คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 863 จะสู้ไม่สู้ ถ้าไม่สู้ข้าจะไปก่อนแล้ว
ตอนที่ 863 จะสู้ไม่สู้ ถ้าไม่สู้ข้าจะไปก่อนแล้ว
เรื่องนี้ไม่ควรล่าช้า ขณะที่ฟ้ายังไม่มืด กลุ่มคนเริ่มปีนขึ้นภูเขา นอกจากคนจากลัทธิเต๋า เฉิงเอินโหวยังส่งทหารองครักษ์ยี่สิบคนขึ้นภูเขาด้วย เดิมทีเขาตั้งใจจะส่งมากกว่าร้อยคน แต่ฉินหลิวซีบอกว่าบนภูเขานี้มีสิ่งแปลกประหลาด หากมีสิ่งชั่วร้ายจริงๆ คนมากขึ้นก็เป็นเพียงเหยื่อเท่านั้น อาจทำให้เกิดปัญหาอีก จึงลดจำนวนลงเหลือแค่ยี่สิบคนที่มีฝีมือดีที่สุดและมีพลังหยางเพียงพอ
“สหายนักพรตน้อย เจ้าคิดว่าเราควรเดินทางอย่างไร” ปรมาจารย์ไท่เฉิงมีท่าทางเหมือนจะให้ฉินหลิวซีเป็นผู้นำ
แต่ฉินหลิวซีไม่รับ เอ่ย “พวกท่านคือคนที่รับงาน ท่านปรมาจารย์มีฝีมือสูง ท่านนำทางเถิด ข้าเพียงผ่านมาตามหาคน และฝีมือข้ายังไม่เชี่ยวชาญ ข้าเพียงพาลูกศิษย์มาศึกษาวิชากับผู้อาวุโสเท่านั้น”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงถูกนางแสดงออกอย่างนี้ ถ้าไม่เคยสู้กับนางและถูกหลอกเอาสิ่งของมากมายเขาคงเชื่อคำพูดของนาง
ฉินหลิวซียิ้มอย่างไร้เดียงสา
ปรมาจารย์ไท่เฉิงอารมณ์เสีย หยิบเข็มทิศเวทมนตร์ออกมา แต่มีท่าทางลับๆ ล่อๆ เล็กน้อย ทำให้สหายนักพรตรู้สึกแปลกๆ อาวุธวิเศษไม่ให้ดูด้วยหรือ
ปรมาจารย์ไท่เฉิง ดูน่ะดูได้ เพียงกลัวคนบ้าบางคนจะหลอกเอา
ฉินหลิวซีรู้สึกขบขัน แต่ก็ไม่หักหน้าเขา เพียงพาเถิงเจาเดินอยู่ข้างๆ สังเกตป่าบริเวณนี้
ต้นไม้ในป่าสูงใหญ่ปกคลุมท้องฟ้า เนื่องจากพระอาทิตย์เริ่มตกดิน แสงสว่างไม่เพียงพอ ทำให้ป่านี้มืดลงอย่างเห็นได้ชัด และไม่มีความรู้สึกเหมือนภูเขาเซียน
“ระวังอย่าอยู่ห่างจากข้า” ฉินหลิวซีบอกกับเถิงเจา “หากเจออะไรที่สู้ไม่ได้ ใช้ยันต์ทุบ ทุบให้ตาย เรามีทรัพยากรมากมาย”
นางเอ่ยพร้อมกับวาดยันต์คุ้มครองประทับลงบนหลังของเถิงเจา ป้องกันไม่ให้ลูกศิษย์ได้รับบาดเจ็บ
ซู่หมิงนักพรตที่เดิมดูถูกฉินหลิวซีอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ไกล ได้ยินคำว่าใช้ยันต์ทุบ มุมปากกระตุก คิดว่าหากเจอผีร้าย ยันต์ป้องกันทั่วไปก็คงไม่ช่วยอะไร
เขามองดูอาจารย์และลูกศิษย์คู่นั้น เห็นฉินหลิวซีกำลังวาดยันต์ที่ไหล่ของเถิงเจา เห็นแสงสีทองแวบผ่าน ยันต์นั้นซึมเข้าร่างกายเถิงเจา ทำให้เขาต้องขยี้ตา
เป็นเพราะแสงไม่ดี ตาพร่าหรือไม่
ไม่เพียงแต่ฉินหลิวซี เซียนซือคนอื่นก็ขมวดคิ้ว แสงแบบนี้และหมอกหนาทำให้การตามหาคนยากมากขึ้น
“เราเดินมาถึงจุดนี้ แล้วไม่สามารถเข้าไปได้อีก ไม่ว่าจะเดินอย่างไรก็เหมือนเดินเป็นวงกลมวนอยู่กับที่” หัวหน้าองครักษ์ที่มีนามว่าเฉากวงเอ่ยขณะชี้ไปที่ต้นไม้ที่มีผ้าสีแดงผูกเป็นเครื่องหมาย
ฉินหลิวซีมองดู เป็นไม้ต้นสน[1] ไม้ผีต้นสนรวมพลังหยินเลี้ยงผี และตรงหน้า มีพลังหยินแข็งแกร่ง หนาวเย็นเป็นที่สุด
“ท่านอาจารย์ เป็นพลังหยิน” เถิงเจาเปิดตาที่สามแล้ว หรี่ตาพลางเอ่ย
“อืม อย่าสนใจ” ฉินหลิวซีไม่ออกหน้า เพียงเตือนเขาและรอให้คนเหล่านั้นลงมือ
ซู่หมิงเห็นนางกอดอกมองซ้ายมองขวา ไม่อยากเข้าไปสนทนา กลอกตามองบน
“เป็นค่ายอาคมรวมหยิน มีการสร้างขอบเขตเพื่อไม่ให้พลังหยินหลุดออกมา คนไม่สามารถเข้าไปได้” นักพรตเฒ่านามว่าเฉิงหยางจื่อใช้เข็มทิศตรวจสอบแล้วบอกออกมา ผู้นี้คืออาจารย์ของซู่หมิง
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเองไม่ยอมแพ้ เอ่ยเสียงเข้ม “นอกจากค่ายอาคมรวมหยิน ยังมีค่ายอาคมล่อวิญญาณ เราเดินมาไม่มีวิญญาณผีร้ายเลย”
ทุกคนรู้สึกหนาวสะท้าน
“ก่อนอื่นเราต้องทำลายขอบเขตนี้” เข็มทิศของปรมาจารย์ไท่เฉิงหมุนวุ่นวาย เขานับนิ้วแล้วหยิบยันต์ออกมาจากแขนเสื้อ ขว้างไปที่จุดหนึ่ง “ทำลาย”
เสียง ตูม ดังขึ้น ขอบเขตถูกทำลาย พลังหยินหลุดออกมา
“ฝีมือปรมาจารย์ยอดเยี่ยม”
“สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ สุดยอดจริงๆ”
เสียงยกยอทำให้ปรมาจารย์ไท่เฉิงรู้สึกพอใจและภูมิใจ มองไปยังฉินหลิวซีโดยไม่รู้ตัว เห็นนางกำลังมองที่อื่น รู้สึกอายขึ้นมา หน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ย “ไปกันเถิด”
เขานำหน้าไปก่อน คนอื่นๆ รีบตามไป ทุกคนล้วนแปะยันต์ไฟหยางที่ตัวเพื่อป้องกันไม่ให้พลังหยินเข้ามาล้อมรอบกาย
แบ่งให้เหล่าองครักษ์คนละแผ่น ยัดใส่อกเสื้อ รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
ที่นี่หนาวเย็นยิ่งกว่าหน้าหนาวเสียอีก และเมื่อรู้ว่าทำไมถึงเย็นเช่นนี้ ทุกคนดูแย่ลงไปอีก
พลังหยินนี่มันน่ากลัว
แกร๊ก
องครักษ์คนหนึ่งได้ยินเสียงด้านใต้เท้า ชะงักเล็กน้อย ก้มลงไปมอง “อะไรกัน”
แกร๊ก
แกร๊ก
“โอ้โห ให้ตาย…” มีคนสะดุดล้มลงกับพื้น เห็นกระโหลกศีรษะมีแมลงคลานออกมาจากช่องตาทั้งสองช่อง เขาร้องตะโกนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เป็นหัวคน ไม่ใช่ เป็นกะโหลก”
“คบเพลิง”
ไฟถูกจุดขึ้น ส่องลงบนพื้น ทุกคนเห็นภาพนั้นต่างลมหายใจล้วนเย็นวาบ
มีกระดูกสีเทาขาวจำนวนมาก ทั้งของคนและสัตว์ บางส่วนยังเรืองแสงหรือที่เรียกว่าไฟผี
“ภูเขาปทุมทองคำนี้ เป็นสุสานหมู่หรืออย่างไร” มีคนถามด้วยความหวาดกลัว
ถ้าไม่ใช่สุสานหมู่ ไยที่นี่จึงมีกระดูกมากมายเพียงนี้ เกลื่อนเต็มไปหมด
“เกรงว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายทำพิธีมารที่นี่” ปรมาจารย์ไท่เฉิงกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ซู่หมิงขมวดคิ้ว นั่งยองมองดูกระดูก ไม่นานจึงลุกขึ้นหันไปบอกทุกคน “จากการผุกร่อนของกระดูก มีทั้งใหม่และเก่า น่าจะมีการตั้งค่ายอาคมฆ่าอะไรบางอย่าง สะสมมาเป็นเวลาหลายปี ถึงมีกระดูกมากขนาดนี้”
“เจ้าเอ่ยถูก…ระวัง!” นักพรตคนหนึ่งร้องเตือน
ซู่หมิงรู้สึกเย็นที่ด้านหลัง หันไปเห็นกระดูกเริ่มประกอบกันอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นมือมาทางเขา
กรงเล็บกระดูกนั้นดูน่ากลัว ถ้าถูกข่วน พิษศพและพลังหยินจะซึมเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ซู่หมิง” เฉิงหยางจื่อตะโกนเสียงดัง ฟาดแส้หางม้าลงมาอย่างรวดเร็ว
เขาเร็ว แต่มีคนเร็วกว่านั้น
เท้าล่องหนฟาดเข้ามา ปัง ซู่หมิงถูกเตะปลิวออกไป ก้นเจ็บจนร้อน
เขามองดูโครงกระดูกตรงหน้า เกิดคำถาม ข้าคือใคร ข้าอยู่ที่ใด เกิดอะไรขึ้น เอ่อ เจ้าตายมานานเพียงใดแล้ว
กรงเล็บกระดูกข่วนพลาด ดูเหมือนจะโกรธ หันไปมองคนที่เตะเหยื่อของมันออกไป…ฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเตะหัวของมันปลิวไปอีกครั้ง โธ่เว้ย น่าเกลียดจริงๆ ทำเป็นโครงกระดูกแล้วยังไม่ดูแลตัวเองอีก เห็นหนอนสองตัวห้อยตรงตาคงเตรียมไว้กินเป็นอาหารมื้อดึกล่ะสิ
หัวกะโหลกกลิ้งไปตกอยู่ข้างซู่หมิง อ้าปากงับเหมือนจะต่อว่า คนนี้ไม่มีศีลธรรม ยังไม่เริ่มสู้ก็มาเตะหัว ข้าไม่ยอม
ทุกคนมองดูฉินหลิวซีที่เตะสองครั้งรวด ต่างตกตะลึงอึ้งไปตามๆ กัน
แส้หางม้าของเฉิงหยางจื่อหยุดค้างกลางอากาศ อีกฝ่ายเตะเร็วมาก เขาไม่มีโอกาสแสดงฝีมือเลย
แกร๊ก แกร๊ก
ฉินหลิวซีทำหน้าเข้มตะโกน “ยืนบื้อกันทำไมเล่า รับน้ำมันตะเกียงแล้วไม่ทำงานหรือ กองทัพโครงกระดูก พวกเจ้าจะสู้หรือไม่ ถ้าไม่สู้ ข้าจะไปก่อนแล้ว”
จะให้นางสู้ทั้งหมดหรือ เป็นไปไม่ได้ ไม่ได้รับเงิน
ทุกคน “…”
สู้ สู้ก็ได้
[1] ไม้ต้นสน หรือที่รู้จักกันในภาษาไทยว่า “ไม้เกาลัดจีน” หรือ “ไม้สน” เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน เป็นไม้ที่มีเนื้อแน่นและแข็งแรง ใช้ทำเครื่องเรือน สร้างอาคารบ้านเรือน หรือทำเครื่องมือเกษตรกรรม และยังมีความสำคัญในด้านสมุนไพร เนื่องจากดอกใช้เป็นยาสมุนไพรในตำราแพทย์จีนสำหรับบรรเทาอาการเลือดออกและลดความดันโลหิต