คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 878 เจ้าคนวิปริตไม่มีหัวใจ
ตอนที่ 878 เจ้าคนวิปริตไม่มีหัวใจ
…………….
วั่งชวนหายตัวไป ถึงแม้ว่าฉินหลิวซีที่เป็นอาจารย์จะบอกแล้วว่าไม่ต้องตามหา ทว่าผู้คนในอารามให้ความสำคัญกับเด็กน้อยเป็นอย่างมาก ต่างก็เตรียมภาพวาดของเด็กน้อยคนละภาพ หากมีผู้แสวงบุญมาเยือน ก็จะช่วยกันซักถามว่าเคยเห็นหรือไม่
ส่วนฉินหลิวซีที่บอกว่าจะไม่ตามหา แต่ไม่ว่าจะเป็นฉีหวงหรือเถิงเจา ต่างก็เคยเห็นนางคอยทำนายอยู่หลายต่อหลายครั้ง และมักจะออกไปข้างนอกกลางดึกบ่อยๆ ตอนที่กลับมา เปลือกตาบวมช้ำ สีหน้าเหนื่อยล้า ร่างกายผ่ายผอมไปหมด
ช่วงนี้ เพราะเรื่องวั่งชวนหายตัวไป บรรยากาศของตระกูลฉินค่อนข้างอึมครึมเป็นอย่างมาก ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวายกับฉินหลิวซีแม้แต่คนเดียว โชคดีที่คนของบ้านรองและบ้านสามกลับเมืองหลวงไปแล้ว ไม่มีคนคอยมาแสดงความมีตัวตนสร้างความน่ารำคาญ
ตอนนี้เป็นวันที่สามเดือนสาม วันเทศกาลหญิงสาว ฉินหลิวซียังคงกลับมาจากการตากน้ำค้างข้างนอกเช่นเคย ก่อนจะเผอิญเหลือบไปเห็นว่าเรือนด้านข้างที่วั่งชวนเคยอาศัยมีไฟจุดอยู่ จึงเดินเข้าไปดูตามความคุ้นชิน กลับเห็นฉีหวงถือเครื่องประดับรูปดอกไม้ยืนเหม่อลอยอยู่ข้างใน
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้วหรือ” ฉีหวงปาดน้ำตา พลางวางเครื่องประดับรูปดอกไม้ลง แล้วฝืนยิ้มขึ้น
“อืม” ฉินหลิวซีเดินเข้าไปด้านใน พลางก้มมองเครื่องประดับรูปดอกไม้ จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองสมุดคัดอักษรที่วางอยู่บนโต๊ะ นางเอื้อมมือหยิบขึ้นมาเปิดดู ก็นึกถึงภาพเด็กน้อยที่กำลังยู่ปากพลางตวัดข้อมือวาดยันต์ อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มขึ้น
หากเทียบกับเถิงเจาแล้ว พรสวรรค์ของวั่งชวนด้อยกว่าค่อนข้างมาก ทว่านางก็ยอมฝึกฝนและเรียนรู้ เริ่มตั้งแต่นั่งไม่ติดเก้าอี้จนค่อยๆ ตั้งสมาธิวาดยันต์แคล้วคลาดได้สำเร็จ ถือว่านางเองก็ลงแรงกายแรงใจไม่น้อย
เด็กที่มีพรสวรรค์ไม่มาก หากอยากจะร่ำเรียนจนประสบผลสำเร็จ ก็จะต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจมากกว่าคนอื่น ลำบากมากกว่าคนอื่น
ฉินหลิวซีเปิดดูไปสามเล่ม จากนั้นก็นำสมุดทั้งหมดมาจัดเรียงให้เรียบร้อย พลางเอ่ยขึ้นว่า “เดี๋ยวเจ้าไปหาหีบมาสักใบ เก็บข้าวของของนางใส่ลงหีบให้หมด”
ฉีหวงรีบถามขึ้นด้วยความตกใจ “หาไม่เจอแล้วหรือ”
“อืม แต่มั่นใจได้ว่านางตกอยู่ในเงื้อมมือของใครบางคน” ฉินหลิวซีหลุบตาลงต่ำ ขนตาที่ยาวเหยียดปกปิดนัยน์ตาที่เย็นยะเยือกของนาง จากนั้นจึงเอ่ยต่อไปว่า “ข้าจะกักตัวบำเพ็ญสักระยะ หลังจากออกมาแล้ว ข้าจะทำการปรุงยา ช่วงระยะเวลานี้ไม่ต้องตามหาข้า”
ฉีหวงรีบรับคำทันที
ฉินหลิวซีเดินออกจากห้องมา ก็เห็นว่าเถิงเจายืนอยู่ที่หน้าห้องของนาง จึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์จะเข้ากักตัวบำเพ็ญสักระยะ ช่วงนี้ เจ้าไปร่วมบำเพ็ญกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อารามก็แล้วกัน”
“ขอรับ”
“ไปนอนได้แล้ว เจ้ายังเป็นเด็ก อย่าหักโหมจนเสียสุขภาพ” ฉินหลิวซีโบกมือเบาๆ
เถิงเจาประสานมือทำความเคารพ จากนั้นก็หมุนตัวกลับห้องไป
ฉินหลิวซีกวาดสายตามองดูรอบๆ อีกครั้ง ปีศาจโสมน้อยหลบไม่ทัน จึงต้องเดินออกมาด้วยความจำใจ พลางเอ่ย “ให้ข้าลองเข้าไปที่ป่าลึกดูหรือไม่ จะได้ถามปีศาจพืชเหล่านั้นดูว่าเคยเห็นวั่งชวนหรือเปล่า”
“ไม่ต้อง ที่ที่ควรตามหาข้าหามาหมดแล้ว ที่ยังไม่เจอ เพราะยังไม่ถึงเวลา” ฉินหลิวซีส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ย “เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดไป บำเพ็ญตนเฉกเช่นที่ผ่านมาก็พอ โลกใบนี้ใช่ว่าขาดคนใดคนหนึ่งแล้วจะไปต่อไม่ได้ ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป”
ปีศาจโสมน้อยเอ่ยพึมพำ “หากท่านไม่แสร้งแสดงท่าทีว่าอย่ามากวนข้าอะไรทำนองนี้ ข้าคงจะเชื่อคำพูดนี้ไปนานแล้ว”
“หืม?”
“ไม่มีอะไร”
ฉินหลิวซีเหลือบมองปีศาจโสมด้วยแววตาที่เย็นชา ไม่มีอะไรอย่างนั้นรึ แสดงว่ารากมันคัน ต้องเด็ดทิ้ง!
ปีศาจโสมน้อยหัวไวเป็นอย่างมาก เมื่อสัมผัสได้ถึงวิกฤตอันตรายก็รีบเก็บรากโสมตั้งตัวตรง รีบหนีไปในทันที
ฉินหลิวซีหลุดขำออกมาเบาๆ จากนั้นก็เก็บข้าวของสัมภาระ ออกเดินทางไปยังสถานที่ที่หนาวเหน็บ ที่นั่นเป็นที่ที่นางได้รู้จักกับเฟิงซิวเป็นครั้งแรก
เฟิงซิวอยู่ที่นั่นแล้ว พอเห็นนางมาถึงจึงเอ่ย “ปีศาจที่ควรซักถาม ข้าถามมาหมดแล้ว พวกหวงเซียนก็จะช่วยจับตาดูอีกแรง ท่านหยุดตามหาได้แล้ว”
“อืม ข้าไม่ตามหาแล้ว” ฉินหลิวซีถลกแขนเสื้อพลางเอ่ย “ปีศาจเฒ่าตั้งใจจับตัวนางไป ย่อมไม่มีทางให้ข้าหาเจออยู่แล้ว นี่เป็นการเตือนข้า และก็เป็นการลงโทษข้าด้วยเช่นกัน”
รวมไปถึงเป็นการแก้แค้นด้วย
แก้แค้นที่นางไปทำลายอารามอันเป็นที่เลื่อมใสและศรัทธาของผู้คนรวมไปถึงผู้รับใช้หลายอาราม ดังนั้นเขาจึงมา และจับตัววั่งชวนไป
“อย่าคิดมากเกินไป เดิมทีก็เป็นชะตากรรมของนางอยู่แล้ว” เฟิงซิวตบไหล่นางเบาๆ
ฉินหลิวซีฉีกยิ้ม “อืม เรามาสู้กันสักตั้งดีหรือไม่”
เฟิงซิว “?”
ให้ตายเถอะ นางทำเกินไปแล้ว เขาอุตส่าห์ปลอบใจนาง แต่นางกลับจะทุบตีเขาแทนกระสอบทรายอย่างนั้นรึ?
แต่ปฏิเสธแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่?
คำตอบคือไม่เลย!
เพราะท่าไม้ตายของฉินหลิวซีมาแล้ว ท่าไม้ตายที่แท้จริง เฟิงซิวขนลุกซู่ไปทั้งตัว รีบตั้งรับการโจมตีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
บนภูเขาเทียน คลื่นอากาศทะยานขึ้นสูงเป็นชั้นๆ เกล็ดหิมะล่องลอยฟุ้งกระจาย
สัตว์ขนาดเล็กที่เผอิญผ่านมาต่างรีบพากันหลีกทาง แล้วพากันไปหลบอยู่ในกองหิมะ ดูการต่อสู้ที่ดุเดือดด้วยความสั่นเทา ไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะกลัวจะโดนลูกหลงเข้า
เริ่มจากตอนแรกที่แค่ดูการต่อสู้เฉยๆ หลังๆ ก็เริ่มรู้สึกชินชาในเวลาต่อมา เสือดาวหิมะและงูหิมะต่างก็พากันดูการต่อสู้ตาไม่กะพริบ
สองตัวนั่น ช่างแรงเยอะเสียจริง สู้กันมาหนึ่งวันหนึ่งคืนถ้วน นี่มันสงครามต่อสู้สามร้อยรอบรึอย่างไรกัน คงไม่พอหรอกกระมัง อย่างน้อยๆ ก็หลักพันรอบเห็นจะได้ แรงเยอะจริงๆ!
“ไม่ไหว ข้าหมดแรงแล้ว ท่านสู้เองก็แล้วกัน ข้าจะขาดใจตายอยู่รอมร่อแล้ว” เฟิงซิว ทิ้งตัวลงไปกองกับพื้น นอนอ้าแขนอ้าขาหมดแรง พลางหายใจหอบด้วยความเหนื่อยล้า ราวกับว่าเขาถูกบดขยี้นับครั้งไม่ถ้วนตลอดการต่อสู้ก็ไม่ปาน
เขาหมดแรงสู้ต่อแล้วจริงๆ หากยังฝืนสู้ต่อ ไม่ว่าจะเป็นกายหยาบหรือดวงจิต มีแต่จะแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
ฉินหลิวซีเองก็ทิ้งตัวนอนลงข้างๆ พลางหายใจหอบ แม้ว่าจะเหนื่อยจนไม่อยากกระดิกนิ้ว ทว่าก็รู้สึกโล่งและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งที่พวกเขามองเห็น ยังคงเป็นยอดภูเขาเทียนเฉกเช่นเดิม ยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี เวลานี้พระอาทิตย์กำลังอัสดง แสงสีทองอร่ามค่อยๆ สาดส่องกระทบไปยังยอดเขาที่ถูกทับถมด้วยเกล็ดหิมะ เกิดเป็นประกายแสงเจิดจ้าไปทั่ว
แสงแดดสาดส่องเทือกเขาสีทอง งดงามต้องตาต้องใจเป็นอย่างมาก
“งดงามจริงๆ” เฟิงซิวฉีกยิ้ม พลางเอื้อมมือไปสัมผัสแสงสีทอง ประหนึ่งว่าจะกำแสงเหล่านี้ไว้ในมืออย่างไรอย่างนั้น
ฉินหลิวซีประสานมือหนุนท้ายทอย จ้องมองภาพบรรยากาศเบื้องหน้าด้วยความตั้งใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ นางก็ดีดตัวลอยขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ หย่อนปลายเท้าลงบนปุยหิมะ นั่งลงขัดสมาธิ จีบมือเป็นสัญลักษณ์ วางลงบนหน้าขาทั้งสอง จากนั้นก็เข้าฌานทำสมาธิ
เฟิงซิวชะงักไปครู่หนึ่ง พลางส่ายหน้าเบาๆ เขายังคงนอนต่อ แสงแดดสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ สาดกระทบทั่วทั้งเทือกเขา รวมไปถึงร่างกายของฉินหลิวซี ราวกับถูกเชื่อมจนเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
หนึ่งเดือนผ่านไป
เฟิงซิวค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาจับจ้องไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตาไม่กะพริบ นางนั่งสงบนิ่งประดุจภูผา ทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ราวกับประติมากรรมน้ำแข็งก็ไม่ปาน
ฉินหลิวซีเองก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อความคิดถูกสั่งการ หิมะที่ปกคลุมบนตัวนางก็ละลายหายไป และหลังจากที่นางลุกขึ้น เสื้อผ้าบนร่างกายก็ค่อยๆ แห้งจนหมด ฉินหลิวซีฉีกยิ้มที่มุมปากด้วยความพึงพอใจ
เฟิงซิวรู้สึกว่านางน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน การบำเพ็ญของเจ้าคนวิปริตคนนี้ก็ได้ก้าวกระโดดขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น นางตั้งใจจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับสหายร่วมลัทธิหมดทั้งใต้หล้านี้เลยหรืออย่างไรกัน
“ไปกันเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว แวะไปที่วัดโบราณเสียหน่อยดีกว่า”
เฟิงซิวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เขาหันไปมองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ไปหาภิกษุบ้านั่นหรือ ไม่ดีกว่ากระมัง ไปแล้วมีแต่จะต้องนั่งฟังคำสอนคำพร่ำบ่น น่ารำคาญจะแย่”
“ฟังดูแล้ว ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมือนพูดจาประชดเสียมากกว่า” ฉินหลิวซีจ้องมองเขาพลางแสยะยิ้ม
เฟิงซิวชี้นิ้วไปที่ตนเอง “ข้าหรือจะประชดเขา? ถุย ข้าก็แค่รำคาญที่เขาเอาแต่พูดว่าธาตุดินน้ำลมไฟล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่าทั้งวันทั้งคืนต่างหาก”
“ไปกันเถอะ”
เฟิงซิวเห็นว่านางไม่โต้เถียงเขาเลยแม้แต่คำเดียว ก็กระทืบเท้าด้วยความฉุนเฉียว เจ้าคนนี้นี่ นางไม่มีหัวใจหรืออย่างไรกัน แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ทำได้เพียงตามใจนางต่อไปเช่นเคย
“รอข้าด้วย!” เขากลิ้งไปกับพื้น แปลงกายกลับเป็นร่างเดิมแล้วรีบตามนางไปทันที