คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 879 คำถามประโยคนี้ทำเอาอาตมาตอบไม่ถูกเลยทีเดียว
- Home
- คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 879 คำถามประโยคนี้ทำเอาอาตมาตอบไม่ถูกเลยทีเดียว
ตอนที่ 879 คำถามประโยคนี้ทำเอาอาตมาตอบไม่ถูกเลยทีเดียว…
…………….
ในอาณาจักรต้าเฟิงเหลือวัดโบราณที่อายุนับพันปีเพียงสามแห่งเท่านั้น หนึ่งในวัดทั้งสามตั้งอยู่บนยอดภูเขาเทียน เป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงอย่างมาก ตัววัดถูกก่อสร้างด้วยหิน สูงเสียดฟ้าเลยก็ว่าได้ ไม่มีห้องโถงมโหฬารใหญ่โต ไม่ได้ตกแต่งสวยหรู ไม่มีธูปเทียนที่งดงามละลานตา ทว่ามันยังคงตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นมานานนับพันปี
บนยอดหอของวัดโบราณมีระฆังขนาดเล็กใบหนึ่งแขวนอยู่ เวลาที่ลมพัดผ่าน เสียงระฆังก็จะก้องกังวานไปทั่ว
ที่หน้าวัด มีภิกษุสวมจีวรสีแดงเข้มรูปหนึ่งยืนอยู่ แขนข้างหนึ่งโผล่พ้นจากจีวร ในมือถือสร้อยประคำพุทธะ ค่อยๆ เลื่อนผ่านทีละลูกอย่างช้าๆ สายตาจับจ้องไปที่ฉินหลิวซีและเฟิงซิวที่กำลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“อมิตาภพุทธ เจ้าอาวาสน้อยเดินทางมาไกลนับพันลี้ อาตมาฟ่านคงไม่ได้ออกไปต้อนรับได้ทันท่วงที หากบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด โปรดให้อภัยด้วย” ภิกษุหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาไว้ที่อก พลางโค้งคำนับเบาๆ
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น ภิกษุหนุ่มดูอายุราวสิบหกปีเท่านั้น ใบหน้างดงามดั่งภาพวาด แววตาบริสุทธิ์หมดจด ไร้ซึ่งสิ่งสกปรกเจือปน เขายืนอยู่ตรงนั้น เบื้องหลังเป็นอารามโบราณ ราวกับว่ามีเพียงเขาและหนึ่งอารามเท่านั้น
“ท่านรู้จักข้าหรือ”
ฟ่านคงฉีกยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเมตตา พลางตอบกลับ “เคยได้ยินมาบ้าง”
ฉินหลิวซีไม่ได้ถามว่าเขาได้ยินจากไหน อาจฟังมาจากเฟิงซิว หรือได้ยินมาจากยมโลก อย่างไรเสีย ภิกษุที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ล้วนมีความสามารถไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
“เช่นนั้นท่านก็รู้แล้วว่าเหตุใดข้าถึงได้มาที่นี่” แววตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย
ฟ่านคงยิ้มตอบโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เขาเบี่ยงตัวเล็กน้อย เชื้อเชิญให้นางเข้าไปด้านใน จากนั้นก็หันไปพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้กับจิ้งจอกที่อยู่ข้างหลัง “เสี่ยวซิวก็มาด้วยหรือ”
เฟิงซิวสบถเสียงในลำคอด้วยความหยิ่งทะนง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนบ่าของฉินหลิวซี พลางหลุบตาจ้องมองฟ่านคงจากที่สูง ยิงฟันแยกเขี้ยวพร้อมกับขู่คำราม “อย่ามาเรียกข้าว่าเสี่ยวซิว กรุณาเรียกข้าว่าท่านเฟิง”
ภายนอกดูโอบอ้อมอารีมีเมตตา ทว่ากลับสามารถยืนดูตนตายไปต่อหน้าได้ ตอนนั้นที่เขาต้องการเลื่อนขั้นก็เพราะเหตุผลนี้ เขาเคยขอร้องวิงวอนฟ่านคงแทบตาย แต่เขากลับไม่ยอมยื่นมือช่วย เอาแต่บอกว่าตนไม่ใช่คนที่จะช่วยเขา และก็ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม
ต่อมาก็ได้พบกับฉินหลิวซี เขาถึงได้เลื่อนขั้นจนสามารถแปลงกายได้
ทว่าเฟิงซิวยังคงจำความแค้นนี้ได้ดี และรู้สึกได้จากก้นบึ้งหัวใจว่าภิกษุรูปนี้จงใจไม่ยอมสละขนนกให้เขา
ถุย เสแสร้งเมตตากรุณา!
ฟ่านคงไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด เขายังคงอมยิ้มอยู่อย่างนั้น สายตาที่ใช้จ้องมองเฟิงซิวแฝงไปด้วยความเอ็นดู เมตตา และโอบอ้อมอารี
เฟิงซิวเห็นแล้วก็สะดุ้งตัวโหยง รีบหันหลังให้กับฟ่านคง กำลังคิดจะผายลมใส่เขา ทว่ากลับถูกฉินหลิวซีปัดตกพื้นไปก่อน จนเปื้อนหิมะไปทั้งตัว
จี๊ดๆ…
เฟิงซิวโมโหเป็นอย่างมาก
เจ้าคนใจดำ สรุปแล้วนางเป็นพวกใครกันแน่
ฟ่านคงพาฉินหลิวซีเดินเข้าไปในวัดโบราณ วัดโบราณแห่งนี้มีเพียงห้องโถงห้องเดียวเท่านั้น ที่กลางห้องโถงมีพระพุทธรูปยูไลตั้งอยู่ พระพุทธรูปท่วมท้นไปด้วยความเมตตา นิ่งสงบและน่าสักการบูชา รอบๆ พระพุทธรูปมีแสงสีทองอ่อนๆ รายล้อมอยู่ตลอดเวลา
เป็นครั้งแรกที่ฉินหลิวซีสำรวม ที่นี่คือวัดโบราณที่แท้จริง พระพุทธรูปที่สักการบูชาก็เป็นพระพุทธรูปจริง
หลังจากที่เดินตามฟ่านคงมาถึงหลังห้องโถง ที่นั่นมีกระท่อมหลังเล็กตั้งอยู่ หน้ากระท่อมมีโต๊ะที่ทำมาจากหิน ที่พื้นมีเบาะนั่งทรงกลมสองที่นั่ง บนโต๊ะมีถ้วยน้ำชาที่ยังมีไอร้อนสามถ้วย
ฝีมือไม่ธรรมดา ในสถานที่แบบนี้ยังสามารถทำให้มีไอร้อนได้
ฟ่านคงเชิญทั้งสองนั่ง
ฉินหลิวซียกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ เป็นชาขมที่แสนธรรมดา ทว่าน้ำที่ใช้ชงชาเป็นน้ำที่ละลายมาจากหิมะของเทือกเขาเทียน รสชาติหวานติดปลายลิ้นจึงชัดเจนกว่าปกติ พลอยทำให้ผู้ที่ดื่มรู้สึกจิตใจสงบอย่างบอกไม่ถูก
“เทือกเขาเทียนอากาศหนาวเหน็บ ไม่ครึกครื้นเช่นภายนอก ไม่มีชาดีๆ มาต้อนรับ เจ้าอาวาสน้อยดื่มถนัดหรือไม่” ฟ่านคงถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“สามารถดับกระหายได้ ล้วนแล้วแต่เป็นชาดีทั้งสิ้น ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ไต้ซือเอ่ยขนาดนั้น” ฉินหลิวซีพูดขึ้น
ฟ่านคงเอ่ย “ชีวิตคนเราไม่แน่นอน มีขึ้นมีลง วันนี้ได้ดื่มน้ำชากาเดียวกันกับเจ้าอาวาสน้อย แสดงว่าเป็นลิขิตสวรรค์ ชาและการบำเพ็ญภาวนาสามารถปลอบประโลมจิตใจได้ มิทราบว่าเวลานี้จิตใจของเจ้าอาวาสน้อยสะอาดบริสุทธิ์แล้วหรือไม่”
เฟิงซิวนั่งฟัง ดื่มชารสชาติขมปี๋แค่ถ้วยเดียว ก็ยังสามารถโยงไปถึงเรื่องการบำเพ็ญภาวนาได้ เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดถึงคำสวดในคัมภีร์อยู่มิใช่หรือ
ภิกษุรูปนี้ชอบทำตัวประหนึ่งว่ามีความรู้อันสูงส่งและล้ำลึกอย่างไรอย่างนั้น
“จิตใจสะอาดแล้วอย่างไร ไม่สะอาดแล้วอย่างไร” ฉินหลิวซีจ้องมองเขาพลางถามขึ้น “จะถามถึงเรื่องอาณาจักรมายา สู้ไต้ซือถามข้าดีกว่าว่ากระหายหรือไม่ หิวหรือไม่ จากนั้นเราค่อยมาพูดคุยถึงเรื่องที่มีประโยชน์”
ฟ่านคงยิ้มกว้าง “เจ้าอาวาสน้อยนิสัยตรงไปตรงมาเสียจริง”
“ข้ามีนิสัยโมโหร้ายโดยกำเนิด ไม่เหมือนไต้ซือที่ฝึกฝนบำเพ็ญตน ปลูกฝังความเป็นพุทธะทั้งภายนอกและภายใน”
ฟ่านคงจ้องมองนาง นิสัยโมโหร้าย นิสัยที่แท้จริงของนางก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ฉินหลิวซียกน้ำชาขึ้นมาดื่มจนหมดถ้วย พลางเอ่ย “ชาก็ดื่มแล้ว เรามาเข้าเรื่องกันเถิด”
ฟ่านคง “…”
เขารู้สึกต่อต้านขึ้นมาทันที
“วัดแห่งนี้ซ่อนกระดูกพุทธะไว้…”
“ไม่ได้!” ฟ่านคงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
เฟิงซิวหันมามองเขาด้วยท่าทีที่เกียจคร้าน เพื่อที่จะดูละครได้ถนัดมากขึ้น มาแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะปลอมตัวเป็นภิกษุผู้สูงส่งและประเสริฐด้วยธรรมะอันขอบเขต ทูนหัวของข้าก็จะกระชากเจ้าลงมาให้จงได้
ฉินหลิวซีเหลือบมองฟ่านคง พลางเอ่ย “ท่านรู้หรือว่าข้าจะพูดอะไร”
“ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ได้ทั้งนั้น”
“อืม แล้วถ้าข้าไม่ยอมล่ะ”
ฟ่านคงส่ายหน้า “ไม่ได้เด็ดขาด”
“เมื่อครู่ท่านพึ่งพูดไปหยกๆ ว่าเป็นลิขิตสวรรค์” ฉินหลิวซีแตะถ้วยน้ำชาเบาๆ “เหตุใดตอนนี้ถึงบอกว่าไม่ได้เล่า”
“เพราะน้ำชาหมดถ้วยแล้ว” ดังนั้นมาจากไหนก็กลับไปทางนั้น จะเอากระดูกพุทธะไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“อมิตาภพุทธ” ฟ่านคงพนมมือทั้งสอง จากนั้นจึงเอ่ยต่อไปว่า “เจ้าอาวาสน้อย กระดูกพุทธะถูกสะกดมานานนับพันปี หากนำออกมา ใต้หล้าก็จะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย โปรดยกโทษให้กับฟ่านคงด้วยที่ไม่สามารถรับปากเจ้าอาวาสน้อย”
ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “ก็เพราะใต้หล้าจะเกิดความโกลาหล จึงจำเป็นต้องทำลายมันทิ้ง หากท่านไม่ให้ข้าตอนนี้ สักวันมารเอ้อฝูซื่อหลัวจะมาเอามันไป จากนั้นก็จะหล่อหลอมให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงเวลานั้น ใต้หล้าก็จะเกิดความโกลาหลอย่างแท้จริง”
ฟ่านคงจ้องมองนางด้วยแววตาที่ใสซื่อ “ลัทธิเต๋าจารึกไว้ เส้นทางแห่งสวรรค์และโลกมีมากมายนับห้าสิบ วิถีเปลี่ยนแปลงโชคชะตามีสี่สิบเก้า ทุกวิกฤตมีทางออกเสมอ เขาไม่มีทางสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะสวรรค์มองดูอยู่”
ฉินหลิวซีสบถเสียงหัวเราะ “แล้วหากสวรรค์ไม่มีตาล่ะ?!”
ฟ่านคงขมวดคิ้วแน่น
คำถามประโยคนี้ทำเอาอาตมาตอบไม่ถูกเลยทีเดียว!
“ข้าจะบอกอะไรให้ กระดูกพุทธะทั้งเก้าชิ้น เขาได้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง และส่วนที่เหลือ เขาจะต้องมาเอาไปอย่างแน่นอน เพราะนี่คือร่างเดิมของเขา” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “ท่านบอกว่าทุกวิกฤตมีทางออกเสมอ แต่ใครจะไปรู้ว่าพลังจะได้รับการส่งเสริมโดยไม่ตั้งใจหรือเปล่า เช่นเดียวกับกระดูกพุทธะ หากเขาได้ไปไม่ครบ ก็จะไม่สามารถฟื้นฟูพลังสูงสุดที่แท้จริงได้ นี่ก็เป็นวิกฤตเช่นกัน ไต้ซือ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีโชคชะตาและผลประโยชน์ของมันเสมอ เพราะฉะนั้นการมาของข้าก็คือโชคชะตา เช่นเดียวกันกับท่านที่เป็นโชคชะตาเหมือนกัน”
“แต่นี่คือสมบัติอันล้ำค่าแห่งพุทธศาสนา”
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “สิ่งที่ทำร้ายคนอื่นไปทั่วคือสมบัติอันล้ำค่าแห่งพุทธศาสนา? ไต้ซือ ท่านล้อข้าเล่นหรือ”
ฟ่านคงส่ายหน้าเบาๆ “บาปของซื่อหลัวร้ายแรงอย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมาก ก็คือเขาเข้าใจในเส้นทางแห่งพระพุทธเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง กระดูกพุทธะและพระธาตุที่หลงเหลืออยู่ท่วมท้นไปด้วยพลังแห่งพุทธะ แม้เวลาจะผ่านไปหลายพันปี ก็ยังคงเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่พุทธศาสนาจะเก็บรักษาไว้และสืบทอดกันต่อๆ ไป”
เฟิงซิวหลุดขำ “พูดมาเช่นนี้ ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าของพวกเจ้าสองมาตรฐานสินะ ด้านหนึ่งบอกว่าพระธาตุของคนผู้นั้นเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่ง อีกด้านก็คอยตะโกนสั่งให้เข่นฆ่าคนผู้นั้นไปด้วย นี่ไม่เป็นการรวบผลประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งร่องหรอกหรือ มิน่าเล่าถึงได้มีพุทธมารเช่นนี้เกิดขึ้น ยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเองแท้ๆ”
ฟ่านคงขมวดคิ้ว “จิ้งจอกน้อย อยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้า อย่าพูดจาเหลวไหล!”
เฟิงซิวเบะปาก
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “ไต้ซือ จะได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่าน สู้ลองถามพระพุทธเจ้าของท่านดีหรือไม่”