คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 880 ทำลายกระดูกพุทธะ
ตอนที่ 880 ทำลายกระดูกพุทธะ
ถามพระพุทธเจ้า?
ฟ่านคงรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจว่าไม่ควรทำเช่นนี้ เรื่องแบบนี้จะถามพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังต่อต้าน ฉินหลิวซีจึงเอ่ยต่อไปว่า “กระดูกพุทธะจะสร้างความโกลาหลวุ่นวายให้กับใต้หล้า ก็ควรที่จะทำลายทิ้งอยู่แล้ว ส่วนเรื่องสมบัติอันล้ำค่า ไต้ซือเป็นผู้มีความรู้และคุณธรรมสูงส่ง ทว่ากลับเก็บสมบัติอันล้ำค่าที่สืบทอดกันมาไว้แต่เพียงผู้เดียวได้อย่างนั้นหรือ เหตุใดต้องมานั่งเฝ้าหายนะครั้งนี้ด้วย ไต้ซือไม่ยอมทำลายทิ้ง ไม่ลองคิดดูหรือว่าหากในอนาคตมารเอ้อฝูสามารถสะสมกระดูกเหล่านี้จนครบทุกชิ้น ความสามารถเขาจะแกร่งกว่าตอนนี้แค่ไหน”
ฉินหลิวซีสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยต่อไปว่า “ไม่ใช่ว่าข้าจะไปอาศัยปณิธานอันแน่วแน่ของผู้อื่นมาทำลายความน่าเกรงขามตนเอง ทว่าตอนนี้พลังดวงจิตหายากขึ้นทุกวัน ไม่ได้เหมือนเมื่อหลายพันปีก่อนที่มีมากมายถมเถไป การบำเพ็ญตบะจึงค่อนข้างราบรื่น ทางพุทธศาสนาข้าไม่รู้ แต่สำหรับลัทธิข้า การที่สามารถเข้าถึงขั้นสร้างรากฐานได้ถือว่าโชคดีมากแล้ว ส่วนยาอายุวัฒนะจากวังหลิงซวี แม้จะควานหาทั่วทั้งใต้หล้าก็อาจจะไม่เจอแม้แต่เม็ดเดียวก็ว่าได้ ข้าและมารเอ้อฝูมีสงครามดุเดือดที่จะต้องต่อสู้กัน หากไม่รีบตัดกำลังทำลายความสามารถของเขาเสียตอนนี้ จะรอให้เขาฟื้นฟูพลังสำเร็จก่อน แล้วพวกเราก็เป็นฝ่ายถูกบดขยี้ตลอดการต่อสู้อย่างนั้นหรือ”
ฟ่านคงจ้องมองนาง “เจ้าอาวาสน้อยไม่จำเป็นต้องถ่อมตนไป ท่านเก่งมากอยู่แล้ว”
“คำชมสวยหรูเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยหรอก” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “นำกระดูกพุทธะที่พวกท่านผนึกไว้ออกมาก็พอ”
ฟ่านคงถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ดูท่าว่าจะไม่เอาออกมาไม่ได้แล้วสินะ เขาลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่หน้าห้องโถง จุดธูปไม้จันทร์หนึ่งกำ มือทั้งสองประกบเข้าหากันพลางโค้งคำนับสามคำนับ จากนั้นก็อธิษฐานในใจ แล้วจึงค่อยปักธูปลงไปในกระถาง
เพียงชั่วพริบตาเดียว ธูปเหล่านั้นก็หักจนหมด
ฟ่านคงเห็นแล้ว ก็หันไปหาฉินหลิวซี “พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วย”
“ข้าเอง” ฉินหลิวซีจุดธูปหนึ่งกำ พลางเอ่ยพึมพำ “หากพระองค์ไม่ให้ ปีศาจเฒ่าก็จะเป็นคนมาเอากระดูกพุทธะเหล่านี้ไป และหากปล่อยให้มันฟื้นฟูพลังจนกลายเป็นเทพขึ้นมาจริงๆ จะไม่ใช่แค่ใต้หล้าที่โกลาหลวุ่นวาย แม้แต่บนสวรรค์ก็ปวดหัวไม่แพ้กัน หึๆ…ถึงเวลานั้น สวรรค์ก็ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิบัติครั้งนี้ด้วย อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้มีกำลังมากมาย มีใจแต่กำลังความสามารถไม่เพียงพอ จะไปยับยั้งได้อย่างไรกัน”
เส้นเลือดที่ปูดนูนบนขมับของฟ่านคงเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
คำพูดเหล่านี้คืออะไรกัน นี่เป็นการโยนโทษให้กับผู้อื่น หรือเป็นการข่มขู่กันแน่
บังอาจสิ้นดี!
ฉินหลิวซีคำนับไปสองสามครั้ง จากนั้นก็ปักธูปลงบนกระถาง ควันธูปลอยฟุ้ง ก้านธูปเหมือนจะหักอยู่รอมร่อ นางจึงเอ่ยต่อไป “หากไม่ยอมให้ เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่สนแล้ว ปล่อยให้พังพินาศไปเลยก็แล้วกัน”
ควันธูปลอยขึ้นสูง ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เพียงชั่วอึดใจก็ไหม้จนหมดก้าน
ฟ่านคง “…”
ฉินหลิวซีพยักด้วยความพึงพอใจ พลางหันไปมองฟ่านคง เอ่ย “เห็นหรือไม่ จะถามคำถามก็ควรถามให้ตรงประเด็น อย่ามัวแต่กล่าวโอวาทลึกล้ำอ้อมไปอ้อมมา มิเช่นนั้นพระพุทธเจ้าอาจจะได้ยินไม่ชัดเจนก็เป็นได้”
เฟิงซิวได้ยินแล้วก็ขำไม่หยุด
ฟ่านคงเงยหน้าขึ้นมองพระพุทธรูป ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพระพุทธเจ้าผู้สูงส่งและเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตา เวลานี้สีหน้าดูเหมือนกำลังรำคาญใจและโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
“เชิญตามอาตมามา”
ฟ่านคงหมุนตัว นำทางฉินหลิวซีและเฟิงซิวออกจากอาราม เดินขึ้นสู่ที่สูง เพียงไม่นานก็มาถึงริมสระเทียนฉือที่ทั้งเขียวและใสราวหยกมรกตก็ไม่ปาน
ฉินหลิวซีกวาดตามองดูบริเวณรอบๆ จากนั้นก็จ้องมองไปที่สระเทียนฉือ บรรยากาศของที่นี่แตกต่างค่อนข้างมาก
ฟ่านคงนั่งขัดสมาธิเรียบร้อย จากนั้นก็ประสานมือเป็นสัญลักษณ์ตราพุทธะ เริ่มท่องพระสูตร เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าสู่สมาธิแล้ว เงากายทิพย์ค่อยๆ ลอยออกมาจากร่างกายของเขาอย่างช้าๆ แลดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม กายทิพย์ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทองทั่วทั้งร่าง ค่อยๆ เดินไปยังทิศทางของสระเทียนฉือทีละก้าว
หลังจากที่กายทิพย์ของเขาเดินเข้าไปในสระเทียนฉือแล้ว สระเทียนฉือก็เหมือนปะทะกับดาวมฤตยูก็ไม่ปาน น้ำในสระค่อยๆ แยกเป็นสองฝั่ง ราวกับถูกตัดออกจากกันอย่างไรอย่างนั้น
ขณะที่น้ำในสระถูกแยกออกจากกัน ที่ตำแหน่งตรงกลางของสระเทียนฉือก็มีเจดีย์ขาวที่มีความสูงพอๆ กับคนหนึ่งคนปรากฏขึ้น บนยอดเจดีย์ขาวมีแสงสว่างปกคลุมอยู่ ลำแสงอำพรางสิ่งของที่อยู่ภายในอย่างมิดชิด
บนยอดเจดีย์ขาวถูกแกะสลักด้วยอักษรสันสกฤต ลำแสงค่อยๆ เปิดกว้าง จากนั้นก็มีบางสิ่งบางอย่างถูกดูดเข้ามาในมือของเขา
เขาค่อยๆ เดินออกมาจากสระเทียนฉือ น้ำในสระกลับคืนสู่สภาพเดิม ผิวน้ำนิ่งสงบ ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่นเสียด้วยซ้ำ
ฉินหลิวซีอดยอมรับไม่ได้เลยจริงๆ ว่าวัดโบราณบนภูเขาเทียนแห่งนี้ผนึกกระดูกพุทธะได้แน่นหนาเป็นอย่างมาก
พระธาตุเป็นสิ่งที่หายาก เมื่อใดก็ตามที่มีพระธาตุของพระอาจารย์อันเป็นที่เลื่องชื่อ ก็จะถูกนำไปซ่อนทันที เขาเทียนซานก็เลยสร้างเจดีย์ขาวไว้ในสระเทียนฉือ ซ่อนไว้ในใต้น้ำอีกที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องการเก็บรักษาหรือต้องการผนึกไว้กันแน่ หรือบางทีอาจจะใช่ทั้งสองอย่าง
หากการบำเพ็ญยังไม่ถึงขั้น คงจะไม่มีทางหาสิ่งที่ถูกซ่อนไว้เจออย่างแน่นอน
หลังจากที่กายทิพย์ของฟ่านคงกลับเข้าร่างแล้ว เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น พอลืมตาก็เจอเข้ากับใบหน้าของฉินหลิวซีที่อยู่ใกล้เพียงปลายจมูก ฟ่างคงก็รีบเอนหลังหลบด้วยความตกใจ
“ได้มาแล้วหรือ”
ฟ่านคงผายมือออก กระโหลกศีรษะสีขาวโพนราวกับหยกขาววางอยู่กลางฝ่ามือที่สะอาดหมดจดของเขา
กระโหลกศีรษะเป็นประกายแวววาว เปี่ยมไปด้วยมนต์สะกดขั้นสูง ฟ่านคงจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มท่องพระสูตรอีกครั้ง
อามิตตาพุทธ
เขารับรู้ได้ถึงจิตใจที่สั่นไหวของตนเอง
เฟิงซิวเองก็รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากำลังดึงดูดเขาอยู่ สิ่งนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก พลอยทำให้เขารู้สึกพร้อมที่จะจู่โจมทุกสถานการณ์ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ อยากจะเข้าไปแย่งชิงมาเป็นของตนเองให้จงได้
ฉินหลิวซีสัมผัสได้ถึงลมปราณที่กระสับกระส่ายไม่เป็นปกติของเฟิงซิว จึงเอื้อมมือไปแตะไหล่ของเขา
นอกจากนี้แล้ว พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้น ฉินหลิวซีหันกลับไปดู ก็เห็นสัตว์ป่านานาชนิดยืนเรียงรายในระยะสายตาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มีทั้งหมาป่าภูเขา เสือดาวหิมะ เสือโคร่งขาวสองตัวและงูหลามยักษ์ พวกมันต่างก็จ้องมองด้วยสายตาหิวกระหาย เตรียมพร้อมจะเข้ามาทุกเมื่อ
“ไสหัวไปซะ!” ฉินหลิวซีตะโกนไล่เสียงดังลั่น คลื่นเสียงที่ทรงพลังกระจายออกไปไกล
เสียงฝีเท้าวิ่งหนีดังสวบ
เหล่าบรรดาสัตว์ป่าต่างพากันวิ่งหนีเข้าป่ากระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง
ทรงพลังเป็นอย่างมาก ล่วงเกินไม่ได้เลย!
ฉินหลิวซีจึงค่อยหันมาหยิบกะโหลกศีรษะในมือของฟ่านคง จากนั้นก็นั่งขัดสมาด อันที่จริงแล้วการที่นางต้องการกะโหลกชิ้นนี้ ก็เพราะต้องการจะล่วงรู้ถึงเจตจำนงที่แท้จริงของซื่อหลัว เพราะการที่จะทำความเข้าใจคนคนหนึ่ง เราสามารถเริ่มสืบเสาะจากสิ่งของของเขา
ซื่อหลัวจับตัววั่งชวนไป ทำให้ฉินหลิวซีเกิดความรู้สึกโกรธแค้น รวมไปถึงความรู้สึกอันตรายที่คุกคามเข้ามา
นางไม่อยากทำสงครามที่ไม่ได้เตรียมตัว ดังนั้นถึงแม้นางจะรู้ดีว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของนาง แต่นางก็จะต้องทำความเข้าใจกับมันอยู่ดี
และนางก็ไม่เคยคิดเลย ว่ากระดูกพุทธะที่เขาเทียนซานซ่อนไว้ จะเป็นกะโหลกศีรษะ หนึ่งในชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุด
เมื่อได้สัมผัสกับกะโหลก นางก็รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลผ่านเข้ามาทางมือ ดุเดือดและป่าเถื่อน พุ่งพล่านไปทั่วทุกทิศ สิ่งนั้นก็คือเจตนารมณ์แห่งพุทธะ รวมไปความนึกคิดของเขา
ความดีความชั่วที่สุดขั้ว ทุกอย่างประดังเข้ามาประหนึ่งกระแสน้ำหลากก็ไม่ปาน
ฟ่านคงเห็นว่าหน้าผากของฉินหลิวซีเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับว่ากำลังต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่าง และในบางครั้งนางก็หน้านิ่วคิ้วขมวด
เขาอยากจะเอื้อมมือไปห้าม ทว่ากลับถูกเฟิงซิวทับหนักกว่าเดิม
“อย่าไปรบกวนนาง” เฟิงซิวเตือนเสียงขรึม
หากตอนนี้แม้แต่กระดูกชิ้นเดียวยังสู้ไม่ได้ ถึงเวลาเจอของจริง จะมีโอกาสชนะได้อย่างไรกัน
“อมิตาภพุทธ”
เวลาผ่านไปหนึ่งคืน
ฉินหลิวซีลืมตาขึ้น ประกายแสงสว่างปรากฏขึ้นบนดวงตาของนางก่อนจะดับไป เมื่อสังเกตดูดีๆ ก็เห็นว่าดวงตาคู่นั้นยังคงสงบและชัดเจนเช่นเคย
นางก้มหน้ามองดูกระดูกพุทธะในมือพลางเพ่งจิต ไฟนรกก็ลุกโชนขึ้นมา เพียงไม่นาน กระดูกพุทธะก็ถูกเผามอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านและสลายหายไป
การเดิมพันของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว!
“สารเลว กล้าดีอย่างไร!” ชายหนุ่มที่กำลังบำเพ็ญตบะกุมหัวใจที่กำลังบีบตัวไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำ เขาเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ตบเด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ จนกระเด็นออกไปไกล โดยที่ไม่สนว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร