คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 883 กระดูกพุทธะนี้ ห้ามแตะต้อง
ตอนที่ 883 กระดูกพุทธะนี้ ห้ามแตะต้อง
รับปากดิบดีว่าจะให้เงินตอบแทน ทว่ารวบรวมแล้วกลับไม่พอ เป็นใครก็ย่อมรู้สึกเก้อเขินเป็นธรรมดา นับประสาอะไรกับคนที่มาจากจวนเจิ้นกั๋วกง
ใบหน้าของหรงฮูหยินร้อนฉ่าไปหมด นางรีบปลดกำไลหยกมันแพะออกจากข้อมือ พลางเอ่ยขึ้นว่า “โชคไม่ดีที่ตอนนี้พวกข้าเดินทางอยู่ข้างนอก จึงไม่ได้พกตั๋วเงินติดตัวมามากมาย ท่านหมอสามารถนำกำไลหยกวงนี้ไปรับเงินที่จวนเจิ้นกั๋วกง”
ฉินหลิวซีไม่ได้รับกำไลหยก ทว่ากลับหันไปรับตั๋วเงินเหล่านั้นแทนพลางเอ่ย “ช่างเถิด คงเพราะมีบุญวาสนากับคุณชายน้อย ถือเสียว่าเป็นการสร้างวาสนาที่ดีต่อกัน แค่นี้ก็พอแล้ว”
“จัดการกับพวกมันอย่างไรดี” เฟิงซิวเหวี่ยงงูทั้งสองไปมา ผู้คนเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหน้ามืดจะเป็นลม
งูจงอางหัวแบนทั้งสอง หยุดเหวี่ยงได้แล้ว พวกข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว!
ฉินหลิวซีหันไปมองงูทั้งสอง ตัวผู้หนึ่งตัว ตัวเมียหนึ่งตัว หนึ่งในนั้นท้องป่องและนูน งูตัวเมียกำลังตั้งท้อง
“ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดพวกมันถึงได้มาที่นี่ แต่ดูท่าแล้วพวกมันคงเตรียมจะวางไข่ตรงนี้ เพราะถูกรบกวนและทำให้ตกใจ พวกมันถึงได้ทำร้ายคน” ฉินหลิวซีเหลือบมองหรงฮูหยิน พลางเอ่ยต่อไปว่า “งูตัวเมียกำลังตั้งท้อง แล้วยังอยู่ในวัดอีกด้วย พระพุทธเจ้าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฮูหยินไว้ชีวิตพวกมันสักครั้งดีหรือไม่”
หรงฮูหยินขมวดคิ้วแน่น สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก สถานที่เช่นวัดอวี้ฝอกลับมีงูพิษปรากฏตัวขึ้น นางไม่เชื่อว่านี่คือความบังเอิญ ยังมีความคิดจะนำงูสองตัวนี้กลับไปผ่าพิสูจน์เสียด้วยซ้ำ แต่ฉินหลิวซีกลับขอให้นางปล่อยไป
“ฮูหยินไม่ต้องกังวลไป ครั้งนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ไม่ใช่ฝีมือคน” ฉินหลิวซีเหมือนจะเข้าใจความคิดนาง พลางเอ่ยต่อไปว่า “งูสองตัวนี้เลื้อยมาจากป่าลึกหลังเขา ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในวัดวาอาราม แม้จะเป็นแค่งู แต่ก็สามารถก่อเกิดเป็นความเกลียดชังได้ กลายเป็นการแก้แค้นที่ไม่จบไม่สิ้น หากท่านฆ่าพวกมัน วันข้างหน้าโชคชะตาหมุนเวียนมาบรรจบกัน พวกมันก็จะกลับมาแก้แค้นคืน ทุกอย่างล้วนเป็นกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น”
หรงฮูหยินได้ยินแล้วก็นึกภาพตาม จึงเอ่ย “ในเมื่อท่านหมอเอ่ยมาเช่นนี้ บุตรชายของข้าก็ไม่เป็นไรแล้ว เช่นนั้นก็ไว้ชีวิตพวกมันแล้วกัน”
ฉินหลิวซีพยักหน้าเบาๆ “ฮูหยินและคุณชายจิตใจอารีมีเมตตา ทำดีย่อมได้ดีเป็นผลตอบแทน” จากนั้นก็หันไปสั่งเฟิงซิว “เอาไปปล่อยบนเขา อย่าทำคนแตกตื่นล่ะ”
เฟิงซิวเบะปาก “ชอบใช้ข้าอยู่เรื่อย”
เฟิงซิวจับงูทั้งสองตัว จากนั้นก็เดินขึ้นเขาไป เขาเดินเร็วเป็นอย่างมาก ชั่วพริบตาเดียวก็ไม่เห็นแผ่นหลังแล้ว
ฉินหลิวซีเอ่ย “ถึงแม้ว่าพิษจะถูกขับออกมาแล้ว แต่ก็ได้รับความตกใจและสูดลมเข้าท้องไปเยอะ กลางคืนต้องระวังให้มาก อย่าให้โดนลมหนาวจนเป็นไข้ตัวร้อน ที่วัดมียันต์แคล้วคลาด ไปขอแล้วเอากลับไปไว้ที่ใต้หมอน ช่วยทำให้จิตใจสงบลงได้”
“ขอบคุณท่านหมอที่ชี้แนะ”
ฉินหลิวซีโบกมือเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินลงเขาไป
หรงฮูหยินเห็นว่านางเดินไปไกลแล้ว ก็หันไปสั่งคนใช้ที่อยู่ข้างๆ เสียงขรึม “ไปสืบมา”
งูปล่อยไปแล้ว แต่จะเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ สิ่งที่ควรตรวจสอบก็ควรต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าหลับหูหลับตาเชื่อคำพูดของฉินหลิวซีไปหมดเสียทุกอย่าง
แม้ว่าฉินหลิวซีพอจะเดาการเคลื่อนไหวของจวนเจิ้นกั๋วกงได้ ทว่านางก็ไม่ขอออกความคิดเห็นใดๆ ตระกูลสูงศักดิ์เช่นนี้มักจะชอบทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ หากนางบอกว่าเป็นอุบัติเหตุแล้วพวกเขายอมเชื่อก็เป็นเรื่องตลกขบขันแล้ว
ทว่านางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด
เพราะนี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองทั่วไปของคนเรา
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในโถงต้าสยงของวัดอวี้ฝอ ภายในห้องโถงกว้างขวางและโอ่อ่าเป็นอย่างมาก กลางห้องโถงมีพระพุทธรูป สีทองอร่ามตั้งอยู่ พระพุทธรูปสว่างไสวจนรู้สึกตาลายไปหมด
ห้องโถงแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตว์ล้วนเป็นสีทองทั้งสิ้น ภายในห้องโถงมีภาพวาดพระพุทธถังข่าแขวนอยู่ มีเครื่องประดับมากมายตกแต่งอย่างงดงาม ที่หน้าพระพุทธรูปมีดอกไม้และผลไม้บูชาเรียงราย สดและใหม่เป็นอย่างมาก
ที่หน้าพระพุทธรูปก็มีธูปขนาดใหญ่เท่าแขนจุดอยู่ แลดูหรูหราและอลังการยิ่ง
มิน่าเล่ารอยยิ้มของพระพุทธรูปแห่งนี้ถึงได้แลดูอ่อนโยนและมีเมตตากว่าวัดบนภูเขาเทียนเป็นไหนๆ หากเป็นนาง นางก็จะยิ้มอย่างอ่อนโยนและมีเมตตาเช่นนี้เหมือนกัน
ธูปเทียนอลังการจริงๆ
ฉินหลิวซีเข้าไปจุดธูปไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จับสามเณรน้อยรูปหนึ่งมาถามถึงไต้ซือผู้ดูแล ไม่นานก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยความเร่งรีบ คนผู้นี้เป็นภิกษุวัยกลางคน สีหน้าโอบอ้อมอารี รูปร่างอ้วนท้วน ทว่าบุคลิกภาพกลับสงบสุขุม แลดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
“อมิตาภพุทธ อาตมาฮุ่ยเฉวียน ยินดีที่ได้พบกับโยม” ฮุ่ยเฉวียนยิ้มตาหยี พลางโค้งตัวคำนับฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีประสานมือคารวะตอบ จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ไต้ซือเป็นผู้ดูแลวัดอวี้ฝอแห่งนี้หรือ”
“มิกล้า มิกล้า เวลานี้ผู้ดูแลหลักกำลังเข้าฌานบำเพ็ญตบะ มิสามารถออกมาต้อนรับโยมได้ ต้องขออภัยด้วย” ฮุ่ยเฉวียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ก่อนที่ท่านผู้ดูแลจะเข้าฌาน ได้ทำนายไว้ว่าโยมจะมา อาตมาจึงรออยู่ที่นี่”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้วขึ้นสูง “รู้ว่าข้าจะมา เช่นนั้นก็แสดงว่ารู้จุดประสงค์การมาของข้า ทว่าผู้ดูแลกลับยังเข้าฌาน ก็เท่ากับว่าจงใจที่จะหลบหลีกข้าอย่างนั้นหรือ”
ฮุ่ยเฉวียนยิ้มบางๆ ไม่ได้มีท่าทีว่าจะโกรธเคืองแม้แต่นิดเดียว “ตรงนี้ไม่ค่อยสะดวกคุยกัน โยมตามอาตมาไปดื่มชาที่เรือนเข้าฌานดีหรือไม่”
แน่นอนว่าฉินหลิวซีย่อมคล้อยตามอยู่แล้ว
วัดอวี้ฝอกว้างขวางเป็นอย่างมาก ขนาดเรือนเข้าฌานก็ยังแบ่งออกเป็นเรือนรับรองชายและเรือนรับรองหญิง เพราะอย่างไรเสียวัดแห่งนี้ก็มักจะมีคนในราชวงศ์รวมไปถึงทายาทตระกูลสูงศักดิ์แวะเวียนมาไหว้พระจำนวนมาก หากไม่แบ่งแยกก็อาจมีข่าวคราวที่ไม่น่าฟังแพร่กระจายออกไป
ฮุ่ยเฉวียนพาฉินหลิวซีไปที่เรือนรับรองชาย จากนั้นก็สั่งให้เณรน้อยเตรียมน้ำชาและขนมเจมา
“ชาป่านี้เป็นชาที่วัดอวี้ฝอปลูกเอง เป็นชาฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ไม่รู้ว่าจะถูกปากโยมหรือไม่” ฮุ่ยเฉวียนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
ฉินหลิวซียกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ แล้วกัดขนมเจไปหนึ่งคำ “สมกับที่เป็นวัดอายุพันปี รสชาติของน้ำชาและขนมเจไม่เลวทีเดียว ดีกว่าวัดโบราณบนภูเขาเทียน ได้น้ำชาเพียงแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น ที่นี่ต้อนรับแขกดีกว่าหน่อย”
ฟ่านคง ข้ารู้ว่าข้าจน แต่ไม่ต้องตอกย้ำก็ได้!
ฮุ่ยเฉวียนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ภูเขาเทียนเป็นพื้นที่ที่ใกล้กับดินแดนพระพุทธเจ้า เต็มไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ ง่ายต่อการสื่อสารกับพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่ชาหนึ่งถ้วยเลย แม้แต่น้ำหิมะถ้วยเดียวก็แฝงไปด้วยหลักธรรม ไม่ใช่สถานที่ที่วัดอวี้ฝอจะไปเปรียบเทียบได้”
ฉินหลิวซีคิดในใจ หัวการค้าลื่นไหลไม่เบา
นางค่อยๆ จิบชาจนหมดแก้ว จากนั้นจึงเอ่ย “ในเมื่อไต้ซือผู้ดูแลหลักรู้ว่าข้าจะมา เช่นนั้นก็แสดงว่ารู้จุดประสงค์การมาของข้าแล้วใช่หรือไม่”
ฮุ่ยเฉวียนฉีกยิ้มพลางตอบกลับ “โยม กระดูกพุทธะแฝงไปด้วยพลังแห่งมาร ตั้งแต่ที่วัดอวี้ฝอได้มา ก็ฝังผนึกไว้ใต้อารามมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นคนในราชวงศ์ ทายาทตระกูลสูงศักดิ์และบ้านเมืองแห่งนี้ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หากนำกระดูกพุทธะออกไป บ้านเมืองก็จะเกิดความโกลาหล ใต้หล้าเกิดการนองเลือดอย่างแน่นอน”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง
เป็นเหมือนที่เฟิงซิวพูดไว้ไม่มีผิด
“ไต้ซือ หากข้าไม่เอาออกมา มารเอ้อฝูก็มาเอามันอยู่ดี”
ฮุ่ยเฉวียนเติมน้ำชาให้นางพลางเอ่ย “หากผู้นั้นกล้าแตะต้องชะตาเมือง ก็เท่ากับมีความคิดที่ชั่วร้าย ทำให้บ้านเมืองเกิดความโกลาหล เป็นการสร้างบาปกรรมอันใหญ่หลวง โยม สร้างกรรมชั่วย่อมได้รับผลของมันเสมอ โยมสร้างกรรมดีมามากมาย เหตุใดถึงต้องแบกรับกรรมครั้งนี้ด้วย”
ฉินหลิวซีเม้มปากเบาๆ พลางหลุบตาลงต่ำ
“เมื่อใดที่กรรมชั่วมันก่อตัวเป็นรูปร่าง สวรรค์ไม่มีทางเพิกเฉย และจะต้องชำระสะสางอย่างแน่นอน โยมไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลไป ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความชั่วไม่สามารถเอาชนะความดีได้ ทุกเหตุต้นผลกรรมล้วนถูกกำหนดโดยสวรรค์ทั้งสิ้น”
ฉินหลิวซีเงยหน้าพลางเอ่ย “ท่านพูดมาเช่นนี้ ก็แสดงว่าไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไร กระดูกพุทธะชิ้นนี้ ข้าไม่มีทางเอาไปได้ใช่หรือไม่”
ฮุ่ยเฉวียนสีหน้าสงบสุขุม “โยมไม่จำเป็นต้องไปยึดติดกับมัน สิ่งนั้นมีที่ไปของมันเอง”
“ก็ได้!” ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน ทว่าทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากข้างนอก นางจึงหันไปดู เสียงนี้ช่างคุ้นหูเสียจริง!