คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 871 สงครามเริ่มต้นขึ้น
ตอนที่ 871 สงครามเริ่มต้นขึ้น
ขณะที่ฉังอู๋จี๋กำลังเถียงกับหยวนอิง ฉินหลิวซีก็สามารถทำลายม่านพลังที่ปิดกั้นค่ายอาคมฟื้นคืนชีพได้ นางเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเหมือนเงาวูบวาบ ขณะพุ่งตรงไปยังมู่ซื่อจื่อ มือของนางหยิบเข็มเงินออกมาปักไปยังจุดหยุดเลือดของเขา
ยังไม่ทันปลดเชือกที่ผูกมัดเขาได้ ลมที่คมกริบพัดวูบมา ราวกับเข็มน้ำแข็งนับพันพัดเข้ามาหานาง
ฉินหลิวซีหลบได้อย่างคล่องแคล่ว มือยิงยันต์ออกไป จากนั้นมองไปยังด้านในแท่นบูชา
เมื่อเข้าไปใกล้แล้ว นางจึงเห็นคนที่อยู่ในโลงศพหิน กำลังนอนอยู่ในทะเลเลือด ในขณะที่แผนภาพบนพื้นมีเลือดสดๆ ไหลเข้ามารวมกัน โคมวิญญาณเจ็ดดวงที่ส่องแสงจากความเกลียดชังอันไม่รู้จบ กำลังเผาวิญญาณของตนอย่างบ้าคลั่งเพื่อถวายพลังชีวิต ส่งผ่านเส้นใยที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเข้าไปยังคนในโลงศพเพื่อบำรุงเลี้ยงนาง
ค่ายอาคมฟื้นคืนชีพกำลังทำงาน แม้ว่าฉินหลิวซีจะตัดแหล่งเลือดของมู่ซื่อจื่อออก แต่ค่ายอาคมก็ยังไม่หยุด
ฉินหลิวซีหรี่ตาลง หากใจกลางค่ายอาคมไม่ถูกทำลาย ค่ายอาคมก็จะไม่พัง
แต่ใจกลางค่ายอาคมอยู่ที่ไหนกัน
ฉินหลิวซียังไม่ทันได้ตรวจสอบ เพราะมีใครบางคนปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ถือระฆังยักษ์พุ่งเข้ามาหานาง
บัดซบ
ฉินหลิวซีไม่มีเวลาสนใจมู่ซื่อจื่อที่กำลังโชคร้ายอยู่แล้ว เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่ตายอย่างแน่นอน ครึ่งเป็นครึ่งตายมีลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ยังถ่วงเวลาไปได้
เจ้าสุนัขมู่กุ้ยปิน “?”
ฉินหลิวซีพุ่งไปทางโลงศพหิน ขณะเดียวกันก็โยนยันต์หลายแผ่นลงบนแผนภาพบนพื้น จากนั้นเตะโคมไฟวิญญาณเจ็ดดวงให้ลอยไป
“เจ้ากล้านัก” ฉังอู๋จี๋ดวงตาแทบถนน มือของเขาขว้างระฆังตงหวงไปทางนาง
ฉินหลิวซีดึงความสนใจของศัตรูไว้ ปรมาจารย์ไท่เฉิงสั่งให้เซียวเหยาจื่อพากันไปช่วยคน ขณะที่เขาและเฉิงหยางจื่อโจมตีฉังอู๋จี๋
ฉังอู๋จี๋หัวเราะเย้ยหยัน “ไม่รู้จักประมาณตน ในเมื่อกล้ามาตาย ข้าก็จะใช้พวกเจ้าเซ่นภรรยาและลูกของข้า”
เขาประสานมือ ปากร่ายคาถา “ห้าทวยเทพจงนำพาข้า สำรวจทุกทิศ ผู้ใดขวางข้าตาย ผู้ใดขัดขวางข้าล่มสลาย ทหารสวรรค์และทัพวิญญาณ จงฟังคำสั่งข้า สังหารร่างทำลายวิญญาณบูชาวิญญาณภรรยา ค่ายเริ่ม”
ก้อนเมฆดำปกคลุมฟ้า ทันใดนั้นเงาวิญญาณนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น พุ่งเข้าใส่เหล่าปรมาจารย์ไท่เฉิง
ขณะที่ฉินหลิวซีใช้คฑาเพชรทุบไปยังระฆังยักษ์
แม้ระฆังนั้นดูเหมือนระฆังตงหวงโบราณ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่ของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จะปรากฏในที่นี้ มันไม่ใช่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียร
ถ้าไม่ใช่ของจริง ก็ต้องเป็นของปลอม ช่างทำได้
คฑาเพชรปะทะกับระฆังยักษ์ เสียงดัง ปัง เหมือนวิญญาณของทุกคนจะกระจายไปหมด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าละความสนใจ เพราะทหารสวรรค์และทัพวิญญาณที่โจมตีนั้นจัดการยากยิ่งกว่ากองทัพหยิน เงาเหล่านั้นมีเสียงกรีดร้องที่แทงทะลุถึงวิญญาณของผู้คน
พวกเขาต้องใช้พลังทั้งหมด ใช้ยันต์และอาวุธอาคมไม่ยั้ง
ซู่หมิงกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด ร่วมกับเสวียนชิงจื่อและเถิงเจา จนกลายเป็นสามเหลี่ยมที่ประสานกันอย่างลงตัว
“เจ้าก็ทุ่มยันต์โดยไม่เสียดายเงินเลยนะ” ซู่หมิงเอ่ยกับเถิงเจาขณะที่เขาปายันต์และใช้คาถา ทำให้ซู่หมิงอิจฉาจนร้องไห้
พวกเราต่างก็เป็นศิษย์ ไยเจ้าถึงได้เก่งอยู่ผู้เดียว เพราะกราบอาจารย์แตกต่างกันหรือ
ถ้าอย่างนั้น ข้าขอถามเล็กน้อย ควรกราบทางใดเพื่อให้ได้อาจารย์ที่เก่งและใจกว้างเช่นนี้
ซู่หมิงลืมไปหมดแล้วว่าเขาเคยดูถูกเถิงเจามาก่อน แต่ก็ไม่เป็นไร หน้าเรามันหนา ไม่เจ็บหรอก
เถิงเจายังคงรักษาบทบาทของตัวเองไว้อย่างจริงจัง ไม่กล้าเสียสมาธิ เพราะถ้าพลาดเพียงนิดเดียว รังเกียจว่าจะตายเร็วไม่พอหรือ
ฉินหลิวซีมาถึงข้างโลงศพแล้ว นางได้ยินเสียง ปุดๆ จากภายใน ก้มลงมองเห็นว่าเลือดเหลวที่ข้นเหนียวในโลงศพกำลังเดือดปุดๆ เหมือนมีไฟลุกอยู่ข้างใต้
และเมื่อเลือดในโลงศพเริ่มเดือด สีหน้าของคนในโลงก็เริ่มมีสีแดงขึ้นมา
ฟื้นคืนชีพได้จริงๆ หรือ
บ้าเอ๊ย
การฝืนลิขิตฟ้า ฟื้นคืนชีพโดยการใช้วิญญาณของผู้อื่นเป็นเครื่องบูชาเพื่อบำรุงเลี้ยงเช่นนี้ จะเรียกว่าการฟื้นคืนชีพได้อย่างไร
มือของฉินหลิวซีเอื้อมไปยังโลงศพ
“บังอาจ” ฉังอู๋จี๋ถือดาบสีดำ ฟันมาที่มือของฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีหดมือกลับ หยิบกรรไกรธรรมดาที่นางตั้งใจจะใช้ตัดผมของผีตนหนึ่งขึ้นมา ใส่พลังวิญญาณเข้าไปและขว้างไปทางฉังอู๋จี๋ และตำแหน่ง…
เอ่ยยากจริงๆ
สีหน้าของฉังอู๋จี๋กลายเป็นสีเขียวด้วยความโกรธ ไร้ยางอาย
หยวนอิงรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เด็กเจ้าเล่ห์คนนี้ดูจะลามกมากกว่านางเสียอีก
และในเวลานี้เอง เสียงของฉินหลิวซีก็ดังเข้ามาในหูของนาง “อยากเป็นอิสระเหมือนสายลมใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ลงมือซะสิ”
หยวนอิง ข้าไม่อยากสู้ ข้าแค่มาดูเรื่องสนุก
ยกเว้นว่ามือของข้าควบคุมไม่ได้
ดังนั้น นางจึงเข้าไป
ฉังอู๋จี๋กำลังต่อสู้กับฉินหลิวซี ทันใดนั้นลมเย็นพัดมาจากด้านหลัง เขาหลบออกไปอย่างรวดเร็ว “หยวนอิง เจ้าผีสตรี เจ้าร่วมมือกับพวกเขาจริงด้วย”
“ไม่ใช่นะ ข้าเพียงควบคุมตัวเองไม่ได้ เล่นกับข้าหน่อยสิ”
“เจ้ารนหาที่ตาย”
ด้วยความช่วยเหลือจากหยวนอิง ฉินหลิวซีกลับไปยังโลงศพหินอีกครั้ง ยื่นมือออกไปอีก
“หยุดเดี๋ยวนี้” ฉังอู๋จี๋พุ่งตัวขึ้น
หยวนอิงร้องเรียก “เฮ้ อย่าหนีสิ”
ผมของนางกลายเป็นเส้นยาวหนา พุ่งไปพันรอบคอและตัวของเขา ตั้งใจจะมัดเขาเหมือนดักแด้
ฉังอู๋จี๋จะกลัวนางได้อย่างไร ตบยันต์หนึ่งแผ่นลงไป เผาไหม้เองโดยไร้เสียง
“โอ๊ย ผมของข้า”
หยวนอิงรีบเก็บผมตนเองกลับมา ด้วยความโกรธจัดจนเต็มไปด้วยพลังงานอาฆาต พุ่งแทงเข้าใส่เขาจากด้านหลัง
มือของฉินหลิวซีกำลังจะสัมผัสกับคนในโลงศพ ทันใดนั้นคนในโลงก็ลืมตาขึ้น แสงสีน้ำเงินเย็นพุ่งเข้ามาหานาง
โอ้โฮ ศพฟื้นคืนชีพแล้วหรือ
ฉินหลิวซีดีดเปลวไฟออกไปหนึ่งช่อ เสียงดัง บึ้ม ทำให้โลงศพทั้งหมดลุกเป็นไฟ
“ไม่” ฉังอู๋จี๋พยายามดับไฟหลายครั้ง แต่ไฟนั้นไม่รู้ว่าเป็นไฟอะไร ดับไม่ได้ เขาเริ่มตื่นตระหนกเพราะรู้สึกว่าไฟนั้นเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวง ทำอะไรไม่ถูก
ในตอนนั้นเองฉินหลิวซีสัมผัสได้ถึงพลังงานสองสายจากในโลง ล้วนเป็นพลังงานที่นางคุ้นเคย หนึ่งในนั้นคือหลานโย่ว ส่วนอีกคน…
“ระวัง” หยวนอิงร้องเตือน
ฉินหลิวซีถอยออกไปหลายก้าว หลบการโจมตีของฉังอู๋จี๋ได้ทันหวุดหวิด
“เจ้าต้องตาย” ฉังอู๋จี๋มองนางด้วยสายตาเหมือนมองคนตาย ฆ่านาง ต้องฆ่านางให้ได้
ฉินหลิวซีมองไปยังคนไฟลุกที่ลุกขึ้นมาจากโลงศพ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของนาง ไฟนรกดับไป เผยให้เห็นศพที่ถูกเผาเสียหายหนัก
ดูเหมือนศพเคลื่อนไหวจริงๆ แล้ว
“หรงเหนียง” ฉังอู๋จี๋ดวงตาเบิกโตแทบถลน
เงาวิญญาณของหลานโย่วปรากฏขึ้นเลือนรางอยู่ในท้องของศพผู้หญิงนั่น ร่างวิญญาณของเขาถูกไฟแห่งกรรมเผาไหม้จนร่างโปร่งบาง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเหมือนถูกดึงจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง อยากไปทว่าไปไม่ได้
“หลานโย่ว”
“พี่สาว ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน มีคนกำลังเรียกข้า” หลานโย่วเอ่ยขาดตอน สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว
ฉินหลิวซีจ้องมอง เห็นพลังงานที่ไม่สามารถมองเห็นได้ดึงเขาอยู่ จึงเอ่ย “หลานโย่ว จงกลับไปยังที่ที่เจ้าควรอยู่เถิด”
หลานโย่วชะงักไปชั่วครู่ “แต่…”
“หลานซิ่งปรารถนาให้เจ้าอยู่ในอีกโลกอย่างสงบสุข ไม่ใช่มาเป็นทาสวิญญาณของผู้อื่น”
หลานโย่ว “…”
ฉังอู๋จี๋โกรธจัด “อย่าได้คิด”
วิญญาณจากโลกอื่นที่หาได้ยากเช่นนี้ เขาต้องการให้มันเป็นอาหารวิญญาณสำหรับบุตรชายของเขา เขาร่ายคาถาอีกครั้ง วิญญาณของหลานโย่วถูกกดกลับไปเล็กน้อย
ฉินหลิวซีรู้ว่าถ้าเขาไม่ไปตอนนี้ เขาจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
คาถา ข้าก็ร่ายเป็น
“เก้าดาวโคจร ผู้เริ่มแรกวนเวียน จากที่ใดมา ไปยังที่ใด ทหารเทพจงเปิดทาง เข้าออกไม่มีข้อจำกัด ข้ามอบผลบุญจงกลับไป ไท่ซ่างเหลาจวิน รับบัญชา เพี้ยง”
เปลวไฟแห่งบุญวูบขึ้น มุ่งไปยังหลานโย่ว
ซู่ว
เมื่อแสงแห่งบุญสว่าง วิญญาณของหลานโย่วราวกับควันเบาบาง ถูกพลังงานที่ไม่รู้จักพัดหายไป
“ข้าจะรอเขา” เสียงของหลานโย่วหายไปในอากาศ
และเมื่อเขาจากไป ฉังอู๋จี๋ก็กระอักเลือดออกมา ดาบในมือหลุดออกไปด้วยความโกรธแค้นและพุ่งเฉียดไหล่ของฉินหลิวซีไป