คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 881 วัดอวี้ฝออกสั่นขวัญแขวน
ตอนที่ 881 วัดอวี้ฝออกสั่นขวัญแขวน
ฟ่านคงคิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะเผากะโหลกศีรษะจนแหลกเป็นจุณ ยังไม่ทันได้พูดคุยเจรจา กะโหลกศีรษะก็กลายเป็นเถ้าลอยฟุ้งไปในอากาศเสียแล้ว
หากมารเอ้อฝูอยากจะหา ก็ต้องงมหาเศษผงที่ละเอียดดุจอนุภาคหิมะกระมัง
“อมิตาภพุทธ ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว” ฟ่านคงยกมือขึ้นเสมออก พลางโค้งตัวคำนับ
ฉินหลิวซีปัดเศษผงออกจากมือ แล้วก็เช็ดมือกับพื้นหิมะอีกครั้ง พลางฉีกยิ้ม “ไต้ซือพูดถูก”
ฟ่านคงจ้องมองนาง อยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าก็ไม่ได้พูดมันออกมา
“ไต้ซือมีอะไรก็เอ่ยออกมาตรงๆ ดีกว่า”
“เจ้าอาวาสน้อย สิ่งที่เรียกว่าเหตุต้นผลกรรม ทุกอย่างล้วนมีกฎแห่งกรรมเสมอ ท่านอย่าฝืนจนเกินไป” แววตาของฟ่านคงแฝงไปด้วยความโศกเศร้าอาดูร พลางเอ่ยต่อไปว่า “รังสรรค์โชคชะตาด้วยตนเอง รูปลักษณ์ภายนอกล้วนมาจากภายใน ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนแปรสภาพเป็นรูปลักษณ์”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วแน่น นางไม่ชอบสายตาเช่นนี้
“ไต้ซือ เสร็จธุระแล้ว พวกข้าขอตัวก่อน”
ฟ่านคงกล่าวคำว่าอมิตาภพุทธอีกครั้ง
ฉินหลิวซีเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็หมุนตัวกลับมา “จริงสิ หากในอนาคตจะมีการปราบปีศาจจริงๆ ไต้ซือจะมาหรือไม่”
ฟ่านคงตอบกลับ “เพื่อผู้คนในใต้หล้าแล้ว อาตมาฟ่านคงกล้าที่จะสละกายมรรตัยของตนเอง”
“เช่นนั้นก็ดี”
ฟ่านคงมองดูทั้งสองค่อยๆ หายไปลับตา จากนั้นก็หลุบตาลงต่ำพลางถอนลมหายใจออกมาเบาๆ “ผูกพัน คะนึง ชีวิตร่องรอย โศกเศร้า ยินดี ไร้แก่นสาร ล้วนเป็นโชคชะตาทั้งสิ้น”
เฟิงซิวหันไปเอ่ยกับฉินหลิวซี “ตาภิกษุนั่นเอาแต่พร่ำธรรมะไม่หยุด ท่านไม่ต้องนำมาใส่ใจ”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้ เขาก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “ถ้าเกิด…ข้าหมายถึงถ้าเกิดใต้หล้านี้ไม่สามารถยอมรับการมีตัวตนของเจ้าได้ ข้างกายสาวกพระพุทธเจ้าผู้นี้ เจ้าจะยังสามารถบำเพ็ญตบะจนสำเร็จได้ จงจำไว้ ที่ภูเขาเทียนแห่งนี้จะเป็นเส้นทางแห่งปลายทางของเจ้า”
“เหตุใดถึงพูดคำพูดเช่นนี้ ทำเหมือนจะฝากฝังคำสั่งเสียอย่างไรอย่างนั้น ท่านเป็นถึงมหาหายนะเชียวนะ มหาหายนะนานนับพันปี อย่ามาทำอะไรแบบนี้” เฟิงซิวจ้องนางตาเขม็ง
ฉินหลิวซีฉีกยิ้ม “ไปที่เมืองเซิ่งจิงกัน”
“วัดอวี้ฝอใช่หรือไม่” เฟิงซิวรีบเปลี่ยนบทสนทนาด้วยความตื่นเต้น ทันทีที่ได้ยินว่าจะไปเมืองเซิ่งจิงก็เดาได้เลยทันทีว่านางจะไปที่ไหน
กระดูกพุทธะของภูเขาเทียนถูกนางทำลายจนกลายเป็นจุณไปแล้ว ถัดมาก็คงจะเป็นวัดอวี้ฝอที่อยู่ใกล้ที่สุด ส่วนเผิงไหล จะไปได้หรือไม่ ยังไม่สามารถสรุปได้
เฟิงซิวเอ่ยขึ้น “ข้าขอเตือนท่านสักหน่อย วัดอวี้ฝอไม่ได้เป็นวัดที่ค้นหาได้ยากและเดินทางขึ้นไปลำบากเช่นวัดโบราณบนเขาเทียนซาน วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองเซิ่งจิง เป็นวัดโบราณอายุพันปีที่เลื่องชื่อและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สามารถกล่าวได้ว่าเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองเซิ่งจิงเลยก็ว่าได้ การจะเอากระดูกพุทธะจากที่นั่น เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องยาก”
“ยากแค่ไหน”
“วัดอวี้ฝอสามารถเรียกได้ว่าเป็นวัดหลวง การดำรงอยู่ของวัดมีความเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของบ้านเมืองเลยก็ว่าได้ ได้ยินมาว่ามันถูกก่อตั้งขึ้นด้วยเชื้อพระวงศ์” เฟิงซิวเอ่ยต่อไปว่า “ดังนั้นหากต้องการจะเอากระดูกพุทธะจากวัดอวี้ฝอ ท่านลองทายดูว่ามันถูกผนึกไว้ที่ไหน”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วแน่น
เฟิงซิวเหลือบมองนางอีกครั้ง พลางพูดขึ้น “ข้ารู้ว่าท่านไม่กลัวฮ่องเต้เฒ่านั่น ทว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของบ้านเมือง หากเขารู้เรื่องเข้า ย่อมเป็นคนแรกที่จะออกมาต่อต้าน!”
แตะต้องชะตากรรมของบ้านเมือง เท่ากับเป็นการงัดแงะรากฐานความมั่นคงของบรรพบุรุษฮ่องเต้ เห็นด้วยก็แปลกแล้ว!
ฉินหลิวซีไม่กลัวฮ่องเต้เฒ่า ทว่านางก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ข้างหลังยังมีครอบครัวตระกูลฉิน ไหนจะอารามเต๋าอีก มีใครบ้างในอารามเต๋าที่ไม่พึ่งพาอาศัยนาง?
การเคลื่อนไหวหนึ่งครั้งสามารถสะเทือนไปทั้งร่างกาย ไม่กลัวคนเพียงคนเดียว แล้วคนทั้งกองทัพเล่า?
ฉินหลิวซีเองก็ไม่ใช่คนจำพวกที่สามารถเพิกเฉยต่อผู้บริสุทธิ์ได้
สีหน้าของฉินหลิวซีไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เอ่ยว่า “ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ทั้งสองไม่ได้ใช้เส้นทางปกติในการเดินทาง ทว่ากลับใช้เส้นทางหลังเขาของวัดอวี้ฝอแทน
เวลานี้คือช่วงเดือนสี่ เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ท้องฟ้าสดใสเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะอยู่หลังเขา แต่ก็ได้กลิ่นควันธูปเทียนที่หอมฟุ้งแล้ว เมื่อมองลงไปก็เห็นหลังคาของอุโบสถที่ต้องแสงแดดในยามเช้า เป็นประกายสีทองอร่าม ควันธูปเทียนลอยคละคลุ้ง อีกทั้งยังมีเสียงกระดิ่งที่พัดพามากับสายลมเป็นบางครั้งบางคราว พลอยทำให้จิตใจรู้สึกสงบและชื่นมื่นเป็นอย่างมาก
เมื่อเสียงระฆังบอกเวลาดังขึ้น เหล่าบรรดานกที่เกาะอยู่บนหลังคาต่างก็กระพือปีกบินออกไป
ฉินหลิวซีที่มองดูอยู่ ก็เห็นฝูงผู้คนจำนวนมาก ผู้คนที่มาสักการบูชามากมายจริงๆ เสียด้วย
“ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้เห็นความแตกต่างราวฟ้ากับดินของวัดโบราณที่เงียบสงบและวัดทางโลกที่ครึกครื้นแล้ว ก็แอบรู้สึกเห็นใจพระพุทธเจ้าของฟ่านคงอย่างบอกไม่ถูก” จู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้น
ดูความแตกต่างนั่นสิ พวกเขาอยู่ที่ภูเขาเทียนมานานขนาดนี้ อย่าว่าแต่ฝูงชนเลย แม้แต่เงาภิกษุก็ไม่มีให้เห็น มีก็แต่ฟ่านคงเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทว่าที่นี่ คนที่มาถวายเครื่องหอมธูปเทียนกลับมากมายล้นหลาม เสียงดังคึกคักไม่ขาดสาย แตกต่างกันประหนึ่งฟ้ากับเหว
“แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ เสียด้วย” เฟิงซิวแอบรู้สึกสะใจ “คนอื่นเขาดำรงอยู่ด้วยธูปเทียนเครื่องหอม แต่เขาดำรงอยู่ด้วยลมหนาวที่ว่างเปล่า แล้วก็หิมะเป็นกอบเป็นกำ”
ฟ่านคง “?”
ทั้งสองค่อยๆ เดินลงเขาไป ยิ่งเดินลงเขาก็ยิ่งพบกับผู้คนมากมายขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่เห็นว่าฉินหลิวซีเดินลงมาจากบนเขา ก็อดรู้สึกแปลกใจเสียไม่ได้
คุณชายหน้าตาดีสองคนนี้มาจากตระกูลไหนกัน ไม่คุ้นหน้าเลย!
เฟิงซิวได้ยินแล้วก็แสดงสีหน้าท่าทีหลงตนเองขึ้นมาทันที ฉินหลิวซีเห็นแล้วก็กลอกตามองบนพร้อมกับเดินออกห่าง ราวกับว่าอับอายและรังเกียจที่ร่วมเดินทางกับเขาอย่างไรอย่างนั้น
“อ๊ากกก…งู ทำอย่างไรดี” จู่ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้น
“แย่แล้ว เด็กคนนี้แย่แน่ๆ!”
“ทรงสามเหลี่ยม งูจงอางหรือเปล่า คุณพระคุณเจ้า ตายแน่ๆ”
“ไม่สิ วัดอวี้ฝอมีงูชนิดนี้ได้อย่างไรกัน น่ากลัวเกินไปแล้ว”
ฉินหลิวซีได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วก็หันมาสบตากับเฟิงซิว จากนั้นก็รีบสาวเท้าเข้าไปหากลุ่มผู้คนที่กำลังมุงดูทันที
หลังจากแหวกว่ายฝูงชนเข้าไปข้างในแล้ว ก็เห็นเด็กคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดหรูหรา อายุราวๆ ห้าหกขวบยืนอยู่บนโขดหินงดงามก้อนหนึ่ง ที่ข้างๆ เท้าของนางมีงูตัวหนึ่งขดอยู่ มันกำลังชูคอ ลำตัวตั้งตระหง่าน หัวแบนเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม มันกำลังจ้องมองเด็กน้อยตาเป็นมัน ลิ้นที่ยาวเหยียดคอยแลบออกมาไม่หยุด แลดูสยดสยองและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ใกล้ๆ กับโขดหินมีคนใช้จำนวนหนึ่งทรุดตัวนั่งเข่าอ่อนอยู่ ต่างก็พากันเกลี้ยกล่อมให้เด็กน้อยอยู่นิ่งๆ ด้วยน้ำตา
ทว่าเด็กน้อยอายุราวห้าหกขวบ เผชิญหน้ากับงูที่ดุร้ายเช่นนี้แล้วไม่ร้องไห้ออกมาก็ถือว่าเก่งมากแล้ว แม้ว่าขาของเด็กน้อยจะสั่นจนเสียอาการก็ตาม
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฉินหลิวซีก็ได้กลิ่นสาบอะไรบางอย่าง กลิ่นเหมือน…
“แย่แล้ว!”
นางมองไปที่เป้ากางเกงของเด็กน้อย เป้ากางเกงเปียกชุ่มเป็นวงกว้าง ตามมาด้วยปัสสาวะที่ค่อยๆ หยดลงพื้น
ติ๋งๆ
ฉินหลิวซีได้ยินเสียงพร้อมๆ กับงูที่พุ่งตัวออกไป ทว่านางเคลื่อนตัวเร็วเป็นอย่างมาก ก่อนที่มันจะลงเขี้ยวกัดเด็กน้อย ฉินหลิวซีก็ได้คว้างูลำตัวขนาดเจ็ดนิ้วพร้อมกับเหวี่ยงออกไป
ผู้คนต่างพากันอุทานเสียงดังลั่น
“นายน้อย”
เด็กน้อยตกใจสะดุ้งตัวโหยงพร้อมกับเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ในขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็มีงูอีกตัวเลื้อยอ้อมหลังโขดหินกระโจนออกมาจากมุมอับสายตา พุ่งเข้าไปฉกขาของเด็กน้อยอย่างจัง
“คุณพระ ยังมีอีกตัว…” ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องอุทาน ก็เห็นเงาสีแดงพุ่งทะยานออกมาจากด้านข้าง ตรงเข้าไปคว้างูที่กำลังฉกขาของเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีคิดไม่ถึงว่าจะมีงูอีกตัว เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยถูกงูกัด ก็โยนงูให้เฟิงซิวจัดการต่อ ส่วนตัวนางก็ย่อตัวลงพลางกดจุดฝังเข็มไว้ จากนั้นก็หยิบเอาถุงผ้าจากข้างเอว นำยาถอนพิษออกมาให้เด็กน้อยดื่ม
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่อึดใจเท่านั้น พอทุกคนตั้งสติได้ เด็กน้อยก็ถูกป้อนยาไปเรียบร้อยแล้ว เหล่าบรรดาคนใช้ต่างก็เข่าอ่อนหมดแรงไปตามๆ กัน พวกเขาจบเห่แล้ว!