คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 876 วั่งชวนเกิดเรื่อง
ตอนที่ 876 วั่งชวนเกิดเรื่อง
คุยไม่ลงรอยก็จุดไฟเผา มีแต่ฉินหลิวซีเท่านั้นที่ทำเช่นนี้
เมื่อเห็นนางควบคุมเพลิงไฟเผาไปที่ปีศาจกินคนแล้ว ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังขึ้น แม้แต่หยวนอิงที่อยู่ใกล้ๆ กับฉินหลิวซีก็พลอยรู้สึกขนลุกขนพองไปด้วย พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ
นางใช้ประกายไฟเผาปลายผมข้า ถือว่าให้เกียรติข้าแล้ว
ความว่างเปล่านึกในใจว่าโชคดีแค่ไหนที่สิ่งที่นางโยนใส่เขานั้นเป็นมูลอุจจาระ หากเป็นลูกไฟละก็…
ไม่อยากจะคิด!
แม้ว่าเมี่ยเจวี๋ยจะรู้สึกหวาดกลัว ทว่าเขาก็รวบรวมความกล้าพลางถามขึ้น “เผาหมดแล้ว จะถามเรื่องเห็ดหลินจือพันปีอย่างไร?”
ฉินหลิวซีชะงักไปเล็กน้อย
นางโมโหเกินไป
ฉินหลิวซีดับไฟที่เผาบ้านที่ทำจากกระดูกก่อนชั่วคราว จากนั้นก็ใช้หินเก้าตาของเทพเฟิงตูคล้องร่างปีศาจไว้ พอไฟมอด ก็ค่อยดึงมันออกมา
ทว่าเพียงครู่เดียว ร่างของปีศาจตนนั้นก็ถูกเผาจนสิ้นฤทธิ์ เพลิงไฟนรกยังคงเผาไหม้และลุกโชนอย่างแรงกล้า
“พูดมา ว่าเห็ดหลินจือพันปีอยู่ที่ไหน”
ปีศาจกินคนที่เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว พอได้ยินคำถามประโยคนี้แล้ว ดวงตาของมันก็แดงก่ำขึ้นมาทันที พลางตอบกลับด้วยสายตาเยือกเย็น “อยากได้เห็ดหลินจือพันปี ฝันไปเถิด! นอกเสียจากว่า…”
นางเผาตนจนไหม้เกรียมขนาดนี้ ยังอยากจะได้เห็ดหลินจืออีกหรือ ไม่ขึ้นสวรรค์ไปหาเองล่ะ!
ฉินหลิวซีกระตุกยิ้มที่มุมปาก “ข้าถนัดรักษาพวกปากแข็ง!”
เผาต่อ!
“อ้ากกก…” ปีศาจพยายามจะพุ่งตัวออกมา ทว่าร่างกายถูกหินเก้าตาคล้องไว้ จึงไม่สามารถดิ้นหลุดได้ แต่ปีศาจก็ยังคงกัดฟันไม่ยอมพูด เพราะปีศาจรู้ดีว่าหากเอ่ยออกมา ทุกอย่างก็จะไม่สามารถแก้ไขได้อีก
ฉินหลิวซีน่ะหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้?
ไม่เลย
นางปล่อยให้ปีศาจถูกแผดเผาต่อไป ส่วนตนเองก็เดินเข้าไปในบ้านที่ทำมาจากกระดูกแทน
ประเดี๋ยวสิ จะไม่เจรจาต่อรองสักหน่อยเลยหรือ ซักถามข้าต่อสิ!
ปีศาจร้องครวญครางโอดโอย อยากจะเปิดปากพูด แต่เพลิงไฟที่โหมกระหน่ำและร้อนขึ้นเรื่อยๆ เป็นเท่าตัวก็ได้เผาร่างของมันจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว
ถาม?
ไม่จำเป็น!
ฉินหลิวซียกมือขึ้น เรียกหินเก้าตากลับมาที่มือ นางยืนอยู่กลางบ้านกระดูกที่เต็มไปด้วยบาปด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียน ที่นี่อัดแน่นไปด้วยเลือดที่ชั่วร้ายและความพยาบาท พลอยทำให้นางรู้สึกอึดอัดและขยะแขยงเป็นอย่างมาก
เมื่อเดินมาถึงหน้ากรงกะโหลกที่ถูกผสานเป็นเนื้อเดียวกันอย่างมิดชิดและแน่นหนา นางเอื้อมมือกดไปหนึ่งครั้ง เหล่าดวงวิญญาณก็ค่อยๆ ลอยออกมาทีละดวง ดวงวิญญาณแต่ละดวงล้วนมีสีหน้าที่เหม่อลอยและแขนขาที่ขาดด้วน
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าปีศาจชั่วนั่นเก็บสมบัติล้ำค่าไว้ที่ไหน พูดได้ดีล่ะก็ ข้าจะช่วยสวดส่งดวงวิญญาณของพวกเจ้าให้ไปเกิดใหม่” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น
วิญญาณเด็กผู้หญิงอายุราวสิบสองปีชี้นิ้วไปที่มุมหนึ่งของบ้าน
ฉินหลิวซีเหลือบมองตาม ตรงนั้นเป็นเตียงที่ทำขึ้นมาจากกระดูกแขนและกระดูกขา นางเดินเข้าไปใกล้ เพียงครู่หนึ่งก็มีเสียงโครมครามดังขึ้น เตียงชั้นบนถูกพับและเปิดออก เผยให้เห็นพื้นที่ช่องว่างภายใน
ข้างในเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทองรวมไปถึงอัญมณี ที่มุมในสุดมีสมุนไพรหายากวางอยู่ มีทั้งโสม เห็ดหลินจือและอื่นๆ อีกมากมาย สมุนไพรแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่มีอายุที่เก่าแก่และหายากเป็นอย่างมาก
“เก็บไปให้หมด” สมุนไพรถูกเก็บไว้ใต้เตียงกระดูกอย่างนี้ อันที่จริงสมุนไพรเหล่านี้สะสมความอาฆาตพยาบาทและความชั่วร้ายไว้ไม่น้อย กลับไปจะต้องกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปให้หมดก่อน มิฉะนั้นหากนำไปใช้เลย แทนที่ผลจะเป็นยา จะกลายเป็นพิษด้วยพลังหยินแทน
ฉินหลิวซีไม่ได้เหลียวแลแก้วแหวนเงินทองเหล่านั้นแม้แต่นิดเดียว ทว่ากลับเก็บสมุนไพรหายากเหล่านั้นใส่กระสอบอย่างไม่เกรงใจ
ยาสมุนไพรสามารถช่วยชีวิตคนได้ นางจะไม่เมินต่อยาสมุนไพรเหล่านี้เพียงเพราะมันเป็นของปีศาจร้าย หากทิ้งไปเปล่าๆ ออกจะน่าเสียดาย!
นางเก็บยาสมุนไพรทั้งหมดใส่ถุง โดยที่ไม่ได้แตะต้องแก้วแหวนเงินทองเลยแม้แต่นิดเดียว จากนั้นก็เขียนยันต์ขึ้นมาหนึ่งแผ่น สวดส่งเหล่าดวงวิญญาณพิการที่ต้องกลายมาเป็นอาหารปีศาจร้ายในกรงกระดูกให้ไปเกิดใหม่ทั้งหมด
ความว่างเปล่าใช้ศอกสะกิดเมี่ยเจวี๋ย พลางถามขึ้นเสียงเบา “ดูออกหรือไม่”
คนผู้นี้ไม่ได้ยึดถือว่าถูกหรือผิด ดูเหมือนนางจะทำตามความชอบเสียมากกว่า
เมี่ยเจวี๋ยยืนกอดอก ไม่ได้เอ่ยอะไรตอบ
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินหลิวซีก็ไม่มีท่าทีว่าจะอยู่ต่อแต่อย่างใด นางหันกลับมามองวิญญาณผีทั้งสาม ความว่างเปล่าและเมี่ยเจวี๋ยต่างก็รีบพากันถอยออกมา
“ข้าจะไปแล้ว” ฉินหลิวซีมองไปที่หยวนอิง พลางหยิบขวดวิญญาณออกมา “เจ้าจะออกไปหรือไม่”
ความว่างเปล่าและเมี่ยเจวี๋ยต่างก็หันไปมองหยวนอิงอย่างพร้อมเพรียง นางจะไปแล้ว?
หยวนอิงรีบเข้าไปในขวดวิญญาณอย่างไม่ลังเล “ไปๆ”
นางได้เดินทางทั่วดินแดนแห่งนี้ครบทุกตารางนิ้วแล้ว ถึงคราวต้องออกไปท่องภายนอกเสียหน่อย
ฉินหลิวซีหันไปมองความว่างเปล่าและเมี่ยเจวี๋ย
“ดีๆ!” ความว่างเปล่าฝืนยิ้มเจื่อน
ฉินหลิวซี “วันข้างหน้ายังมีโอกาส”
ความว่างเปล่า “ไม่ดีกว่ากระมัง ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นเสียหน่อย!”
วิญญาณผีทั้งสองจ้องมองแผ่นหลังของฉินหลิวซีและลูกศิษย์ที่ค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ หยวนอิงไม่อยู่แล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อันที่จริง ออกไปท่องโลกเสียหน่อยก็ใช่ว่าจะไม่ได้” ความว่างเปล่าพูดขึ้นหลังจากที่ทนอยู่ครู่ใหญ่
เมี่ยเจวี๋ยรีบรับคำเห็นด้วย จากนั้นก็หายตัวไปทันที
เวลานี้ ณ อารามชิงผิง
วั่งชวนเดินออกมาจากอาราม เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางเดินอ้อมไปทางเขาหลังอาราม มุ่งหน้าขึ้นทางเหนือ จนมาถึงหน้าแท่นหินก้อนหนึ่ง แท่นหินก้อนนี้มีความสูงเท่ากับคนหนึ่งคน เป็นแท่นหินแห่งลัทธิเต๋า หน้าแท่นหินถูกแกะสลักด้วยคัมภีร์แห่งลัทธิเต๋า เพื่อให้ผู้แสวงบุญเข้าใจถ่องแท้
และตรงหน้าแท่นหินแห่งลัทธิเต๋า ก็มีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งยืนมือไพล่หลังอยู่
“ท่านเองก็เป็นผู้แสวงบุญหรือ”
ชายหนุ่มร่างสูงหมุนตัวกลับมา สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของวั่งชวน นัยน์ตาของเขาลุ่มลึกราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด นิ่งสงบอย่างมิอาจคาดเดาได้
วั่งชวนเซถอยหลังไปสองก้าว คิ้วทั้งสองขมวดแน่น สีหน้าซีดเผือด ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงไปหมด
ชายร่างสูงสาวเท้าเดินเข้าไปหานาง มุมปากค่อยๆ ฉีกยิ้มขึ้น พลางหลุบตาจ้องมองนาง “บุคคลที่เสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย ด้วยร่างจันทราอันบริสุทธิ์ มาเป็นนักบวชน้อยอยู่ในที่แห่งนี้ ช่างสิ้นเปลืองเสียจริง”
วั่งชวนรีบหมุนตัวจะวิ่งหนี ทว่านางวิ่งได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ถูกจับเข้าที่ท้ายทอยพร้อมกับยกขึ้นจนตัวลอย ร่างกายของนางแข็งทื่อไปหมด
“หากพลังจันทราเสียหาย เจ้าก็ควรจะบำเพ็ญตบะ” ชายร่างสูงหัวเราะเสียงเบา พลางเอื้อมมืออีกข้างลูบไปยังแท่นดวงจิตของนาง
วั่งชวนรู้สึกเหมือนในหัวมีอะไรบางอย่างถูกเปิดออก ความทรงจำที่ถูกปิดผนึกพรั่งพรูออกมาประหนึ่งกระแสน้ำไหลก็ไม่ปาน ความเจ็บปวด ความทรมาน ความหวาดกลัว ราวกับสัตว์ร้ายที่อ้าปากเปื้อนเลือด ค่อยๆ กลืนกินนางไปทั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น
“อ๊ากกก!” วั่งชวนกุมศีรษะพร้อมกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งร่าง พลางบิดตัวไปมาราวกับเสียสติไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ชายร่างสูงมองดูนางทุรนทุราย มุมปากยังคงแสยะยิ้มเช่นเดิม จวบจนร่างกายของเด็กน้อยเปียกชุ่มไปทั้งตัว ค่อยๆ ทิ้งศีรษะลงอย่างช้าๆ เขาจึงค่อยเอื้อมมือไปทำลายยันต์ผนึกและกลิ่นอายของนางอย่างหมดจด โดยที่ไม่หลงเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว
ยันต์ผนึกของฉินหลิวซีถูกทำลายจนหมดสิ้น เวลานี้นางเหมือนร่างเปล่าที่ไร้ซึ่งวิญญาณ ถูกชายร่างสูงหิ้วไว้ในมือ ค่อยๆ เดินขึ้นเขาทีละก้าว ไม่นานเงาแผ่นหลังก็ค่อยๆ หายไป ไม่มีใครเห็นอีกเลย
ฉินหลิวซีที่พึ่งมาถึงทางออกของดินแดนว่างเปล่า จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่กลางอก จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา
“ท่านอาจารย์!” เถิงเจาตกใจจนหน้าซีดไปหมด รีบเข้าไปช่วยพยุงฉินหลิวซี “ท่านเป็นอะไรไป?”
ฉินหลิวซีกำลังจะเอ่ย ทว่ากลับกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง นางรีบเช็ดมุมปากอย่างลวกๆ “วั่งชวน วั่งชวน…”
เถิงเจาใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ เกิดอะไรขึ้นกับนาง
ฉินหลิวซีรีบยกมือขึ้นมานับนิ้วทำนายอย่างรวดเร็ว ทว่าผังทำนายกลับว่างเปล่าไปหมด
นางทำนายหาลูกศิษย์ไม่ได้เลย
แต่ว่า ยันต์ผนึกของนางถูกทำลายไปแล้ว
“เร็วเข้า รีบกลับไปตอนนี้เลย” ฉินหลิวซีพยายามข่มความเจ็บปวดและความวิตกกังวล ฝืนแหวกประตูทางออก เวลานี้บรรยากาศข้างนอกสว่างมากแล้ว ปรมาจารย์ไท่เฉิงและคนอื่นๆ ลงเขามาพอดี พอเห็นปรมาจารย์ไท่เฉิงรวมไปถึงคนอื่นๆ ออกมาแล้ว และกำลังจะเข้ามาทักทายนาง นางก็รีบฉีกประตูมิติทิ้งเปลี่ยนเป็นเส้นทางอื่นแทน
“เหตุใดนางถึงรีบขนาดนั้น?” ซู่หมิงรับรู้ได้ถึงสีหน้าที่ไม่ปกติของปรมาจารย์ไท่เฉิง ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปสบตากับเสี่ยวหลินและนักพรตคนอื่นๆ
ปรมาจารย์ไท่เฉิงขมวดคิ้วแน่น เกรงว่าคงจะเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่!