คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 866 เข้าไปในความว่างเปล่า
ตอนที่ 866 เข้าไปในความว่างเปล่า
ด้วยความบังเอิญที่ไม่คาดคิด จนได้มาถึงทางเข้าของดินแดนแห่งความว่างเปล่า ฉินหลิวซีต้องเข้าไปในนั้นแน่นอน เพราะสมุนไพรตัวสุดท้ายสำหรับยาเสริมรากฐานอยู่ที่นี่ เพียงแค่พยายาม (ต่อสู้) สักหน่อย บางทีอาจมีใครบางคนหามันมาให้นางได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นนางจำเป็นต้องเข้าไป แน่นอนว่าเถิงเจาก็ต้องตามนางไปด้วย อ้อ แม้จะมีอันตรายข้างใน เขายังเป็นเด็กอยู่ใช่หรือไม่
เด็กอย่างไรก็ต้องเติบโต
เห็นโลกกว้างไกลเท่าใดจึงจะมีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคลื่นลมใหญ่ในภายหน้า ก็จะสามารถรับมือได้อย่างสงบสำรวม แต่ที่สำคัญก็คือคลื่นลมเหล่านั้นมีตัวนางอยู่เคียงข้างคอยปกป้อง หากในภายภาคหน้าไม่มีแล้วเล่า เจ้าจะทำเช่นไร
เขาก็จะไม่มีโอกาสเช่นนี้ ทว่าต้องเผชิญกับมันด้วยตัวเอง
องครักษ์ไม่เข้าไปเพราะพวกเขาเป็นคนธรรมดา ไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต แม้แต่นักพรตที่มีพลังไม่สูงบางคนก็ไม่เข้าไป ในที่สุดก็เหลือเพียงฉินหลิวซีและศิษย์ของนาง รวมถึงปรมาจารย์ไท่เฉิงและศิษย์ของเขา เฉิงหยางจื่อศิษย์อาจารย์ รวมถึงนักพรตที่ไม่มีสำนักอีกสองคน ชื่อว่าเซียวเหยาจื่อและนักพรตหยวน อีกทั้งอู๋โหย่วจื่อ ผู้สืบทอดเวทมนตร์เหมาซาน พวกเขาทั้งหมดสนใจดินแดนแห่งความว่างเปล่ามาก อย่างไรมันก็เป็นดินแดนที่มีแต่ตำนาน
สิ่งสำคัญคืออย่างไรพวกเขาทุกคนได้มาถึงขีดจำกัดของการฝึกฝน หาได้ยากที่จะบังเอิญพบเข้ากับดินแดนแห่งความว่างเปล่าที่เป็นสถานที่อันตรายเช่นนี้ พวกเขาอยากลอง ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการพยายามฝ่าขีดจำกัดนี้
นักพรตเต๋าก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งขลาดกลัวและก้มหน้าก้มตาอยู่เท่าใดก็ยิ่งติดอยู่ในที่คับแคบจำกัดอยู่เพียงความคิดและการรับรู้ของตนเอง หากสามารถเปิดกว้างความคิดและขยายขอบเขตออกไปได้ การบรรลุถึงแก่นแห่งเต๋าอาจจะเป็นเรื่องง่ายดายดุจสายน้ำไหลก็เป็นได้
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินหลิวซีประหลาดใจคือนักพรตน้อยหลิน นักพรตหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีที่มีพลังเพียงขั้นการฝึกซ้อมลมปราณสาม เขากล้าที่จะตามไปโดยไม่กลัวอะไร
มีความกล้าหาญนัก ถ้าโชคดีได้ออกมา จะต้องเอาพวกเขาเหล่านี้เข้าสำนักมาเป็นสมาชิก
ส่วนนักพรตฉังซิงที่คุยโวว่าจะขจัดปีศาจและรักษาความสงบนั้นไม่ได้ไป
ฉินหลิวซีคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มมองเขา ไยจึงไม่ไปขจัดปีศาจเล่า
ใบหน้าของนักพรตฉังซิงร้อนขึ้น ตบะของเขาไม่สูง และดินแดนแห่งความว่างเปล่าเป็นพื้นที่อันตราย เขาไม่ใช่คนที่ฝืนความสามารถของตน เขาเพียงตระหนักในตนเองเท่านั้น
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาหันหน้าไปทางอื่น ไม่สบตาฉินหลิวซี
เมื่อทุกอย่างตกลงกันได้แล้ว ปรมาจารย์ไท่เฉิงให้พวกเขารออยู่ที่เดิม รอให้ฟ้าสว่างและอาณาเขตหายไปก่อนค่อยแยกย้ายลงเขาเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดคิด
นักพรตสองคนเอ่ยขึ้นว่า “ตอนขึ้นเขาเราได้ทำลายค่ายอาคมรวมหยินดูดวิญญาณแล้ว ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกวิชามารอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ เราจะรออยู่นอกเขตเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงครุ่นคิดนับว่าเป็นเหตุผลที่ดี บอกให้พวกเขาระวังตัว พร้อมทั้งดูแลองครักษ์ให้อยู่ในความปลอดภัย เห็นฉินหลิวซีเริ่มใช้เวทมนตร์เพื่อเปิดทางเข้าดินแดนแห่งความว่างเปล่า เขาจึงรีบไป
“การเดินทางครั้งนี้ ชีวิตและความตายไม่แน่นอน สหายนักพรตทุกท่านควรคิดให้รอบคอบ” ฉินหลิวซีเอ่ยอีกครั้ง
เซียวเหยาจื่อหัวเราะเสียงดัง “พวกเรามาที่นี่เพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งเต๋า ซึ่งเป็นหนทางที่ไม่ละอายใจต่อเต๋า เราได้วางชีวิตและความตายไว้ข้างนอกแล้ว สหายนักพรตปู้ฉิวไม่ต้องเกลี้ยกล่อม”
“ไม่ผิด นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากในการไปยังดินแดนแห่งความว่างเปล่า หากไม่เสี่ยงก็เท่ากับบำเพ็ญมาเสียเปล่า” อู๋โหย่วจื่อเอ่ยพร้อมกับลูบเคราสีขาวของตนเอง
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ไปเถิด”
…
ในบ้านตระกูลฉิน สะใภ้หวังเองได้ตกลงเรื่องใครไปใครกลับแล้ว
บ้านรองและบ้านสามล้วนกลับทั้งหมด นางจะกลับไปตรวจสอบสินสมรสแล้วค่อยกลับมาไว้ทุกข์ที่เมืองหลี แน่นอนว่าฉินปั๋วหงไม่อาจกลับไปเพียงคนเดียวได้จึงอยู่ต่อ ส่วนฉินเหมยเหนียง นางก็ไม่ได้กลับ ในเมื่อตระกูลฉินฟื้นคืน ก่อนนางหย่าร้างก็ไม่ได้นำเอาสินสมรสคืนมา ดังนั้นก็ต้องกลับไปเอาสินสมรสกลับมา ซื้อเรือนหลังเล็กๆ ในเมืองหลีอาศัยอยู่กับบุตรสาวทั้งสอง
ฉินเหมยเหนียงคิดไว้ดีแล้ว นางเองไม่อยากแต่งงานใหม่ บุตรสาวสองคน หนึ่งคนจะออกเรือน และอีกคนจะอยู่บ้าน รับการแต่งงานเข้ามา ชีวิตยังคงเดินต่อไปได้ โดยที่นางเป็นหัวหน้าครอบครัว และไม่ต้องรับใช้ผู้ใด
สำหรับเรื่องนี้สะใภ้หวังเห็นด้วยอย่างมาก ฉินปั๋วหงกลับเอ่ยหนึ่งประโยค จำเป็นต้องมีบุรุษหนึ่งคนเป็นหัวหน้าครอบครัว จึงถูกนางตอกกลับอย่างราบเรียบ ตอนเหล่าบุรุษไม่อยู่ เหล่าสตรีอย่างพวกนางก็อยู่กันได้ ทำให้ฉินปั๋วหงโกรธไม่น้อย
เมื่อตกลงตามนั้น สะใภ้หวังเริ่มเตรียมรถและสัมภาระ พร้อมทั้งเตรียมให้บ้านรองกลับไปยังเมืองหลวง
ฉินหมิงเย่ว์มีความกังวลเล็กน้อย เดินไปยังลานด้านนอกเรือนของฉินหลิวซี แต่นางไม่ได้อยู่ที่นั่นจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“เจ้ามาหาท่านอาจารย์ข้าใช่หรือไม่” วั่งชวนมองเห็นฉินหมิงเย่ว์ เชิดปลายคางเอ่ยถาม
“อืม จะกลับเมืองหลวงแล้ว ข้าเลยอยากคุยกับพี่หญิงใหญ่สักหน่อย”
“เจ้ารอเดี๋ยว” วั่งชวนเอ่ยแล้วเดินกลับไปหยิบห่อผ้าห่อหนึ่งยื่นให้กับนาง “ท่านอาจารย์บอกว่า เจ้ามาก็เอาให้เจ้า คำตอบทั้งหมดอยู่ในนี้”
ฉินหมิงเย่ว์รู้สึกงงงวยเล็กน้อย นางรับห่อผ้ามาโดยสัญชาตญาณและเปิดมันออก เห็นด้านในนั้นมีการเขียนเอาไว้ว่า เส้นทางความรักมีสองแบบ ทุกข์แล้วสุข สุขแล้วทุกข์
“นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”
วั่งชวนเอ่ย “แน่นอนว่ามันหมายความว่าทางที่เจ้าเลือกมีสองทาง หนึ่งคือเส้นทางที่ประสบความทุกข์ก่อนแล้วจึงพบความสุข คนที่มาขอแต่งงานอาจจะเป็นบัณฑิตจากตระกูลยากจน เริ่มต้นอาจไม่ง่าย แต่ในภายหลังอาจจะมีความสุขและสงบสุข ส่วนเส้นทางที่หวานก่อนแล้วลำบาก หลังจากที่เลือกเส้นทางที่ดูสวยงาม อาจจะสูงส่ง แต่ไม่แน่ว่าจะมีความสดใสตลอดไป มันอาจจะค่อยๆ เน่าเปื่อยและตกต่ำลง”
ฉินหมิงเย่ว์กำถุงผ้าแน่น
“ท่านอาจารย์บอกว่า ทางที่เลือกเป็นของตัวเอง ถ้าจะผิดหรือถูกก็ต้องเดินต่อไปให้ได้ นี่คือสองเส้นทางความรักที่ท่านอาจารย์ให้เจ้าดู คิดให้ดีเถิด” วั่งชวนเอ่ยก่อนที่จะปิดประตูเรือนอย่างรวดเร็ว
ฉินหมิงเย่ว์ยืนอยู่ชั่วครู่ โค้งตัวเล็กน้อยไปยังประตูเรือนแล้วหันหลังเดินจากไป
ฉีหวงดึงวั่งชวนมาที่ด้านข้าง จัดแต่งเส้นผมของนางให้เข้าที่แล้วเอ่ย “คุณหนูรองมาแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าได้มอบสิ่งที่อาจารย์สั่งไว้ให้นางแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี”
วั่งชวนเอ่ยต่อ “พี่ฉีหวง ข้าต้องไปที่อารามแล้ว ท่านอาจารย์ยังสั่งให้ข้าวาดยันต์สามแผ่น ข้าต้องไปที่อาราม”
“วาดที่บ้านไม่ได้หรือ หรือเจ้าจะใช้ยันต์ที่ศิษย์พี่คนอื่นวาดมาใช้แทน” ฉีหวงหยอกล้อนาง
“แน่นอนว่าทำไม่ได้” วั่งชวนย่นจมูกเล็ก เอ่ย “ท่านอาจารย์มีสายตาอันเฉียบคม ผู้ใดวาด นางมองปราดเดียวก็ดูออก หากข้าเอาของคนอื่นมาแอบอ้างจริงๆ เกรงว่าคงต้องวาดเพิ่มขึ้นสามเท่า”
ฉีหวงหัวเราะพลางเอ่ย “แต่ช่วงนี้พวกนายหญิงใหญ่จะกลับไปเมืองหลวง ที่บ้านจะยุ่งมาก ข้าเกรงว่าจะไปกับเจ้าไม่ได้”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ที่อารามมีศิษย์พี่หลายคน ข้าไปได้ ยังทำพิธียามเช้ากับศิษย์พี่ได้ด้วย ดีมากทีเดียว” สิ่งที่สำคัญก็คือท่านอาจารย์อาชิงหย่วนยังให้ความช่วยเหลือนางเป็นพิเศษ
เห็นนางยืนกราน ฉีหวงจึงให้หลี่เฉิงขับรถม้ามาที่ประตูเล็กของบ้าน เตรียมเสื้อผ้าและอาหารให้นาง
วั่งชวนไปกระซิบกระซาบกับปีศาจโสมน้อยก่อนแต่ช่วงนี้อีกฝ่ายยังอยู่ในช่วงปิดประตูบำเพ็ญเพียร จึงฝังอยู่ในดินไม่โผล่ออกมา
นางเองก็ไม่โกรธ รับกระเป๋าสัมภาระจากฉีหวงแล้วเดินออกไป ฉีหวงรู้สึกราวกับเห็นเจ้านายตอนอายุยังน้อยเท่านี้ก็เป็นเช่นนี้ ไปไหนมาไหนคนเดียว
เมื่อมองไปยังวั่งชวนที่เดินไปถึงขอบประตู แสงยามเย็นสะท้อนอยู่บนตัวนาง ทำให้นางดูเหมือนภาพลวงตา
ฉีหวงเรียกร้องเรียกขึ้นมากะทันหัน “วั่งชวน”
“หืม”
ฉีหวงกดความรู้สึกเศร้าไว้ในใจ ยิ้มพลางเอ่ย “รีบไปรีบกลับ”
วั่งชวนโบกมือ เดินออกจากประตูไป