คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 884 หากเจ้ายอมช่วย ข้าจะหาพระพุทธรูปทองคำมาให้เจ้า!
- Home
- คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 884 หากเจ้ายอมช่วย ข้าจะหาพระพุทธรูปทองคำมาให้เจ้า!
ตอนที่ 884 หากเจ้ายอมช่วย ข้าจะหาพระพุทธรูปทองคำมาให้เจ้า!
มู่ซีรู้สึกว่าปีนี้โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เริ่มจากไปหานกกระเรียนแล้วถูกจับมาเป็นคลังเลือด หลังจากหวุดหวิดรอดตายกลับมาได้ ก็ถูกจับรักษาตัวอยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม พอร่างกายดีขึ้นเริ่มมีเนื้อมีหนังออกมาข้างนอกได้แล้วก็ถูกคนนับสิบคอยตามติดทั้งแบบเปิดเผยและซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ แม้แต่ในวัดก็ไม่เว้น หากเอาตัวมาแนบติดกับเขาได้คงทำไปแล้ว ไม่มีอิสระแม้แต่นิดเดียว
เรื่องนี้ก็ช่างมันเถิด ทว่าใครสามารถบอกกับเขาได้บ้าง กว่าจะได้มาวัดทั้งทีไม่ใช่เรื่องง่าย ดันมีใครหน้าไหนก็ไม่รู้มาหาเรื่องเขา
และคนผู้นี้ก็ยังเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยอะไรไปง่ายๆ ต่อให้อีกฝ่ายจะร่ำรวยหรือสูงส่งกว่าก็ตามแต่ ช่างเป็นคนวิปริต วิปริตของจริงชนิดที่ไม่ได้เสแสร้ง
“หมิงหุย อย่าคิดว่าร่างกายของเจ้าอ่อนแอแล้วจะสามารถแตะต้องเครื่องลายครามของข้าได้ตามอำเภอใจ ไม่มีทาง คนอื่นอาจกลัวคนวิปริตอย่างเจ้า แต่ข้าไม่กลัว!” มู่ซีชี้หน้าคุณชายตรงหน้าที่ดูอ่อนแอขี้โรคทว่าริมฝีปากกลับแดงเสียไม่มี พลางตะโกนด่าต่อ “เจ้าแมวขี้โรค เจ้าจะเจ็บป่วยหรือตายไป ก็ล้วนทำตัวเองทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับข้า”
“มู่ซื่อจื่อ ท่านอ๋องน้อยของพวกข้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของรุ่นที่เก้า สุขภาพร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เหตุใดท่านถึงได้สาปแช่งโหดร้ายเช่นนี้” บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ หมิงหุยต่อว่าด้วยความไม่พอใจ
มู่ซีสบถหัวเราะ “หากเขาไม่มาหาเรื่องข้าก่อน ข้าจะเปลืองน้ำลายไปด่าทอเขาทำไม ทุกคนก็เดินด้วยกันทั้งนั้น ทางเข้าก็ใหญ่แค่นี้ เหตุใดข้าต้องยอมเขาด้วย เพราะเขาป่วยจนหายใจไม่ออกหรือ หากเขาป่วยจนหายใจไม่ออกจริง ข้าจะยอมให้!”
“ถูกต้อง ข้าป่วย เจ้ายอมข้าสักหน่อยจะเป็นไรไป” หมิงหุยตอบกลับเสียงดังลั่น จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนลงกับพื้น หายใจหอบหืด ใบหน้าซีดเผือด พลางจ้องมองมู่ซีตาเขม็ง แววตาเต็มไปด้วยความท้าทาย
มาสิ เข้ามากัดข้าสิ ข้าป่วย ข้าหายใจไม่ออกแล้ว
มู่ซี “!”
โอ้โห เขาไม่เคยพบเจอใครที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน หมิงหุยเจ้าคนสารเลว!
เสแสร้งเก่งกว่าเขาเสียอีก!
เขาป่วยจริงๆ เสียด้วย ป่วยเป็นโรคสำออย ป่วยชนิดระยะสุดท้าย!
ฉินหลิวซียืนพิงกรอบประตู เลิกคิ้วขึ้นสูงพลางชมละครตรงหน้า
พูดถึงเรื่องเสแสร้งแกล้งทำ คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ของเมืองเซิ่งจิงถนัดกว่าเป็นไหนๆ แต่ละคนไม่มีใครเป็นรองใครเลย
ฮุ่ยเฉวียนเห็นแล้วก็ปวดหัวเป็นอย่างมาก คุณชายจอมเรื่องเยอะที่สุดในเมืองมาบรรจบเจอกัน ดูท่าเดือนนี้คงไม่ต้องโกนผมแล้ว เพราะแค่เห็นสองคนนี้ก็เครียดจนผมร่วงไปเอง!
เขาปาดเหงื่อพลางเดินเข้าไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “โยมหมิง พื้นมันเย็น รีบลุกขึ้นเถิด หากความเย็นเข้าสู่ร่างกายล่ะก็ ต้องแย่เป็นแน่แท้”
หมิงหุย “ไม่เอา ข้าป่วย มีชีวิตอยู่ต่อไม่นานแล้ว เจ้าหมามู่สาปแช่งข้า หากข้าตาย พวกเจ้าก็ไปเอาโลงศพที่จวนเฉิงเอินโหวมาใส่ข้า ข้าจะช่วยให้เขาสมดังปรารถนาเอง!”
มู่ซีกระโดดตัวโยน “เหลวไหล! ข้าไปแช่งให้เจ้าตายตอนไหน!”
“เจ้าสาปแช่งข้า เจ้าบอกว่าหากข้าเจ็บป่วยหรือตายไปก็ล้วนทำตัวเองทั้งนั้น เจ้าจงใจสาปแช่งข้า!”
“ข้า…เจ้า!” มู่ซีกระทืบเท้าด้วยความโมโห “เจ้าพูดไปเรื่อย เจ้าทำตัวเจ้าเองทั้งนั้น เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย อยากตายก็ไปตายเองสิ!”
เขาหมุนตัวจะเดินหนี ก็เห็นฉินหลิวซียืนพิงกรอบประตูดูเหตุการณ์อยู่ มู่ซีอึ้งจนตาค้าง พลางขยี้ตา
“แม่เจ้า นั่นนักต้มตุ๋นน้อยนี่นา ไยถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้” มู่ซีรีบวิ่งแจ้นไปหานางด้วยความดีอกดีใจ
หมิงหุยลุกขึ้นมานั่งพลางขมวดคิ้วแน่น เขาหันไปมองมู่ซีและฉินหลิวซีสลับกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
มู่ซีทิ้งเขาไปทั้งอย่างนี้หรือ เพื่อคนผู้นั้นที่ดูไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่าเป็นสตรีหรือบุรุษ?
คนผู้นี้คือใครกัน?
ฉินหลิวซีจ้องมองมู่ซีพลางเอ่ย “ดูท่าคงจะหายสนิทแล้ว แข็งแรงร่าเริงไม่น้อย ถึงขนาดมีเรี่ยวแรงไปทะเลาะกับชาวบ้านได้”
“คำพูดคำจาของนักต้มตุ๋นน้อยไม่ผิดแน่ เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย” มู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยความน้อยใจ “ก่อนหน้านี้ข้าจำได้ เจ้าเป็นคนช่วยพาข้าออกมาจากดินแดนแห่งความว่างเปล่า หากเจ้าไม่ช่วยข้า ป่านนี้ข้าคงตายไปนานแล้ว แต่หลังจากที่ข้าฟื้นขึ้น เจ้าก็ไม่อยู่แล้ว เจ้าไปไหนหรือ”
เขาพูดขึ้นพลางยกมือขึ้นมาลูบแผลเป็นสีเนื้อที่ข้อมือ เป็นบาดแผลที่ถูกกรีดสองรอย แม้ว่าบาดแผลจะดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังไม่หายสนิท
ฉินหลิวซี “อย่ามาเติมแต่งละครเอง ที่ข้าช่วยเจ้าเพราะความบังเอิญ เดิมทีข้าจะไปตามหาคน”
มู่ซีจุกไปชั่วขณะ รู้สึกไม่พอใจมาก ผู้ใดจะสำคัญไปกว่าเขาอีก
ทว่าต่อหน้าฉินหลิวซี เขาไม่กล้าที่จะโวยวายจึงเอ่ย “แต่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ เป็นเรื่องจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้”
“อืม แล้ว?”
“บุญคุณช่วยชีวิต ไม่สามารถตอบแทนให้หมดจดได้ นอกเสียจากตอบแทนด้วยร่างกาย!” มู่ซีพูดขึ้นด้วยความเขินอาย
ฉินหลิวซีหนังตากระตุกขึ้นมาทันที
หมิงหุยเบิกตากว้าง วิญญาณเข้าสิงเจ้าหมามู่หรืออย่างไรกัน
ฉินหลิวซียกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว จิ้มไปที่กลางหน้าผากของมู่ซี ดันเขาออกห่าง “อย่ามาแสร้งซื่อบื้อ ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางรับลูกศิษย์เพิ่มอีก! เรื่องบุญคุณช่วยชีวิตมาคุยกันได้ ให้เงินมาก็พอ”
มู่ซีรีบเอ่ย “วางใจเถิด ท่านพ่อของข้าได้ส่งคนบูรณาการซ่อมแซมอารามไปตั้งนานแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” เช่นนี้ดีมาก
“นายน้อย ท่านเป็นอะไรไป เจ็บหน้าอกอีกแล้วหรือขอรับ”
มู่ซีได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นก็หันกลับไปดู พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฉุนเฉียว “เสแสร้งอีกแล้ว? เล่นละครจนเสพติดไปแล้วหรือ”
“ไม่ได้เสแสร้ง” ฉินหลิวซีเห็นว่าริมฝีปากของเขากลายเป็นสีดำม่วง ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ตาเหลือก กุมหน้าอกพร้อมกับหายใจหอบหืด อาการป่วยกำเริบ?
มู่ซีตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ได้เสแสร้ง?
เช่นนั้นก็แสดงว่าอาการป่วยของเขากำเริบจริง
“เจ้า…เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ยาล่ะ” มู่ซีรีบวิ่งเข้าไปดู มือไม้พันกันไปหมด
บ่าวรับใช้ชายลูบคลำเสื้อผ้าตนเอง ยา…ยาอยู่ที่เรือนพัก เขาเรียกคนใช้คนอื่นมาดูแลหมิงหุย ส่วนตนเองก็รีบวิ่งกลับเรือนพักไป
หมิงหุยหอบจนหายใจไม่ออก ผ่านไปเพียงครู่เดียว เหงื่อบนหน้าผากไหลลงมาเป็นสาย ฮุ่ยเฉวียนหน้าซีดไปหมด รีบอุ้มเขากลับไปที่เรือนพัก
มู่ซีเดินตามไปครู่หนึ่ง ก็นึกถึงฉินหลิวซีขึ้นมา “นักต้มตุ๋นน้อย โรคนี้เจ้ารักษาได้หรือไม่”
“ไม่ได้” ไม่ได้ตรวจจับชีพจร ใช้แค่สายตาประเมิน นางจึงตอบได้เพียงว่า ‘ไม่ได้’ เท่านั้น หากเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรักษาให้หายขาด นอกเสียจากเปลี่ยนถ่ายหัวใจใหม่
มู่ซีสีหน้าสลดไปเล็กน้อย
“แต่พอจะช่วยให้อาการกำเริบทุเลาลงชั่วคราวได้” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ
“เช่นนั้นเจ้าช่วย…”
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “เมื่อครู่นี้เจ้ายังทะเลาะกับเขาอยู่เลยมิใช่หรือ ประหนึ่งจะไม่สนว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้กลับมาขอร้องให้ข้ารักษาเขา?”
มู่ซีหน้าแดงเล็กน้อย พลางตอบกลับ “ข้าไม่ได้ทำเพื่อเขาเสียหน่อย เพียงแต่เมื่อครู่นี้ข้าทะเลาะกับเขารุนแรงขนาดนั้น ตอนนี้อาการป่วยของเขาก็ดันมากำเริบอีก หากเขาเกิดเป็นอะไรแล้วโทษข้าขึ้นมา ข้าจะทำอย่างไร ถึงแม้ว่าข้าจะไม่กลัวเขา แต่ตระกูลหมิงเหลือทายาทแค่คนเดียวแล้ว เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าท่านอ๋องผู้เฒ่าคงจะมาร้องห่มร้องไห้ถึงวังหลวง ถึงเวลานั้นฮ่องเต้เกิดพิโรธขึ้นมา ข้าคงไม่ได้ออกจากวังหลวงมาเที่ยวเตร่ข้างนอกอีกเป็นแน่แท้”
“ใต้หล้านี้มีคนที่เจ้ากลัวด้วยหรือ ข้าคิดว่าเจ้าไม่เกรงกลัวฟ้าเกรงกลัวดินเสียอีก”
“หากหลีกเลี่ยงได้ข้าก็อยากหลีกเลี่ยง แต่ใครจะไปคิดว่าข้าจะดวงซวยขนาดนี้ มาถึงที่นี่ก็ยังเจอเจ้าคนวิปริตนั่นได้” มู่ซียิ้มประจบสอพลอ “วางใจเถิด ขอแค่เจ้ายอมช่วยรักษาอาการป่วยของเขา ข้าจะรีดไถพระพุทธรูปทองคำมาให้เจ้าหนึ่งองค์ ตระกูลหมิงร่ำรวยมาก”
ฉินหลิวซีกะพริบตาเบาๆ “การช่วยชีวิตคน ดีกว่าก่อเจดีย์เจ็ดชั้น เห็นแก่พระพุทธเจ้า ลองดูเสียหน่อยก็แล้วกัน”
พระพุทธเจ้า พระพุทธและลัทธิเต๋าล้วนมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน พอมาถึงเจ้า อธิบายได้เป็นตุเป็นตะเชียว