คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 877 ผังทำนายว่างเปล่า ค้นหาไม่เจอ
ตอนที่ 877 ผังทำนายว่างเปล่า ค้นหาไม่เจอ
เวลานี้ที่อารามชิงผิงโกลาหลวุ่นวายไปหมด ทุกคนต่างก็กำลังช่วยกันตามหาวั่งชวน แม้แต่เขาหลังอารามก็ส่งคนเข้าไปตามหา ทว่ากลับไม่เห็นแม้กระทั่งเงาคน
“ไม่มีเลย ผังทำนายว่างเปล่า” ชิงหย่วนจ้องมองผังทำนายของตนเองด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด เขาทำนายไปแล้วสองครั้ง ทว่ากลับไม่มีวี่แววของเด็กผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่มีร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับว่าไม่เคยมีคนคนนี้อย่างไรอย่างนั้น
“รีบแจ้งเจ้าอาวาสน้อยดีกว่า” นักพรตอาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงทุ้ม “ขนาดทำนายแล้วยังหาไม่เจอ แสดงว่าคนที่ลักพาตัวไม่ใช่โจรทั่วไปแล้ว เกรงว่าคงจะเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
หากเป็นโจรทั่วไป เป็นไปไม่ได้ที่จะทำนายไม่เจอแม้แต่ร่องรอย แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถทำนายได้เลย เห็นได้ชัดว่าคนที่จับตัวนางไปไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป แถมยังเป็นคนที่พวกเขาไม่สามารถต่อกรได้เสียด้วยซ้ำ
ร่างกายของเด็กวั่งชวนคนนั้นค่อนข้างซับซ้อน หากพวกนักพรตชั่วเป็นคนจับตัวไป ไม่กล้านึกถึงผลที่จะตามมาเลย
“ถูกต้อง ควรรีบแจ้งเรื่องนี้กับเจ้าอาวาสน้อย” พวกชิงหย่วนเอ่ยขึ้นหลังจากตั้งสติได้ เขาหยิบกระดาษเหลืองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา จากนั้นก็เริ่มตวัดมือวาดยันต์
วั่งชวนเป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสน้อย เป็นที่รักใคร่ของอารามชิงผิง ทว่าตอนนี้กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นใครก็ต้องร้อนใจเป็นธรรมดา
“ไม่ต้อง ข้ากลับมาแล้ว”
ชิงหย่วนชะงักไปเล็กน้อย พลางหันไปมองความว่างเปล่า ทว่าจู่ๆ กลับเห็นฉินหลิวซีและเถิงเจาปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน กรอบตาของเขาร้อนฉ่าขึ้นมาทันที พลางดีดตัวลุกขึ้น แต่ด้วยความที่เขาพึ่งทำนายไป ใช้พลังจิตไปค่อนข้างเยอะ ร่างกายจึงไม่ค่อยมั่นคง เกือบล้มลงไปกองกับพื้น โชคดีที่นักพรตอาวุโสเข้ามาช่วยประคองไว้ก่อน
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย วั่งชวนนาง…”
ฉินหลิวซีพยักหน้าเบาๆ “ข้ารู้แล้ว สถานที่ที่นางปรากฏตัวครั้งสุดท้ายคือที่ไหน”
“อู๋เหวยบอกว่าเห็นนางเดินไปที่ประตูทางเขาหลังอาราม แต่บนเขาไม่มีใครเลยขอรับ”
ฉินหลิวซีให้เถิงเจาเอาข้าวของที่นำกลับมาไปเก็บให้เรียบร้อย ส่วนนางจะไปดูที่เขาหลังอาราม มือทั้งสองทำสัญลักษณ์อาคม เดินตามกลิ่นอายที่ยังพอหลงเหลือของเด็กน้อย จนมาถึงหน้าแท่นหินแห่งลัทธิเต๋า นางจึงค่อยลืมตาขึ้น หยิบเอากระจกดูดวิญญาณเฉียนคุนออกมา ก็เห็นว่ากระจกสั่นไม่หยุด
ทว่าทันใดนั้นเอง กระจกก็กลับมาสงบอีกครั้ง
และกลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคย ก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง
ฉินหลิวซีจ้องมองบานกระจกด้วยสีหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งก็ไม่ปาน จากนั้นก็หันไปมองแท่นหินแห่งลัทธิเต๋า
ซื่อหลัวเคยมาที่นี่
หยวนอิงที่อยู่ในขวดวิญญาณรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัว หนาวเหน็บกว่าการเป็นวิญญาณมาพันปีเสียด้วยซ้ำ นางรู้สึกทนต่อไม่ไหวแล้ว จึงออกมาจากขวดวิญญาณ ไปยืนอยู่ค่อนข้างไกล
ฉินหลิวซีในเวลานี้ เยือกเย็นกว่าตอนที่นางเผาดวงวิญญาณเป็นพันเท่าหมื่นเท่า บรรยากาศในตอนนี้ ประหนึ่งว่าสามารถแช่แข็งหุบเขาทั้งลูกเลยก็ว่าได้
หยวนอิงนั่งยองๆ มองดูฉินหลิวซีอยู่ห่างๆ รู้สึกตัวลีบเล็กน่าสงสารไร้ที่พึ่งไปหมด
ส่วนฉินหลิวซี นางเอื้อมมือทาบลงบนแท่นหิน สัมผัสอะไรบางอย่างพลางหรี่ตาลง
ไม่ได้เอากระดูกพุทธะไปด้วย เขาไม่เห็น หรือจงใจไม่เอาไป หรือว่าเขาตั้งใจจะท้าทายนาง?
ไม่นำกระดูกพุทธะไปด้วย แต่กลับจับตัววั่งชวนของนางไป
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ดวงตาของฉินหลิวซีก็มีดวงไฟปรากฏขึ้น ดวงไฟลุกโชน ราวกับดอกบัวสีแดงก็ไม่ปาน
นางนั่งลงขัดสมาธิ จากนั้นก็ดึงหญ้าขึ้นมาหนึ่งกำ มือทั้งสองทำสัญลักษณ์อาคม เริ่มทำการทำนาย
การทำนายด้วยอาคมต้าเหยี่ยน สิ้นเปลืองพลังงานจิตเป็นอย่างมาก
ตอนที่ยันต์ผนึกของนางถูกทำลาย นางก็ได้รับอาคมสะท้อนกลับมาพอสมควร ตอนนี้ยังจะทำนายด้วยอาคมต้าเหยี่ยนอีก ใบหน้าที่เดิมทีก็ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดเผือดเข้าไปใหญ่
ทั้งๆ ที่เป็นหน้าหนาวของฤดูใบไม้ผลิในเดือนสอง ทว่าในระหว่างการทำนาย หน้าผากของนางกลับเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ
พอการทำนายครั้งที่หนึ่งไม่สำเร็จ นางก็ทำนายครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งที่ห้า…
พรวด…
ฉินหลิวซีพ่นเลือดออกมากระอักใหญ่ รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว
ว่างเปล่า ผังทำนายว่างเปล่าไปหมด
ประหนึ่งว่าวั่งชวนหายตัวไปกลางอากาศ ไม่มีวี่แววและร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น
ท้ายที่สุดแล้ว เป็นเพียงโชคชะตาที่ตื้นเขินอย่างนั้นหรือ!
ฉินหลิวซีค่อยๆ ก้มหน้าลง
หยวนอิงที่คอยมองดูอยู่ห่างๆ นั่งกอดเข่าตัวกลม รู้สึกจุกอกอย่างบอกไม่ถูก ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยคืนรอยยิ้มให้กับเทพาจารย์น้อยของนางที นางหดหู่และหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ มันช่างน่ากลัวและน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก
“นางหนู”
หยวนอิงได้ยินเสียงเรียกดังขึ้น จึงหันไปดู ก็เห็นว่ามีชายชราคนหนึ่งเดินขึ้นมา ชายชราเหลือบมองหยวนอิงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ละสายตาไป
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน นางหันไปมองนักพรตเฒ่าชื่อหยวนพลางขมวดคิ้วแน่น “ท่านมาได้อย่างไร”
“หากไม่กลับมา เจ้าไม่ทำนายจนเป็นลมหมดสติไปแล้วหรือ” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถอนลมหายใจออกมาเบาๆ “นางหนู โชควาสนาก็คือโชควาสนา จะเป็นเคราะห์ไปไม่ได้ ครั้นถึงคราวเคราะห์ จะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น ทุกอย่างล้วนเป็นลิขิตสวรรค์ ท้ายที่สุดวิกฤตนี้ก็จะเกิดขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้”
ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบอะไร
“หากรู้สึกเคียดแค้นมิอาจปล่อยวาง ก็จงนึกถึงคำพูดที่เจ้าเคยพูดไว้” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางหันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นของลูกศิษย์
ฉินหลิวซีตอบกลับเสียงต่ำ “ข้ารู้ เพียงแต่…”
นั่นก็เป็นลูกศิษย์ของนาง เด็กน้อยที่เลี้ยงดูมาร่วมสองปี จะให้นางนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อย่างไรกัน!
“ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว สักวันหนึ่ง พวกเจ้าศิษย์อาจารย์จะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเดินเข้าไปหานาง พลางเอ่ยต่อไปว่า “กลับไปเถิด อย่าทำลายพลังจิตต่อไปเลย มารเอ้อฝูเคยมาที่นี่ ทำลายยันต์ผนึกของเจ้าจนหมดสิ้น เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขาแกร่งแค่ไหน และยากต่อการรับมือเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ เขาและเรา รวมถึงใต้หล้านี้ จะมีการต่อสู้ที่ดุเดือดในที่สุด”
ฉินหลิวซีเม้มปากพลางจ้องมองแท่นหินตรงเบื้องหน้า “เขาไม่ได้เอาสิ่งนั้นไป”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหันไปมองตาม จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็แสดงว่า เขากำลังรอ รอเวลาที่เหมาะเจาะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา!”
ความเยือกเย็นปรากฏขึ้นบนดวงตาของฉินหลิวซี
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเห็นสีหน้าของนางแล้ว ก็อ้าปากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้บอกผลทำนายที่เขาพึ่งทำนายเมื่อไม่นานมานี้ออกไป หากพูดออกมา มีแต่จะทำให้นางไม่สบายใจหนักกว่าเดิมกระมัง
สองอาจารย์ศิษย์พากันเดินลงเขาอย่างเงียบๆ เมื่อกลับไปถึงอาราม ก็เห็นว่าทุกคนต่างกำลังรอนางอย่างพร้อมเพรียง
เถิงเจาร้องไห้ไปแล้วรอบหนึ่ง เวลานี้เขากำลังเม้มปากพลางจ้องมองฉินหลิวซีด้วยแววตาที่คาดหวัง
ฉินหลิวซีกล่าวกับทุกคนในอาราม “ไม่ต้องตามหาอีก ควรจะทำอะไรก็ไปทำ ควรบำเพ็ญก็ไปบำเพ็ญเสีย ยึดมั่นในจิตแห่งเต๋า”
ทุกคนต่างก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันใด ทว่ากลับไม่มีใครโต้แย้งแม้แต่คนเดียว
แม้แต่ท่านเจ้าอาวาสก็ยังไม่โต้แย้งคำพูดของนาง แสดงว่าคงจะตามหาไม่เจอแล้วจริงๆ เด็กคนนั้นไม่มีชีวิตแล้วหรือ
“เป็นความผิดของข้า ความผิดของข้าคนเดียว” ชิงหย่วนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด นางยังเด็ก ไม่ควรลดความระมัดระวังเพียงเพราะอยู่ในอาณาเขตของตนเอง
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในอาราม เถิงเจารีบเดินตามนางไป
“ท่านอาจารย์ วั่งชวนหายไปแล้วจริงๆ หรือขอรับ”
ฉินหลิวซีหมุนตัวกลับมาจ้องมองเขาพลางถามขึ้น “หากมีวันหนึ่ง เจ้าได้เจอกับนางอีกครั้ง ทว่าพวกเจ้าต่างก็อยู่ในจุดยืนที่เป็นปรปักษ์ต่อกัน เจ้าจะทำอย่างไร”
เถิงเจาสีหน้าขาวซีด
“แล้วท่านอาจารย์จะทำอย่างไร” เขาถามกลับ
ฉินหลิวซีตอบกลับด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “ตอนที่ข้ารับพวกเจ้าเป็นลูกศิษย์ ข้าเคยบอกแล้ว เข้ามาเป็นลูกศิษย์ข้า ต้องเคารพอาจารย์และคุณธรรมคำสอน เป็นมิตรต่อสหายร่วมคณะ เคารพในกฎระเบียบ ผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืนกฎระเบียบ โทษเบาก็จะถูกตักเตือนว่ากล่าว หากโทษหนักก็จะถูกไล่ออกจากสถานบำเพ็ญไป และการเดินอยู่บนเส้นทางแห่งฆราวาส ควรจะรักษาและยึดมั่นในหัวใจแห่งเต๋า ทำกรรมดีละกรรมชั่ว อย่าทำชั่วเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าเว้นการทำความดีเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนผู้ที่กบฏต่อสำนักเรา จะต้องได้รับโทษทัณฑ์ ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม ยังมีอีกเรื่อง ใครก็ตามที่ทำร้ายผู้อื่นจนเกิดการนองเลือด และคนผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าจะจัดการกับคนผู้นั้นด้วยน้ำมือของข้าเอง”
เถิงเจาก้มหน้าลงต่ำ “นางถูกใครจับตัวไปหรือ”
“ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของเรา มารเอ้อฝูซื่อหลัว” ฉินหลิวซีมองออกไปที่นอกประตู สีหน้าเย็นชา
เถิงเจากำหมัดแน่น พลางสูดลมหายใจเข้าลึก “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
เขาหมุนตัวเดินออกไป ฉินหลิวซีเอ่ยตามหลังไปว่า “เจาเจา ขอแค่นางยอมรับเจ้า เจ้าก็จะยังเป็นศิษย์พี่ของนางเสมอ”
เช่นกัน หากนางยอมรับข้า ข้าก็จะยังเป็นอาจารย์ของนางตลอดไป