอยู่ในภูเขาลึกมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อหลายวันก่อน เหมือนว่าในภูเขาลึกจะมีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้น เห็นทีคงถูกคุกคามจนตกใจถึงเลื้อยมาโผล่ที่นี่” เฟิงซิวเอ่ยเสียงเบา
ฉินหลิวซีหน้านิ่วคิ้วขมวด “เขตแดนศักดิ์สิทธิ์พุทธาวาส มีภัยคุกคามเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่เป็นสถานที่แบบใด”
ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้า “เจ้าเห็นความเคลื่อนไหวในภูเขาลึกหรือไม่”
เฟิงซิวส่ายหน้า “ข้าสัมผัสถึงภัยคุกคามนั้นไม่ได้”
ฉินหลิวซีได้ยินเช่นนั้นก็หงุดหงิดใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องขึ้นแต่กลับไม่รู้ว่ามันคืออะไร แถมความรู้สึกเหนือการควบคุมช่างชวนให้นางหงุดหงิดใจมากจริงๆ
“เจอผู้บงการหรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า ถอนหายใจพลางเอ่ย “เป็นไปตามที่เจ้าว่าเลย”
นางเอาคำพูดของฮุ่ยเฉวียนเล่ามาให้ฟัง
“หากเป็นดั่งที่เขาว่าจริงๆ เช่นนั้นอยู่เฉยๆ ย่อมดีกว่าลงมือ หากแตะต้องโชคลาภของบ้านเมืองจนเกิดเรื่องวุ่นวายในใต้หล้า ผลลัพธ์ที่ต้องแบกรับคงมหาศาล ในเมื่อตอนนี้ข่มไว้ก่อนก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ปล่อยไปเถอะ หากซื่อหลัวมีความเคลื่อนไหว เช่นนั้นผลลัพธ์และบทลงโทษจากสวรรค์ย่อมมีเขาเป็นคนแบกรับ ถึงอย่างไรเราก็มีแต่ได้ไม่มีเสีย” เฟิงซิวเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
ฉินหลิวซีหลุบตาลง “เจ้าลืมไปข้อหนึ่ง นั่นคือของของเขา ทวงของตัวเองกลับคืนมีสิ่งใดผิดกัน เขามีเหตุผลนี้ ต่อให้ถูกลงโทษก็คงไม่ร้ายแรงนัก อย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตที่พอรับไหว”
เฟิงซิวกลับมุ่นคิ้ว “แต่ก็ไม่ควรให้ท่านต้องมารับบทลงโทษจากสวรรค์ ชะตากรรมของตระกูลฉินยังไม่จบ!”
เขาแค่อยากให้ฉินหลิวซีเห็นแก่ตัวบ้าง หากมีวันใดเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ เหตุใดนางต้องเป็นคนแบกรับด้วย
หากโลกนี้ต้องพังพินาศก็ให้พินาศไป ย่อมต้องมีโอกาสจุดประกายขึ้นใหม่อีกครั้งแน่นอน แต่หากนางตาย เช่นนั้นก็คงสูญเสียอย่างแท้จริง หากไม่มีนางแล้ว ต่อให้ใต้หล้านี้สุขสงบ แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาเล่า!
ทั้งสองสนทนาพลางเดินไปไกล เงาแผ่นหลังที่เคียงคู่กันกระแทกตามู่ซีและหมิงหุย แสบตาจนทนไม่ไหว
“ข้าอยากฆ่าเขาเสีย!” หมิงหุยนัยน์ตาลึกล้ำ
ครั้นมู่ซีนึกถึงวิธีการของเจ้าวิปริตนี่ก็รีบเดินออกห่างเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “เขาไม่ใช่คนที่หาเรื่องด้วยง่ายๆ เจ้ายอมแพ้เสียเถิด!”
เขาก็อยากผสมโรงด้วยอยู่หรอก แต่ความสามารถในการเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีกลับมีมากกว่า เฟิงซิวผู้นี้ความคิดยากแท้หยั่งถึง ให้ความรู้สึกว่าแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างพวกเขาอย่างสิ้นเชิง เขาเหมือนคนประเภทเดียวกับฉินหลิวซีมากกว่า
แล้วฉินหลิวซีเป็นใคร นักพรตผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมิน คนประเภทเดียวกันที่อยู่ข้างกายนางจะเป็นเพียงคนธรรมดาได้อย่างไร
อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกเหลาะแหละไก่อ่อนที่จะหาเรื่องได้ก็แล้วกัน!
ในเมื่อหาเรื่องไม่ได้ แต่เขาหลบหลีกได้!
ดังนั้นหากเจ้าวิปริตนี่อยากตายก็ตามสบายเลย ขอโทษด้วยที่ตายเป็นเพื่อนไม่ได้!
ครั้นหมิงหุยเห็นมู่ซีถอยห่าง แววตาก็ยิ่งหม่นลง “คนไร้น้ำยา”
นานๆ ทีจะเจอคนน่าสนใจ เขาคิดอยากครอบครองคนเดียวจริงๆ
ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีคนมองมาทางนี้ เขาจึงหันไปมอง พลันก็เห็นสาวรับใช้ในชุดปี่เจี่ย[1]สีเขียวคนหนึ่ง พร้อมถือชุดคลุมตัวนอกชิ้นหนึ่งในมือ เขาเอ่ยพลางขึงตาใส่ “มองอะไร ระวังข้าจะควักลูกตาของเจ้ามาเป็นลูกแก้วดีดเล่นเสียเลย!”
สาวรับใช้คุกเข่าลงพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว
หมิงหุยแค่นเสียงใส่หนึ่งที ก่อนพาคนจากไป
สาวรับใช้รอกระทั่งเขาเดินจากไปไกลแล้ว นางถึงลุกขึ้นพร้อมร่างกายที่อดสั่นสะท้านไม่ได้ ก่อนจะเดินโซซัดโซเซกลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายตน ซึ่งก็คือหรงฮูหยินที่ฉินหลิวซีเจอนั่นเอง
ครั้นเห็นสีหน้าของนางขาวซีดเช่นนั้น หรงฮูหยินจึงมุ่นคิ้วเอ่ยถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
สาวรับใช้กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเล่าฉากที่ตนเห็นให้ฟัง
หรงฮูหยินเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง “คนที่ช่วยเซิ่งเอ๋อร์รู้จักกับมู่ซื่อจื่อกับนายน้อยหมิงอย่างนั้นหรือ”
สาวรับใช้พยักหน้า ไม่เพียงแต่รู้จัก เห็นได้ชัดว่านางไม่ไว้หน้าจอมเผด็จการทั้งสองอย่างสิ้นเชิง ทว่าพวกเขาทั้งสองกลับเคารพเกรงใจนางเป็นพิเศษ
หรงฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็เรียกบ่าวคนสำคัญให้ไปสืบความต่อ รวมถึงสืบภูมิหลังของคนผู้นั้นเพิ่มเติม จากนั้นค่อยเพิ่มค่าตอบแทนให้ นางอย่าล่วงเกินทำผิดโดยไม่รู้ตัวจะดีกว่า
[1] ชุดคลุมปี่เจี่ย เป็นชุดคลุมตัวนอกแขนกุด ไร้ปกและผ่าหน้า ความยาวถึงเข่า