คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 867 พวกเขามาที่นี่เพื่อดูนางเล่นตลกหรือ
ตอนที่ 867 พวกเขามาที่นี่เพื่อดูนางเล่นตลกหรือ
เมื่อฉินหลิวซีเหยียบเข้าไปในดินแดนแห่งความว่างเปล่า นางขมวดคิ้วเล็กน้อย หันมองไปข้างหลัง กดความรู้สึกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้ลงไป
นางและนักพรตกลุ่มหนึ่งเข้าไปในดินแดนแห่งความว่างเปล่า พวกเขาเห็นหมอกดำหนาทึบปกคลุมอยู่ข้างหน้า พร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังหยิน
“ติดยันต์เพลิงหยาง” ฉินหลิวซีตะโกนเสียงดัง หยิบกระดาษเหลืองสองแผ่นออกมาวาด ให้ตนเองและเถิงเจาติดตัวคนละแผ่น
ผู้คนที่เห็นการกระทำนี้รู้สึกงงงวย ไม่ใช่พวกเขาไม่มีการเตรียมยันต์นี้ แต่การวาดยันต์ทันทีตรงนี้ ดูเหมือนจะไม่เข้าท่า
แต่นั่นกลับไม่ใช่ยันต์ที่ใช้ไม่ได้ มันเป็นยันต์ที่มีพลังจริงๆ ซ้ำยังความบริสุทธิ์มาก
ซู่หมิงมีสีหน้าซับซ้อน ตระกูลของพวกเขาร่ำรวยกันจริงๆ
ไม่มียันต์เพลิงหยาง คนที่มีพลังสูงก็วาดให้ตัวเอง คนที่ไม่มีก็ใช้ยันต์อื่นแทน ส่วนนักพรตเสี่ยวหลินคนนั้นทำได้เพียงแค่สวมกำไลข้อมือ นั่นก็เป็นเครื่องรางที่ป้องกันพลังหยินและผีไม่ให้เข้าใกล้
ฉินหลิวซีเห็นเช่นนั้นจึงใจดีวาดยันต์แปะไปที่ตัวเขา เอ่ย “ที่อารามชิงผิงของเราน่ะอะไรก็มีไม่มาก แต่ยันต์น่ะ ชำนาญสุดๆ รับไปให้เต็มที่”
นักพรตเสี่ยวหลิน “?”
ไยจึงเอ่ยเช่นนี้ นางกำลังเยาะเย้ยหรือว่ากำลังโอ้อวด
เถิงเจา ไม่ใช่ นางกำลังมีแผน วาดขนมแป้งแผ่นใหญ่[1]
อย่างไรก็ตามยันต์ของฉินหลิวซีมีประโยชน์ นักพรตเสี่ยวหลินรีบขอบคุณทันที
ทั้งกลุ่มเดินหน้าต่อไป ปรมาจารย์ไท่เฉิงเอ่ยขึ้น “ดินแดนแห่งความว่างเปล่านี้กว้างใหญ่ จะตามหาอย่างไร”
ฉินหลิวซีตอบว่า “ไม่ต้องกังวล บนตัวของมู่ซื่อจื่อมีเครื่องรางที่ข้าปลุกเสก ข้าตามกลิ่นได้”
นางเอ่ยพร้อมคำนวณด้วยนิ้วอย่างรวดเร็ว และชี้ไปทิศทางหนึ่ง “ไปเถิด”
ฉินหลิวซีดึงเถิงเจาเดินนำไป ทุกคนรีบตามหลังไป และไม่รู้ทำไม รู้สึกเหมือนกำลังติดตามผู้มีกำลัง
เมื่อพวกเขาเดินออกจากหมอกดำ ทุกคนได้ยินเสียงผีร้องแหลมเสียดหู ราวกับมีการต่อสู้ มองเห็นกลุ่มคนปรากฏตัว ผีสองตนนั้นหยุดลง ดมกลิ่น
“มนุษย์ กลิ่นของมนุษย์อีกแล้ว”
“ตรงนั้น มีมนุษย์เยอะมาก”
ผีทั้งสองตัวหันไปแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างดุร้าย
“ทุกคน ดินแดนแห่งความว่างเปล่านี้ไม่อาจประมาทได้ หากมีเครื่องรางก็นำออกมาใช้” ปรมาจารย์ไท่เฉิงได้หยิบเครื่องรางของเขาออกมา
ทุกคนก็หยิบเครื่องรางของตนออกมา โจมตีไปยังผีทั้งสองตัว
แม้แต่เถิงเจาก็เอากริชกิเลนของเขาออกมา ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความดุร้ายและความเยือกเย็น
ซู่หมิงตามหลังไปหลายก้าว สีหน้าเปลี่ยนไปโดยไม่อาจห้ามได้ ตอนนี้เด็กก็ยังเป็นเด็กแปลก ทุกคนดูน่ากลัวมาก
ทุกคนร่วมมือกัน ผีทั้งสองตัวที่เต็มไปด้วยเวรกรรมดำทะมึนไม่นานก็ถูกกำจัดจนวิญญาณแตกสลาย
ฉินหลิวซีเดินนำหน้าเปิดทางต่อ “ไปกันเถิด”
กลิ่นของเจ้าหมากุ้ยปิน[2]ดูเหมือนจะอ่อนลงแล้ว
กลุ่มคนเดินตามหลังนางไปอย่างรวดเร็ว จนถึงพื้นที่ป่าไม้ที่ปกคลุมด้วยหมอกดำ ทันทีที่พวกเขาเข้าไป ในป่าก็ได้ยินเสียงผีผู้หญิงที่แหลมเสียดหูดังลั่น
“คิก คิก คิก ฮ่าๆๆ”
ทุกคนเตรียมพร้อมอย่างเคร่งเครียด
เงาผีสีแดงที่ราวกับตัดกับหิมะ[3]ลอยผ่านพวกเขาไป เอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น “ผู้ที่เข้ามาในเขตของข้า ต้องตาย”
เมื่อวาจาสิ้นสุดลง เงาผีสีแดงนั้นก็ตกลงมาจากฟ้า ดวงตาแดงก่ำถลึงมองพวกเขา “เป็นมนุษย์หรือ”
ฉินหลิวซีเห็นนางใส่ชุดแดง ผมกระจายเต็มไปด้วยพลังผี หนาวเหน็บจนถึงกระดูก จึงเอ่ย “อาเจ้ เราเพียงผ่านมาทางนี้ ขอทางด้วยเถิด”
หืม
“อา อาเจ้หรือ” ผีสตรีชุดแดงตาโตมากขึ้น ชี้ไปที่นาง แล้วชี้ไปที่ตัวเอง “เจ้าเอ่ยเหลวไหล ข้าเป็นหญิงงามดุจบุปผา จะเป็นอาเจ้ได้อย่างไร”
ทุกคนยืนมองฉินหลิวซีด้วยความงงงวย พวกเขาเองก็มีตาเหมือนกัน ผีตรงหน้า ไม่ใช่สิ่งที่ผีน่ารังเกียจสองตัวก่อนหน้านี้จะเทียบได้ พลังวิญญาณแรงกล้า เห็นได้ชัดว่าเป็นผีแก่ที่ตายมานาน ดังนั้นไยเจ้าต้องกระตุ้นนางเล่า
หรือว่านี่คือแผนใหม่ในการต่อสู้ หลอกล่อศัตรูหรือ
ก็ได้ เรียนรู้แล้ว
ฉินหลิวซีเอ่ย “ถ้าไม่ใช่อาเจ้แล้วเป็นอะไร ก็เป็นอาเจ้ผู้อาวุโสงั้นหรือ เพราะเจ้าตายมาตั้งนานแล้ว”
“ข้าน่ะหรือ เป็นผีสาวพันปีเชียวนะ อาเจ้อะไร เจ้ารู้จักมารยาทหรือไม่” ผีสตรีในชุดแดงโกรธจัด เส้นผมของนางปลิวไสวแม้ไม่มีลม พัดหวิวๆ
ฉินหลิวซี “เช่นนั้น… ท่านป้าหรือ”
“โอ้ย เจ้าเด็กบ้า เจ้าเด็กตาบอด ข้าจะล้างตาให้เจ้า” ผีสตรีชุดแดงหมุนตัว ปลายผมของนางกลายเป็นเส้นเหล็กหลายพันเส้นพุ่งไปที่ดวงตาของฉินหลิวซีเหมือนเข็มที่คมกริบ
“สหายนักพรตระวัง” เฉิงหยางจื่อใช้แส้หางม้าของเขาฟาดมา
“เหอะ คนมากรังแกผีน้อย คิดว่าข้ากลัวพวกเจ้าหรือ” ผีสตรีชุดแดงแยกผมเป็นหลายทิศทางและโจมตีไปยังพวกเขา
อย่าคิดว่าเส้นผมที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงเส้นผม แต่เมื่อเสริมด้วยพลังผี ก็กลายเป็นเหมือนแส้ที่ฟาดลงบนร่างกาย เจ็บไม่พอ พลังหยินยังแทรกซึมเข้าสู่กระดูก
ฉินหลิวซีว่องไว เข้าสกัดผมที่โจมตีไปยังทุกคนด้วยมือ หมุนพันจนเจ้าของเส้นผมต้องหมุนตามไปด้วย
“คุยกันดีๆ อย่าต่อสู้เพียงเพราะไม่เห็นด้วย สุภาพหน่อย”
ผีสตรีชุดแดงโกรธจัด เจ้ากล้าเอ่ยคำนี้ เก่งนักก็ปล่อยผมข้าสิ
หัวของนางหมุนไปทางอื่น ทำอะไรไม่ได้ นางจึงต้องหันหัวของตัวเองกลับมา
ปรมาจารย์ไท่เฉิงและเฉิงหยางจื่อยังไม่รู้สึกอะไร ในขณะที่นักพรตเสี่ยวหลินและซู่หมิงต่างตกตะลึง
เล่นเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
ผมของผีสตรีชุดแดงถูกจับไว้ นางปล่อยผ้าสีแดงยาวคล้ายงูโจมตีฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีไม่รีบเร่ง ดึงกรรไกรออกมา จ่อไปที่เส้นผม “ถ้าทำอีก ข้าจะตัดผมเจ้าแล้วนะ”
ผีสตรีชุดแดงได้ยินดังนั้น ผ้าสีแดงที่พุ่งไปก็หยุดกลางอากาศ ดึงกลับมา “เจ้า เจ้าเป็นเพียงเทียนซือคนหนึ่ง ไยจึงพกกรรไกรมาด้วย อย่าได้บุ่มบ่าม วางกรรไกรลง พูดคุยกันดีๆ อย่าแตะต้องผมข้า”
นี่เป็นผมที่นางเลี้ยงดูมาเป็นพันปี เรียบลื่นดุจแพรไหม เป็นประกายดำเงางาม ไม่ต้องใช้เครื่องหอมแพงๆ ก็สามารถภาคภูมิใจได้
ฉินหลิวซีปล่อยมือ ผีสตรีชุดแดงรีบยึดอำนาจคืนแล้วหัวเราะลั่น “นักพรตโง่เง่า คำผีเจ้าก็เชื่อหรือ”
นางกางมือ เล็บยื่นยาวพุ่งเข้าหาฉินหลิวซี
เพียงแต่ เหมือนได้กลิ่นไหม้หรือ
ฉินหลิวซี “ดูที่เท้าของเจ้า”
ผีสตรีชุดแดงมองลงไป กรีดร้องเสียงดังขึ้นมา ทำให้ผีตัวเล็กที่อยู่ไกลกลัวจนหนีหายไป ผีเฒ่าหยวนอิงคงคุ้มคลั่งเพราะผมของนางอีกแล้ว
หยวนอิงรีบหยิบผมที่ติดไฟเล็กน้อยขึ้นมา พยายามปัดมันออก เอ่ยด้วยเสียงโกรธจัด “เจ้า… เจ้าใช้กลอุบาย”
ไม่ใช้กรรไกร ใช้ไฟเผา กรี๊ดดด มันต่ำช้าที่สุด
“เป็นเจ้าที่เอ่ยภาษาผีหลอกข้า ข้าก็ต้องใช้กลอุบายเช่นกัน ตาต่อตา ยุติธรรม”
“ข้าเป็นผี ข้าต้องเอ่ยภาษาผีอยู่แล้ว จะให้เอ่ยภาษามนุษย์หรือ” หยวนอิงตอบกลับด้วยความโกรธ ขณะมือผีของนางตบไปยังประกายไฟนั่น เจ็บปวดทรมาน สีหน้านางเปลี่ยนไป สายตาที่มองฉินหลิวซีมีความหวาดกลัวขึ้นมาหลายส่วน
ประกายไฟนี้ ไม่ปกตินัก ทำให้ผีพันปีอย่างนางเจ็บปวดได้
หยวนอิงถอยหลังหลายก้าว “ไม่ใช่ขอทางหรือ ไปสิ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้”
ฉินหลิวซียิ้มกว้าง “ตอนนี้ไม่ขอแล้ว ป้า ไม่ใช่สิ อาเจ้นำทางให้เราหน่อยสิ”
หยวนอิง “?”
ผู้คนที่นั่งยองๆ ชมละครตามเถิงเจาตั้งนานแล้ว “…”
ดังนั้นพวกเขามาที่นี่เพื่ออะไร ดูนางเล่นตลกอย่างนั้นหรือ
[1] เป็นสำนวนจีน หมายถึงการให้คำสัญญาหรือวาดภาพอนาคตที่สวยงามหรือยิ่งใหญ่เพื่อสร้างความหวังหรือแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น โดยที่ในความเป็นจริงแล้วคำสัญญาหรือภาพนั้นอาจจะไม่มีความเป็นไปได้หรือไม่อาจทำได้จริง เหมือนกับการวาดภาพขนมที่ดูน่ากินแต่ในความเป็นจริงไม่ได้มีอยู่
[2] หมายถึงมู่ซี
[3] สำนวนที่มีความหมายเชิงเปรียบเทียบซึ่งหมายถึง สีแดงที่สดใสหรือเข้มข้นจนโดดเด่นเป็นพิเศษ หรือเปรียบเทียบกับความขาวของหิมะเพื่อเน้นให้เห็นถึงความเข้มข้นของสีแดงนั้น